เวินจือเหิงยังไม่ทันได้มีเวลาให้คิดอะไรมากมายนัก เวินเจาก็นำคนเดินเข้ามาเสียแล้วก่อนหน้านี้ที่เวินเจาถือเทียบยาแผ่นนั้นของอวิ๋นฝูหลิงออกไป เดิมทีคิดจะใช้ให้เด็กรับใช้สักคนไปจัดยามา ทว่าอยู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจอยู่ดี ๆ เหตุใดถึงมีท่านหมอที่กล่าวอ้างว่าตนเองเป็นคนสกุลหางมาเยือนถึงประตูเรือนได้?เรื่องนี้ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจหรือว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นที่เข้ามาหลอกลวงจากที่ไหนสักแห่ง?หรือว่าเวินจือเหิงจะค้นพบอะไรบางอย่างเข้าจริง ๆ ถึงได้หาท่านหมอผู้มีวิชาแพทย์สูงส่งมาตรวจโรคเป็นการส่วนตัว และเพื่อเป็นการปิดบังหูตาผู้อื่น คนผู้นั้นถึงได้โกหกว่าตนเองเป็นคนสกุลหาง?ทว่าท่านหมอผู้นั้นท่าทางดูอายุยังน้อย ทั้งยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเวินจือเหิงต้องยาพิษ จนแทบจะอยู่ในโลกมนุษย์ต่ออีกได้ไม่นานแล้วดูแล้ววิชาแพทย์ก็ไม่เท่าไร!เวินเจายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลประจวบกับที่ยามนี้มาถึงสำนักผิงอัน แล้วได้ยินว่าสำนักผิงอันมีคนสกุลหันมาที่สำนัก เวินเจาก็ไม่รู้คิดอะไร อยู่ ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ตรงเข้าไปเชิญตัวคนสกุลหางที่อยู่ด้านในสำนักผิงอันให้ไปสกุลเวินแท
แม้ว่าพี่สามหางจะไม่รู้เรื่องภายในที่เกิดขึ้น ทว่าเห็นอวิ๋นฝูหลิงแต่งตัวอย่างบุรุษ ทั้งยังใช้ชื่อของสกุลหางมาทำงานแล้วจึงร่วมมือแสดงละครกับนางด้วยความปราดเปรื่องทันที“น้องรัก เด็กดี!”“เจ้ามาจินโจวได้อย่างไร ก่อนจะมาก็ไม่เห็นเขียนจดหมายมาบอกพี่สามบ้างเลย?”อวิ๋นฝูหลิงเห็นพี่สามหางเล่นด้วย จึงขยิบตาให้เขา จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่บอกว่าข้าอายุถึงแล้ว ก็ควรออกมาท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์สักหน ทั้งเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทั้งเพื่อจะได้เรียนรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้มากขึ้น จะได้พัฒนาฝีมือทางการแพทย์ของตนเองให้สูงขึ้น”“ข้าเดินทางไปทั่ว เพิ่งมาถึงจินโจวได้ไม่ถึงสองวัน ก็ได้ยินว่าคุณชายใหญ่สกุลเวินป่วยหนัก เชิญท่านหมอมาตรวจรักษามากมายก็ยังรักษาไม่หาย ข้าคันไม้คันมือ ก็เลยเสนอตัวเองมาให้ถึงที่!”พี่สามหางได้ฟังถึงตรงนี้ ก็พอจะเข้าใจที่มาที่ไปอย่างคร่าว ๆ แล้วอย่างไรเสียทั้งสองคนก็ไม่ได้เตรียมบทกันมาก่อน ครั้นพูดถึงตรงนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันฐานะของอวิ๋นฝูหลิงพี่สามหางกลัวว่าหากยังพูดต่อ ก็จะเผยพิรุธได้ จึงพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ออกมาเที่ยวท่องหาป
เขาเดินหมากผิดไปจริง ๆหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เขาก็คงไม่เชิญตัวหางซานสุ่ยมาแน่ยามนี้ช่างดีนัก ทำเอาเขาขี่หลังเสือจนลงไม่ได้ ทั้งยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเดิมทีเขาคิดว่าหลังจากเปิดโปงอวิ๋นฝูหลิงแล้ว จะหาข้ออ้างมาสักข้อ ส่งหางซานสุ่ยกลับไปแต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวินจือเหิง ถึงได้ดึงดันจะให้หางซานสุ่ยตรวจโรคให้เขาให้ได้เวินเจารู้ว่าหากเขายังขัดขวางต่อไป จะมีแต่ทำให้คนสงสัย จึงได้แต่ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า“ข้าเพียงแค่หวังดี มีใจคิดเผื่อพี่ใหญ่”“ในเมื่อพี่ใหญ่อยากให้คุณชายสามหางจับชีพจร เช่นนั้นก็ลองตรวจดูเถิด”ยามนี้มีแต่ต้องเสี่ยงดูสักครั้งคนที่ให้ยาพิษกับเขาเคยบอกไว้ว่า เมื่อพิษนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว ทั่วหล้านี้มีน้อยคนนักที่จะดูออกคุณชายสามหางผู้นี้จะดูออกหรือไม่นั้นก็พูดได้ไม่แน่ชัด!หากเขาดูไม่ออก การที่ตัวเขาเองขัดขวางอยู่เช่นนี้ จะไม่ทำให้เวินจือเหิงเกิดความสงสัยเอาง่าย ๆ หรอกหรือเมื่อคิดถึงตรงนี้ เวินเจาก็รู้สึกกลับมามั่นใจอีกครั้งในชั่วพริบตาเขาจงใจทำทีเป็นใจกว้าง แล้วผายมือเชิญหางซานสุ่ยด้วยความนอบน้อมจะได้ขจัดความสงสัยเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นมาจากการท
เวินจือเหิงฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหางซานสุ่ยออกจึงรีบรับคำทันที “ขอบคุณที่คุณชายสามหางเดินทางมาที่นี่”หางซานสุ่ยยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไร คุณชายรองเวินได้ให้ค่าตรวจมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่หากรู้แต่แรกว่าน้องชายอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่ต้องมาที่นี่แล้ว”“ฝีมือแพทย์ของน้องชายยอดเยี่ยมกว่าข้า มีเขาอยู่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกโรง”เวินจือเหิงได้ยินเช่นนั้น จึงมองเวินเจาด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ต้องขอบคุณน้องรองที่คิดเผื่อข้า!”เวินเจาแทบจะคงรอยยิ้มไว้บนหน้าไม่ได้แล้ววันนี้เดิมทีนึกว่าจะได้เปรียบ ทว่ากลับกลายเป็นล้มเหลวไม่เป็นท่าน ในใจของเวินจือเหิงจะต้องมีความสงสัยอยู่เป็นแน่โชคดีที่แม้ว่าเวินจือเหิงจะเกิดความสงสัยอยู่ในใจ ทว่าว่าเขาก็ไร้ข้อพิสูจน์เรื่องถูกวางยาพิษไม่ได้ถูกเปิดโปง ยังไม่ถึงท้ายที่สุดที่จะฉีกหน้าตัดขาดกันเพียงแต่ว่า มีบางเรื่องที่ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุดมิเช่นนั้นหากเวินจือเหิงรู้เข้า จะกลายเป็นเรื่องลำบากเวินเจาวางแผนอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็กลับมาซื่อตรงอีกครั้ง“พี่ใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”เวินจือเหิงคร้
ใครจะคาดคิดว่าองครักษ์ทั้งสองเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ทันไร เวินเจาก็มาเสียแล้วเวินเจาผลักบานประตูเข้าไป เขาถึงกับถูกบรรยากาศภายในห้องทำให้ตกใจไปในทันทีกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ เขาไหนเลยจะไปคิดว่าท่านราชครูที่ดูท่าทางซื่อสัตย์เช่นนั้น จะมีด้านที่ปล่อยตัวไปตามอำเภอใจเช่นนี้ชั่วพริบตานั้น เวินเจามีแต่ความอึดอัดใจเขารีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าไว้ แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านราชครูเชิญทำธุระก่อนเถิด ข้าจะไปรอท่านที่ห้องข้างๆ!”พูดจบ เวินเจาก็ออกห้องไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะออกไป เขาพลันเหลือบไปเห็นโดยไม่ตั้งใจ จึงเห็นเข้ากับผิวขาวราวหิมะที่โผล่วับ ๆ แวม ๆ ตามรอยแยกของม่านคลุมเตียงกลิ่นหอมประหลาดลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศเวินเจารู้สึกว่ากลิ่นหอมนั้นออกจะคุ้นจมูกอยู่บ้าง เหมือนกับเคยได้กลิ่นจากที่ไหนสักแห่งมาก่อนทว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย รีบสาวเท้าเดินออกไปท่านจอมปราชญ์เหวินถูกเวินเจาเข้ามารบกวนเรื่องดี ๆ ย่อมไม่สบอารมณ์นักครั้นสตรีบนเตียงได้ยินเสียงของเวินเจา ก็ตกใจจนตัวสั่นงันงก รีบดึงผ้านวมคลุมปิดหน้าปิดทันทันที ด้วยกลัวว่าเวินเจาจะเข้ามาเจอนางเข้าท่านจอมปราชญ์เหวินเห็นเช่นน
เวินเจาไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกสวมเขาเขากลัวว่าท่านจอมปราชญ์เหวินจะรู้สึกเสียหน้า ยังปลอบใจเขาด้วย “ทุกคนล้วนเป็นผู้ชาย ข้าเข้าใจ!”“ท่านราชครูไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไปใส่ใจ!”ท่านจอมปราชญ์เหวินเห็นเวินเจาย้อนกลับมาช่วยเขาบรรเทาความอึดอัด หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง มุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเผยอขึ้นเขาไม่อยากพูดถึงหัวข้อสนทนานี้อีก จึงกล่าวเปลี่ยนประเด็น “นายน้อยมาอย่างเร่งรีบ มีเรื่องอะไรหรือ?”เวินเจาจึงจะนึกถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมา“วันนี้จู่ๆ ก็มีหมอของสกุลหางไปที่เวินจือเหิง”“แม้มองพิษในร่างกายของเวินจือเหิงไม่ออก แต่ข้ามักจะรู้สึกไม่สบายใจ”เมื่อท่านจอมปราชญ์เหวินได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “คนไหนของสกุลหาง?”เวินเจากล่าวตอบ “บอกแค่ว่าแซ่หาง ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร”เขาคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี หน้าตาดีใช้ได้”ท่านจอมปราชญ์เหวินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสกุลหางมากนักรู้แค่ว่านายท่านผู้เฒ่าหางมีลูกหลานมากมาย เด็กหนุ่มที่ปีนี้อายุประมาณยี่สิบปี ลองคิดดูน่าจะเป็นหลานของนายท่านผู้เฒ่าหางในเมื่อคนคนนั้นมองปัญหาสุขภาพของเวินจือเหิงไม่ออก ท่านจอมปราชญ์จึงไม่ได้เ
“แค่รอคนมีตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวงติดขี้ผึ้งทอง พวกเราก็สามารถนำกำลังทหารของทางจินโจว และคนของพวกเราบุกเข้าเมืองหลวง ยึดวังหลวงแล้ว”“ถึงเวลาจะเป็นวันที่ต้าฉีล่มสลาย และเผ่าเยว่ผงาดอีกครั้ง!”ท่านจอมปราชญ์เหวินพูดถึงตรงนี้ ลุกขึ้นคำนับเวินเจาทีหนึ่ง “ถึงเวลานายน้อยขึ้นครองราชย์ ใต้ฟ้าศิโรราบ”เวินเจาจินตนาการภาพที่ตัวเองสวมเพ้ามังกร สวมมงกุฎบนศีรษะ นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเขายื่นมือไปประคองท่านจอมปราชญ์เหวิน กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ถ้าหากมีวันหนึ่งที่เผ่าเยว่สามารถฟื้นฟูแคว้น ท่านราชครูจะมีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่!”ท่านจอมปราชญ์เหวินหลุบตา “เพื่อแคว้นเยว่ กระหม่อมยินดีทำทุกอย่างโดยไม่รู้สึกเสียใจใดๆ”เวินเจาตบไหล่ของท่านจอมปราชญ์เหวิน “หัวใจที่ท่านราชครูมีต่อเผ่าเยว่ฟ้าดินสามารถเป็นพยาน”“ทางแคว้นญี่ปุ่น ฝากท่านจอมปราชญ์เหวินแล้ว”“ข้าจะบังคับให้เวินจือเหิงบอกที่อยู่ของสมบัติสกุลเวินเอง”เวินเจาวางยาพิษเวินจือเหิง ไม่เพียงเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลสกุลเวิน ยังรวมถึงสมบัติของสกุลเวินที่สะสมมานับร้อยปีด้วยหลังจากเขากุมอำนาจสกุลเวิน เคยดูสมุดบัญชีของสกุลเ
ท้องฟ้าและทะเลสีครามเชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรงฝูงนกนางนวลกระพือปีกบินอยู่เหนือท้องทะเลอวิ๋นฝูหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้า ลมทะเลที่ปะทะหน้ามาพร้อมกับกลิ่นเค็มและความชื้นจางๆเทียนเฉวียนยืนอยู่ที่ข้างกายนาง มองดูท้องทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาวันนี้เป็นวันที่สามของการออกทะเลแล้วในสามวันนี้ พวกนางค้นหาตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น แต่กลับไม่พบอะไรเลยเซียวจิ่งอี้กับจั่วยวนกำลังติดตามคนญี่ปุ่น หายตัวไปจากอ่าวเสี่ยวเยว่อวิ๋นฝูหลิงสั่งให้เทียนเฉวียนพาคนไปค้นหาที่อ่าวเสี่ยวเยว่อย่างลับๆ จนทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สูงที่สุดคือเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนออกทะเลไปพร้อมกับเรือของคนญี่ปุ่นแล้ว แม้ทะเลกว้างใหญ่ แต่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นทำการค้าขายกับเวินเจา การเดินทางทางทะเล มีเส้นทางที่แน่นอนการแบ่งอำนาจไม่ได้มีเพียงเฉพาะบนบก บนทะเลก็มีเจ้าถิ่นเช่นกันถ้าหากออกนอกเส้นทาง ไม่แน่อาจจะหลงเข้าไปในถิ่นของคนอื่น หรือแม้แต่พบกับโจรสลัดดังนั้นขอแค่อวิ๋นฝูหลิงแล่นไปตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น ขอแค่หาชาวญี่ปุ่นคนนั้นเ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ