เพียงแต่เขายังไม่ได้เคลื่อนไหว ทหารหลวงก็เข้ามาล้อมสกุลเวินไว้เร็วกว่าก้าวหนึ่งแล้วอีกทั้งผู้ที่ออกคำสั่ง ก็คืออี้อ๋องการปล่อยให้อี้อ๋องสอดมือเข้ามายุ่งได้ เกรงว่าผลลัพธ์เลวร้ายที่ตามมาของขี้ผึ้งทอง จะรุนแรงกว่าที่เวินจือเหิงจินตนาการไว้เกรงว่าครานี้แม้สกุลเวินคิดจะหลบเลี่ยง ก็คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นแล้วแม้จะบอกว่าหายนะครานี้มีสาเหตุมาจากบ้านรองสกุลเวิน แต่คำว่าสกุลเวินก็ไม่อาจลบออกจากตัวตนได้ เกรงว่าทั้งตระกูลเวินคงได้เข้ามาพัวพันด้วยแล้วหัวใจของเวินจือเหิงดำดิ่งลงเขาลุกขึ้นเข้าไปในห้องหนังสือ หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากช่องลับบนผนังเขายกมือที่เคยลูบกล่องใบนั้นขึ้น ก่อนสายตาจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นหากต้องการช่วยสกุลเวิน ก็ทำได้เพียงทอดทิ้งบ้านรองอีกทั้งเรื่องเลวร้ายนี้ก็เป็นบ้านรองของตัวเองที่ลงมือทำ จะให้สกุลเวินทั้งหมดถูกฝังไปกับพวกเขาได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นเวินจือเหิงก็ตรวจสอบพบนานแล้วว่า เรื่องที่เขาถูกวางยาพิษ ก็เป็นฝีมือของเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินแม้จะไม่มีเรื่องพวกนี้ในวันนี้เกิดขึ้น เวินจือเหิงก็ไม่อาจปล่อยเวินเจาไปได้หากกล้ามาทำลายชีวิตของเขา เช
แผนการที่ทุ่มเทมาเป็นเวลานาน กำลังจะสูญเปล่าไปเช่นนี้คิดมาถึงตรงนี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง และกัดฟันด้วยความโกรธแค้นตามแผนการเดิมของเขา รอจนราชสำนักของแคว้นต้าฉีพบความผิดปกติของขี้ผึ้งทอง เขาก็ใช้ขี้ผึ้งทองควบคุมขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่ของแคว้นต้าฉี รวมถึงชนชั้นสูงที่ร่ำรวยได้แล้วถึงตอนนั้น ต่อให้ราชวงศ์เซียวต้องการจะต่อต้าน ก็ไม่ทันการแล้วแต่ตอนนี้แผนการของเขาเพิ่งจะเริ่มไปได้ครึ่งทาง ก็ล้มเหลวไปกลางคัน ท่านจอมปราชญ์เหวินจะไม่เจ็บใจได้อย่างไร?นอกจากนี้ในเมื่อเซียวจิ่งอี้เคลื่อนพลกองทหารรักษาการณ์ของจินโจว มาล้อมหอจินอวี้ไว้ คาดว่าคงแอบตรวจสอบอย่างละเอียดเรียบร้อยนานแล้วหอจินอวี้เป็นกิจการของสกุลเวินหอจินอวี้แห่งนี้ถูกปิดล้อมไว้แล้ว เกรงว่าทางฝั่งสกุลเวินก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันนักท่านจอมปราชญ์เหวินอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเวินเจาขึ้นมาตอนนี้ไม่รู้ว่าเวินเจาจะเป็นอย่างไรบ้าง?ถูกคนของเซียวจิ่งอี้จับตัวไปแล้วหรือไม่?เวินเจาเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของราชวงศ์แคว้นเยว่ทั้งยังเป็นเพราะสถานะราชวงศ์ของเขา ทำให้ท่านจอมปราชญ์เหวินสามารถใช้ช
เขาอยู่ที่กองทหารรักษาการณ์ของจินโจวแห่งนี้ ก็เป็นเพียงผู้นำทัพซึ่งไม่ได้รับหน้าที่สำคัญ ไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาสได้เจออี้อ๋อง หากไม่อาจทำหน้าที่ให้ดีได้ ย่อมทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีไว้ต่อหน้าอี้อ๋องน่าเสียดายที่เขาช้าไปก้าวหนึ่ง ทำให้เทียนเสวียนลงมือก่อน และควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลาผู้นำทัพแอบใคร่ครวญ ตัดสินใจว่าหากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอีก เขาจะจัดการให้ทันเวลาแน่นอนไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาสได้สร้างความดีความชอบต่อหน้าอี้อ๋อง เขาย่อมต้องคว้าเอาไว้วันนี้มีเขาอยู่ ทั่วทั้งหอจินอวี้ แม้แต่ยุงสักตัวหนึ่งก็อย่าหวังว่าจะหลุดรอดสายตาของเขาไปได้เลย!เดิมทีท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะสร้างความวุ่นวาย เพื่อหาโอกาสหนีออกไปจากหอจินอวี้คิดไม่ถึงว่าคนที่นำกองทหารมาจะลงมืออย่างไร้ปรานี ทำให้คนในหอจินอวี้ตกใจกลัว จนไม่มีใครกล้าใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกแผนการของท่านจอมปราชญ์เหวินล้มเหลว ทั้งหอจินอวี้ถูกปิดล้อมราวกับถังใบหนึ่ง ตอนนี้จึงไม่อาจออกไปได้แล้วท่านจอมปราชญ์เหวินจนปัญญา ทำได้เพียงรอจังหวะเคลื่อนไหวรอดูสถานการณ์ เพื่อหาโอกาสอีกคราท่านจอมปราชญ์เหวินหมุนกายกลับเข้าห้องเขาเพิ่งกลับมาในห้อง ก็ถูกมื
หลายปีมานี้ท่านจอมปราชญ์เหวินวิ่งวุ่นไปทั่ว ทุ่มเทวางแผน แต่มิใช่เพื่อทำชุดแต่งงานให้คนอื่น[1]ดวงตาทั้งสองข้างของเขาหลุบลงเล็กน้อย ปิดบังความทะเยอทะยานอย่างรุนแรงในก้นบึ้งเอาไว้อวี้จูช่างเอาใจ อ่อนหวานนุ่มนวลอยู่ในอ้อมกอด ท่านจอมปราชญ์เหวินย่อมพึงพอใจเป็นอย่างมากเขาลูบใบหน้าของอวี้จูอย่างแผ่วเบา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รออยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์เสีย”“ข้าย่อมมีวิธีส่งเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายนายน้อย”“หากกลับไปอยู่กับนายน้อยไม่ได้จริง ๆ ก็อยู่ข้างกายข้าเสีย!”อวี้จูได้ยินคำพูดนี้ของท่านจอมปราชญ์เหวิน ก็ราวกับได้กินยาสงบใจเม็ดหนึ่ง ในใจรู้สึกยินดียิ่งท่านจอมปราชญ์เหวินปลอบโยนอวี้จู ก่อนจะลุกขึ้นไปที่ห้องข้าง ๆเมื่อออกจากประตู สีหน้าของเขาก็เย็นชาลงหมากตัวหนึ่ง หากสูญเสียคุณค่าไปแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องมีอยู่!ท่านจอมปราชญ์เหวินให้คนเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวด้านนอกหอจินอวี้อยู่ตลอด และได้ข้อมูลว่าทหารเหล่านั้นปิดล้อมหอจินอวี้อย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก นอกจากนี้ ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดอีกท่านจอมปราชญ์เหวินเลิกคิ้ว หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได
คืนนี้ช่างยาวนานนัก คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่ผ่านยามค่ำคืนไป!ทว่าการถูกอี้อ๋องไต่สวนข้ามคืน สำหรับเขา ก็มิใช่เรื่องที่แย่ควรแก้ปัญหาซับซ้อนด้วยความเด็ดขาดบางเรื่องยิ่งอธิบายเร็วก็ยิ่งดีหากปล่อยไว้นาน จะยิ่งเป็นผลร้ายต่อสกุลเวินเวินจือเหิงลุกขึ้น หยิบกล่องไม้แดงกล่องนั้นบนโต๊ะขึ้นมาณ ห้องโถงหลักของสกุลเวิน เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนที่นั่งหลักเมื่อเวินจือเหิงเข้ามา ก็เห็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลา สง่างามน่าเกรงขามจิบชาด้วยท่วงท่าสบาย ๆผ่านไปเกินครึ่งคืนแล้วเซียวจิ่งอี้ก็ยังทำงานอยู่ ย่อมต้องดื่มชาสักถ้วยเพื่อเรียกสติเวินจือเหิงคาดเดาตัวตนของคนตรงหน้าได้โดยพลัน จึงประสานมือทักทายอย่างนอบน้อม “ข้าขอคารวะอี้อ๋องขอรับ!”แม้เวินจือเหิงจะยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่สกุลเวินก็เป็นสกุลที่มีอายุกว่าร้อยปี และเวินจือเหิงก็ขื้นชื่อว่าเป็นซิ่วไฉเหมือนกันเซียวจิ่งอี้วางถ้วยชา นึกถึงเรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงเคยรักษาอาการป่วยให้คนผู้นี้ ก่อนที่อวิ๋นฝูหลิงจะออกทะเลไปหาเขา คนผู้นี้ก็ทุ่มเททั้งแรงและกำลังคนช่วยเหลือแม้อวิ๋นฝูหลิงจะบอกว่านี่คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่ในใจเซียวจิ่งอ
เซียวจิ่งอี้รู้สึกว่าเวินจือเหิงมีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอยู่หลายส่วนคนทั่วไปหากเจอสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าหากไม่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ก็คงหวาดกลัวจนตื่นตระหนกเวินจือเหิงยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ทั้งยังคิดวิธีช่วยเหลือตัวเองอย่างมีหลักการชั่วขณะหนึ่ง เซียวจิ่งอี้รู้สึกสงสัยในกล่องไม้ใบนั้นที่เวินจือเหิงมอบให้ขึ้นมาไม่รู้ว่ากล่องใบนี้ใส่สิ่งใดไว้ เวินจือเหิงจึงจะสามารถนำมาต่อรองได้เซียวจิ่งอี้ส่งสายตาให้เทียนเฉวียนด้านข้างเทียนเฉวียนเข้าใจ ก้าวออกมาโดยพลัน รับกล่องไม้ในมือของเวินจือเหิงไป และหมุนกายส่งให้เซียวจิ่งอี้กล่องไม้เปิดออก ด้านในมีกระดาษปึกหนึ่งวางไว้เซียวจิ่งอี้หยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมา พลิกดูทีละแผ่นขณะที่กระดาษปึกนั้นถูกพลิกทีละแผ่น สีหน้าที่แสดงออกของเซียวจิ่งอี้ก็เปลี่ยนไปจากความแปลกใจเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ จากความสงสัยเปลี่ยนไปเป็นความจริงจัง จนสุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งเวินจือเหิงยืนอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ ทั้งห้องมีเพียงเสียงกระดาษถูกพลิกตั้งแต่สกุลเวินถูกปิดล้อม ในใจของเวินจือเหิงก็ไม่ได้หวังว่าทำผิดแล้วจะไม่ถูกทำโทษเลยยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นที่นำท
เซียวจิ่งอี้พยักหน้า“ก่อนหน้านี้ที่ข้าตกอยู่ในอันตราย โชคดีที่ผู้นำสกุลเวินให้ความช่วยเหลือ”“แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ แต่ข้าก็ได้รับน้ำใจนี้แล้ว”“ทว่าเรื่องส่วนรวมก็คือเรื่องส่วนรวม เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว จะต้องเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ผู้ใดเป็นพิเศษ”“รอหลังจากสิ้นสุดคดีของสกุลเวินแล้ว ข้าจะมาแสดงความขอบคุณอีกครั้ง!”เวินจือเหิงได้ยินก็ตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายของเซียวจิ่งอี้ไปชั่วขณะหนึ่งไม่รอให้เขาตั้งสติได้ ก็มีทหารก้าวมาข้างหน้า ดึงเขาออกไปแล้วหลังกลับมาเรือนของตัวเอง เวินจือเหิงก็ยังสับสนมึนงงความหมายเมื่อครู่ของอี้อ๋อง คือบอกว่าเขาติดหนี้น้ำใจของตนคราหนึ่ง แต่เขาไปช่วยเหลืออี้อ๋องตั้งแต่เมื่อใดกัน?เหตุใดเขาจึงนึกเรื่องนี้ไม่ออก?เวินจือเหิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจทางด้านเซียวจิ่งอี้ เมื่อเวินจือเหิงออกไปแล้ว เขาก็หันกลับมาสั่งเทียนเฉวียนว่า “ส่งคนไปจับตาดูคนของบ้านรองสกุลเวิน”“พาตัวเวินเจามาหาข้า”เซียวจิ่งอี้หยิบกระดาษปึกนั้นจากในกล่องไม้ออกมาอีกครั้งเวินจือเหิงทำให้เขาประหลาดใจจริง ๆบนเกาะหมัวกุ่ยเขาค้นพบความทะเยอทะยานแสนชั่วร้ายของคนแคว
จู่ ๆ เซียวจิ่งอี้ก็นึกถึงคืนนั้นที่เขาไปตรวจสอบหอจินอวี้ยามนั้นในห้องนั้นนอกจากเวินเจากับพ่อค้าชาวญี่ปุ่นแล้ว ยังมีชายลึกลับสวมหน้ากากอีกคนหนึ่งด้วยหากเวินเจาเป็นนายน้อยของแคว้นเยว่ เช่นนั้นชายลึกลับสวมหน้ากากผู้นั้น อาจจะเป็นราชครูใช่หรือไม่?เซียวจิ่งอี้ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ จมลงสู่ความคิดผ่านไปครู่หนึ่ง เทียนเฉวียนก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พาตัวเวินเจามาแล้วขอรับ!”เซียวจิ่งอี้พยักหน้า “เจ้าไปตรวจสอบเสียหน่อย ดูว่าบนตัวเวินเจาผู้นั้นมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวหรือไม่?”เทียนเฉวียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบรับและออกไปทันทีผ่านไปครู่หนึ่ง เทียนเฉวียนจึงเพิ่งกลับมาอีกครั้ง“เรียนท่านอ๋อง ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว บนตัวเวินเจาผู้นั้นไม่มีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวขอรับ”“คิดไม่ถึงว่าจะไม่มี” เซียวจิ่งอี้ขมวดคิ้วสัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของคนแคว้นเยว่แคว้นเยว่บูชาเทพจันทราดังนั้นยามที่ทารกแคว้นเยว่อายุครบเดือน บนตัวจะใช้สีพิเศษทำสัญลักษณ์พระจันทร์ไว้ วิธีนี้เป็นการขอให้เทพจันทราปกป้องคุ้มครองหากเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยแคว้นเยว่ บน
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ