“แค่รอคนมีตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวงติดขี้ผึ้งทอง พวกเราก็สามารถนำกำลังทหารของทางจินโจว และคนของพวกเราบุกเข้าเมืองหลวง ยึดวังหลวงแล้ว”“ถึงเวลาจะเป็นวันที่ต้าฉีล่มสลาย และเผ่าเยว่ผงาดอีกครั้ง!”ท่านจอมปราชญ์เหวินพูดถึงตรงนี้ ลุกขึ้นคำนับเวินเจาทีหนึ่ง “ถึงเวลานายน้อยขึ้นครองราชย์ ใต้ฟ้าศิโรราบ”เวินเจาจินตนาการภาพที่ตัวเองสวมเพ้ามังกร สวมมงกุฎบนศีรษะ นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเขายื่นมือไปประคองท่านจอมปราชญ์เหวิน กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ถ้าหากมีวันหนึ่งที่เผ่าเยว่สามารถฟื้นฟูแคว้น ท่านราชครูจะมีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่!”ท่านจอมปราชญ์เหวินหลุบตา “เพื่อแคว้นเยว่ กระหม่อมยินดีทำทุกอย่างโดยไม่รู้สึกเสียใจใดๆ”เวินเจาตบไหล่ของท่านจอมปราชญ์เหวิน “หัวใจที่ท่านราชครูมีต่อเผ่าเยว่ฟ้าดินสามารถเป็นพยาน”“ทางแคว้นญี่ปุ่น ฝากท่านจอมปราชญ์เหวินแล้ว”“ข้าจะบังคับให้เวินจือเหิงบอกที่อยู่ของสมบัติสกุลเวินเอง”เวินเจาวางยาพิษเวินจือเหิง ไม่เพียงเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลสกุลเวิน ยังรวมถึงสมบัติของสกุลเวินที่สะสมมานับร้อยปีด้วยหลังจากเขากุมอำนาจสกุลเวิน เคยดูสมุดบัญชีของสกุลเ
ท้องฟ้าและทะเลสีครามเชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรงฝูงนกนางนวลกระพือปีกบินอยู่เหนือท้องทะเลอวิ๋นฝูหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้า ลมทะเลที่ปะทะหน้ามาพร้อมกับกลิ่นเค็มและความชื้นจางๆเทียนเฉวียนยืนอยู่ที่ข้างกายนาง มองดูท้องทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาวันนี้เป็นวันที่สามของการออกทะเลแล้วในสามวันนี้ พวกนางค้นหาตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น แต่กลับไม่พบอะไรเลยเซียวจิ่งอี้กับจั่วยวนกำลังติดตามคนญี่ปุ่น หายตัวไปจากอ่าวเสี่ยวเยว่อวิ๋นฝูหลิงสั่งให้เทียนเฉวียนพาคนไปค้นหาที่อ่าวเสี่ยวเยว่อย่างลับๆ จนทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สูงที่สุดคือเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนออกทะเลไปพร้อมกับเรือของคนญี่ปุ่นแล้ว แม้ทะเลกว้างใหญ่ แต่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นทำการค้าขายกับเวินเจา การเดินทางทางทะเล มีเส้นทางที่แน่นอนการแบ่งอำนาจไม่ได้มีเพียงเฉพาะบนบก บนทะเลก็มีเจ้าถิ่นเช่นกันถ้าหากออกนอกเส้นทาง ไม่แน่อาจจะหลงเข้าไปในถิ่นของคนอื่น หรือแม้แต่พบกับโจรสลัดดังนั้นขอแค่อวิ๋นฝูหลิงแล่นไปตามเส้นทางจากอ่าวเสี่ยวเยว่ไปแคว้นญี่ปุ่น ขอแค่หาชาวญี่ปุ่นคนนั้นเ
หลังจากหลายวันที่ใช้เวลาร่วมกัน คนที่เวินจือเหิงส่งมาเชื่อฟังมาก สามารถเรียกได้ว่าปฏิบัติตามคำสั่งของอวิ๋นฝูหลิงอวิ๋นฝูหลิงแค่ต้องการให้พวกเขาเชื่อฟัง และให้คำแนะนำที่มีประโยชน์แก่นางในเวลาจำเป็น ให้การออกทะเลครั้งนี้ราบรื่นและปลอดภัยก็พอแล้วจ้าวเสวียซือวิ่งไปที่ดาดฟ้า ก็ตะโกนถามอวิ๋นฝูหลิง “ถ้าได้ยินมาว่าช่วยคนขึ้นมาจากทะเล…”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าให้เขา หลังจากนั้นมองไปที่ด้านข้างจ้าวเสวียซือมองตามสายตาของนาง ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีนั่งอยู่ตรงนั้น กำลังยัดหมั่นโถวเข้าปากเด็กหนุ่มกวาดมององครักษ์ที่อยู่โดยรอบองครักษ์ไปยืนคั่นระหว่างเขากับอวิ๋นฝูหลิง และตั้งท่าระวังกับปกป้องผู้ที่ต้องระวังคือเด็กหนุ่มคนนี้ ส่วนผู้ที่ต้องปกป้องคืออวิ๋นฝูหลิงแม้เด็กหนุ่มคนนี้ดูน่าสงสาร แต่อย่างไรก็เป็นคนที่ไม่รู้ที่ไปที่มา ต้องระวังไว้ก่อนจ้าวเสวียซือมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง ประกายในแววตาดับลงทันทีเขาพึมพำเสียงเบา “ข้าคิดว่า…”เขาไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมา แต่อวิ๋นฝูหลิงกลับเข้าใจความหมายของเขาพวกเขาล้วนคิดว่าเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนมีโอกาสที่จะอยู่บนทะเลมากที่สุดไม่แน่ว่า
อวิ๋นฝูหลิงเข้าใจความกังวลของจ้าวเสวียซือบนทะเลผืนนี้ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าจากแคว้นต่างๆ ที่ทำการค้าทางทะเลกับต้าฉียังมีโจรสลัดที่คอยปล้นเรือสินค้าที่แล่นผ่านมาด้วยคนที่เวินจือเหิงส่งมา ล้วนคุ้นเคยกับเรื่องราวในทะเลภายใต้คำขอของอวิ๋นฝูหลิง หลายวันนี้พวกเขาได้เรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอตอนออกทะเลให้ฟังไม่น้อย และยังมีประสบการณ์การใช้ชีวิตบนทะเลด้วยหนึ่งในนั้นก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับโจรสลัดโจรสลัดไม่ใช่พวกป่าเถื่อนทั้งหมด มีโจรสลัดบางส่วนที่เดินเส้นทางชิงไหวพริบพวกเขาจะส่งคนไปปลอมตัวเป็นผู้รอดชีวิตกลางทะเล อาศัยความเห็นใจของผู้คน หลังจากถูกช่วยขึ้นมาแล้ว แกล้งเป็นผู้อ่อนแอเพื่อให้ได้มาซึ่งความเห็นใจและเชื่อใจจากนั้นร่วมมือกับโจรสลัดที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องออกแรงเยอะ สามารถจับคนและปล้นทรัพย์สินทั้งหมดบนเรือได้อย่างง่ายดาย จ้าวเสวียซือสงสัยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือสายลับ แน่นอนว่าอวิ๋นฝูหลิงก็มีความสงสัยเช่นเดียวกับจ้าวเสวียซือนางไม่ได้เชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ทั้งหมดถ้าหากอยู่บนบก หลังจากอวิ๋นฝูหลิงช่วยเด็กหนุ่มคนนี้ อยากมากให้เงินเขาเล็กน้อย แล้วไล่เขาไป
นางคว้าฟางอวี่ไว้ ยกมือดึงน้ำเต้าหยกที่ห้อยอยู่บนคอของเขาลงมานางดูน้ำเต้าหยกชิ้นนั้นอย่างละเอียดนี่เป็นของเซียวจิ่งอี้ก่อนเซียวจิ่งอี้ออกจากเมืองหลวง อวิ๋นฝูหลิงห้อยน้ำเต้าหยกชิ้นนั้นบนคอเขากับมือตัวเอง อวิ๋นฝูหลิงสั่งทำน้ำเต้าหยกชิ้นนี้โดยเฉพาะ นางจำไม่ผิดแน่นอน! นางบิดเบาๆ ด้านบนของน้ำเต้าหยกก็หลุดออก เคยให้เห็นภายในที่ว่างเปล่า หยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในน้ำเต้าหยกหมดแล้ว หลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณอวิ๋นฝูหลิงมีความอ่อนไหวต่อพลังวิญญาณในมิติมาก ด้วยเหตุนี้แค่ดมก็รู้แล้วเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นดังนี้ ก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่านี่เป็นน้ำเต้าหยกที่นางมอบให้เซียวจิ่งอี้น้ำเต้าหยกสามารถทำเลียนแบบ แต่หยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในน้ำเต้าหยก มีความพิเศษเฉพาะตัวฟางอวี่เห็นอวิ๋นฝูหลิงเอาน้ำเต้าหยกไป สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“คืนให้ข้า…”อวิ๋นฝูหลิงกำน้ำเต้าหยกไว้ สีหน้าตึงเครียด “เจ้าไปได้น้ำเต้าหยกนี้มาจากไหน?”“นี่เป็นของของข้า!” ฟางอวี่ปากแข็ง พลางกล่าว พลางแย่งน้ำเต้าหยกกลับมาจากมืออวิ๋นฝูหลิงสีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเคร่งขรึมทันที “เทียนเฉวียน พาเขาลงไป!”เมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนท่าทีกะท
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวเสวียซือก็รีบเข้าไปในห้องเช่นกันเทียนเฉวียนสั่งองครักษ์ที่อยู่หน้าประตู “เฝ้าให้ดี ห้ามใครเข้าออก โดยเฉพาะคนของสกุลเวิน!”แม้ชั้นนี้ล้วนเป็นคนของพวกเขา แต่เทียนเฉวียนยังคงระวังตัวมากคนของสกุลเวินเป็นพันธมิตรก็จริง แต่ท้ายที่สุดก็แค่ร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ จะไว้ใจเลยไม่ได้ดังนั้นจุดที่ควรระวัง เทียนเฉวียนจะไม่ละเลยเด็ดขาดภายในห้อง อวิ๋นฝูหลิงถือน้ำเต้าหยกชิ้นนั้นไว้ ถ้าเฟิงอวี่อีกครั้ง “เจ้าไปได้น้ำเต้าหยกนี้มาจากไหน?”ฟางอวี่อ้ำอึ้ง เวลานี้เขาจึงจะตระหนัก เกรงว่าน้ำเต้าหยกชิ้นนี้ไม่ใช่ของทั่วไปสีหน้าอวิ๋นฝูหลิงเย็นชา น้ำเสียงดุดันขึ้นเรื่อยๆ“ของสิ่งนี้ไม่มีทางเป็นของเจ้า!”“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง!”“ตกลงเจ้าไปได้น้ำเต้าหยกนี่มาจากไหน?”เมื่อเห็นฟางอวี่ยังไม่ยอมพูด อวิ๋นฝูหลิงร้อนใจจนหมดความอดทนเช่นกันก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าเซียวจิ่งอี้มีหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณที่นางให้อยู่ในมือ ก็มีไพ่ตายที่สามารถรักษาชีวิตหนึ่งใบต่อให้เขาประสบอุบัติเหตุ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่มีหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณอยู่ ชีวิตของเขาจะปลอดภัยต้องสามารถยืนหยัดจ
ข้างบนของน้ำเต้าหยกเป็นใบน้ำเต้า กลไกที่ใช้เปิดน้ำเต้าหยกติดตั้งอยู่ตรงใบน้ำเต้าใบน้ำเต้ากับน้ำเต้าเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่ง คนทั่วไปจะคิดไม่ถึงว่าบนใบน้ำเต้ามีกลไกกลไกบนน้ำเต้าหยกสร้างโดยใช้แบบเกลียวหมุนทวนซ้ายของยุคปัจจุบันการเปิดปิดแบบหมุนเช่นนี้เห็นได้ทั่วไปในยุคปัจจุบัน แต่ในยุคที่เข้ารูปสิ่งของด้วยเดือย คนที่รู้วิธีเปิดกลไกเกลียวหมุนทวนซ้ายของน้ำเต้าหยก นอกจากนางกับเซียวจิ่งอี้ เกรงว่าแทบจะไม่มีใครอีกแล้วอวิ๋นฝูหลิงคาดเดาว่าหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในน้ำเต้า อาจจะถูกเซียวจิ่งอี้ใช้ไปแล้วก่อนที่ฟางอวี่จะเก็บได้คิดถึงตรงนี้ ขณะเดียวกับที่อวิ๋นฝูหลิงแอบโล่งอก ก็ยิ่งรู้สึกกังวลแล้ว ก่อนหน้านี้นางกังวลว่าหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในน้ำเต้าหยกจะถูกคนอื่นใช้หยดน้ำแห่งจิตวิญญาณไม่ใช่ของธรรมดา ถ้าหากมีคนรู้เรื่องนี้ เป็นไปได้ว่าจะเริ่มสืบจากน้ำเต้าหยกความลับที่นางมีมิติ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดต่อให้เป็นเซียวจิ่งอี้ อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่เคยคิดจะสารภาพกับเขาเมื่อความลับถูกพูดออกไป ก็ไม่ใช่ความลับอีกแล้วและธรรมชาติของมนุษย์ไม่อาจทนต่อการทดสอบอวิ๋นฝูหลิงไม่อยากเปิดเผยความลับ นางเลี่ยงหั
นึกถึงฉากกระแสน้ำวนในทะเล ฟางอวี่ยังคงรู้สึกหวาดกลัวถ้าไม่ใช่เพราะเจอพวกอวิ๋นฝูหลิง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกอวิ๋นฝูหลิงช่วยเขาขึ้นมาจากทะเล เกรงว่าตอนนี้เขาคงตายอยู่ในทะเลเหมือนเพื่อนที่หนีออกมาด้วยกันแล้วเมื่อจ้าวเสวียซือฟังมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของอวิ๋นฝูหลิง กล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วน่าจะอยู่บนเกาะหมัวกุ่ย”“พวกเราต้องไปเกาะหมัวกุ่ย!”อวิ๋นฝูหลิงก็คิดเช่นนี้แต่ก่อนหน้านั้น ยังมีบางเรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงต้องยืนยันนางพยักหน้าให้จ้าวเสวียซือ เพื่อบอกให้เขาใจเย็นๆหลังจากนั้นแสร้งหยิบกระดาษวาดรูปออกจากแขนเสื้อสองสามม้วน แต่ที่จริงนำออกมาจากในมิตินางกางกระดาษวาดรูปออก เผยให้เห็นใบหน้าของเซียวจิ่งอี้นี่เป็นภาพที่อวิ๋นฝูหลิงวาดตอนมีเวลาว่างนอกจากเซียวจิ่งอี้ ยังมีจั่วเยี่ยนด้วยเพื่อระบุตัวตนได้ง่ายขึ้นตอนตามหาคนและตอนนี้ก็ได้ใช้งานพอดีอวิ๋นฝูหลิงวางภาพเหมือนของเซียวจิ่งอี้ลงตรงหน้าฟางอวี่ก่อน “เจ้าเคยเจอคนคนนี้ที่เกาะหมัวกุ่ยหรือไม่?”ฟางอวี่ดูภาพเหมือนอย่างละเอียด นึกครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พยักหน้าแล้วกล่าว “เคยเจอ”“เขาเป็นแรงงานที่เพิ่งถูกส่งขึ้นเ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ