ครั้นได้ยินคำว่า “เมืองหลวง” คิ้วของเซียวจิ่งอี้ก็กระตุกอย่างรุนแรงการเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ของพวกเขา ก็เป็นการขึ้นเหนือเช่นกันหรือว่าราชครูเผ่าเยว่นั่นจะสมคบคิดอะไรบางอย่างกับคนในเมืองหลวง?เซียวจิ่งอี้มองป้ายอาญาสิทธิ์ขององค์ชายสามชิ้นนั้นในมือ หัวใจพลันหนักอึ้งมากกว่าเดิมเซียวจิ่งอี้สั่งคนให้เก็บคำสารภาพและหลักฐานทุกอย่างให้เรียบร้อย ทั้งสั่งให้เฝ้าคนเผ่าเยว่เหล่านั้นไว้อย่างแน่นหนา อย่าให้พวกเขาตายก่อนเข้าเมืองหลวงเด็ดขาดการเดินทางต่อจากนั้น ไม่มีวี่แววของคนเผ่าเยว่โผล่มาให้เห็นอีกทั้งยังไม่เกิดเรื่องอย่างการช่วยเหลือหรือสังหารเวินเจาเดินทางได้อย่างราบรื่นสงบสุขตลอดทางเมื่อขบวนรถเคลื่อนตัวมาหยุดที่ศาลาพักสิบลี้นอกเมืองหลวง เงาร่างเล็ก ๆ ผู้หนึ่งกำลังควบม้าตัวเมียเตี้ย ๆ วิ่งมายังขบวนรถผู้ติดตามนับสิบคนด้านหลังคอยคุ้มกันอยู่ข้าง ๆ พลางตะโกนว่า “ซื่อจื่อน้อย ช้าหน่อยขอรับ...”เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านหน้าสุดเพิ่งเตรียมการป้องกันได้ไม่นาน ก็จำเงาร่างเล็ก ๆ ผู้นั้นได้ทันทีเทียนเฉวียนที่คอยติดตามอยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนั้นก็เผยสีหน้าดีใจ รีบรายงานเข้าไปด้านในรถม้
เซียวจิ่งอี้จำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการของทหารรักษาพระองค์ฝ่ายขวาแม้จะบอกว่าเสด็จพ่อคิดเผื่อถึงความปลอดภัยของจิงมั่ว ทว่าถึงขั้นส่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ฝ่ายขวาออกมาด้วย เช่นนี้จะไม่เป็นการใช้คนไม่เหมาะกับงานไปสักหน่อยหรือ?หากเรื่องนี่แพร่ออกไป คงยากที่จะเลี่ยงมิให้คนคิดว่าฮ่องเต้จิ่งผิงทรงลำเอียง โปรดปรานรักใคร่เซียวจิงมั่วพระราชนัดดาผู้นี้มากเกินไปความคิดนี้แล่นผ่านใจของเซียวจิ่งอี้ แล้วก็ถูกเขาเก็บไปทันทีตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้ยินคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเสด็จพ่อทรงลำเอียงรักเสด็จแม่ของเขา ลำเอียงรักเขาผู้เป็นโอรสมาไม่น้อยยามนี้เสด็จพ่อทรงลำเอียงโปรดปรานบุตรชายของเขาอีกคน ก็ดูเหมือนว่ามันจะมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคิดแล้ว คนอื่น ๆ ก็คงจะเคยชินมานานแล้วยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่จิงมั่วเป็นบุตรชายของเขา หากกระทั่งเรื่องวิจารณ์แค่นี้เขายังทนรับไม่ได้ แล้วจะไปพูดถึงเรื่องอื่นได้อย่างไร?เซียวจิ่งอี้ดึงสมาธิกลับไปอยู่ที่บุตรชายอย่างเซียวจิงมั่วอีกครั้ง แล้วจึงเห็นบุตรชายกำลังแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นฝูหลิง ปากเล็ก ๆ นั่นก็พูดเจื้อยแจ้วถึงชีวิตในเมืองหลวงของเขา หลังจ
การรู้ดีอยู่แก่ใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การพูดสิ่งที่รู้ออกมานับเป็นอีกเรื่องหนึ่งแม้สองพ่อลูกเซียวจิ่งอี้กับฮ่องเต้จิ่งผิงจะเข้าใจกันดี แต่ก่อนที่สถานการณ์จะสิ้นสุดลง ทุกสิ่งย่อมเต็มไปด้วยตัวแปรเดิมทียังสามารถเปลี่ยนผ่าน ส่งต่ออำนาจได้อย่างราบรื่นแต่ก็อาจเกิดอุปสรรคเข้าแทรก ส่งผลให้เกิดปัญหานับไม่ถ้วนหากตั้งใจจะเพิ่มอุปสรรคบนทางเดินที่ราบเรียบในตอนแรก นี่หมายความว่าไม่ชอบที่ชีวิตของตัวเองง่ายดายเกินไปหรือ?เซียวจิงมั่วเห็นพ่อแม่หน้าบึ้งตึง ท่าทางจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแลบลิ้นโดยพลัน กล่าวว่า “ข้าไม่ได้โง่นะขอรับ ข้าแอบบอกความลับแค่กับท่านพ่อและท่านแม่ ไม่ได้บอกผู้อื่นเลย!”อวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าผากนางแค่มองใบหน้าเด็กน้อยไร้เดียงสาของลูกชาย ก็รู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกให้ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่ สำหรับเด็กที่เกิดในราชวงศ์ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนักไม่คิดว่าพริบตาเดียว ลูกชายจะสอนบทเรียนหนึ่งให้นางที่แท้ชีวิตก็คืออาจารย์ที่ดีที่สุดด้วยอิทธิพลของชาติกำเนิดจากราชวงศ์ เห็นได้ชัดว่าลูกชายของตนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากขาวเป็นดำหลังจากอวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหา
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงกลับมาที่เมืองหลวง ก็เปิดโปงความจริงของครอบครัวนั้น และขับไล่ออกไปจากจวนจี้ชุนโหวทว่าช่วงหลายปีมานี้ ครอบครัวนั้นได้ซื้อทรัพย์สินส่วนตัวไปไม่น้อย แม้จะไม่ได้มั่งคั่งเหมือนยามที่อยู่จวนโหว แต่กลับมิได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งออกจากเมืองหลวงไปไม่นาน เหตุใดเซี่ยงซื่อจึงตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?ในยามนี้เอง หลิงโหยวได้เอ่ยอธิบายความสงสัยในใจของอวิ๋นฝูหลิง“คุณหนูใหญ่ อวิ๋นชิงมู่เสพติดขี้ผึ้งทอง หลบเลี่ยงสายตาของอวิ๋นกานซงและเซี่ยงซื่อ ไม่เพียงแต่แอบขโมยเงินในบ้าน แต่ยังเอาที่ดินและร้านทั้งหมดไปจำนองด้วยขอรับ”“ต่อมาราชสำนักได้ออกคำสั่งห้ามเสพ ทั้งยังทำลายขี้ผึ้งทอง หมอและโรงหมอใหญ่ ๆ ทุกแห่งในเมืองหลวงรวมถึงกลุ่มหมอหลวงในสำนักหมอหลวงได้รักษาผู้ป่วยที่ติดขี้ผึ้งทอง ช่วยให้พวกเขาเลิกขี้ผึ้งทองได้”“ทว่าอวิ๋นชิงมู่ผู้นั้นไม่มีความมุ่งมั่น ไม่อาจทนความเจ็บปวดที่เกิดจากการเลิกขี้ผึ้งทองได้”“ไม่เพียงแต่ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา กลับคิดจะทำทุกวิถีทางเพื่อเสพขี้ผึ้งทองต่อไป”“สุดท้ายก็เสพขี้ผึ้งทองเกินขนาดจนตาย”“เมื่ออวิ๋นชิงมู่ตาย ทรัพย์สินของสกุลอวิ๋นก็ถ
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้ยินต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว และได้เห็นจุดจบที่จมลงสู่ความเวทนาของศัตรูเมื่อวันวาน ย่อมรู้สึกมีความสุขรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง ทิ้งเซี่ยงซื่อที่กลายเป็นหญิงบ้าและอวิ๋นกานซงผู้กลายเป็นขอทานไว้ไกล ๆ เบื้องหลังคนชั่วได้รับผลที่พวกเขาควรได้รับแล้วนับตั้งแต่วันนี้ไป นางอวิ๋นฝูหลิงจะมีอนาคตที่สดใสมากกว่าเดิมณ ตำหนักจื่อเฉินเซียวจิ่งอี้นำหลักฐานและคำให้การที่ได้ระหว่างเดินทางไปเจียงหนานมากราบทูลฮ่องเต้จิ่งผิงรวมถึงคนแคว้นเยว่หลายคนที่ถูกจับระหว่างทางกลับเมืองหลวง และป้ายอาญาสิทธิ์ประจำจวนองค์ชายสามชิ้นนั้นที่พบบนร่างของพวกเขาด้วย“ลูกตรวจสอบคนแคว้นเยว่ที่เหลืออยู่เหล่านั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเชื่อมโยงมาถึงตัวเสด็จพี่สาม”“ลูกไม่กล้าวู่วาม ทำได้เพียงขอร้องเสด็จพ่อให้ตัดสินอย่างกระจ่าง ล้างมลทินให้เสด็จพี่สามพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวจิ่งอี้รู้ดีว่าป้ายอาญาสิทธิ์ของจวนองค์ชายสามชิ้นนั้นปรากฏบนร่างของคนแคว้นเยว่พวกนั้นอย่างไร้เหตุผลแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายสามจึงเกี่ยวข้องกับคนแคว้นเยว่พวกนั้นได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์แน่นอนเพียงแค่หากจะตรวจสอบองค์ชายสาม
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีวัดแห่งหนึ่ง...”น้ำเสียงอ่อนโยนกระจ่างใสดังขึ้นในห้อง เล่านิทานออกมาอย่างน่าฟังลมเหนือพัดมา ลมหนาวจับใจ ทว่าในห้องหลับอบอุ่นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังรับประทานอาหารเช้า เซียวจิ่งอี้เรียนหนังสือในห้องทรงพระอักษรเป็นเพื่อนเซียวจิงมั่วเขาได้รู้ผลการเรียนของเซียวจิงมั่วในช่วงนี้จากอาจารย์ของห้องทรงพระอักษรพอดีอวิ๋นฝูหลิงเริ่มจัดการหน้าที่ซึ่งคั่งค้างอยู่ระหว่างช่วงที่นางออกไปข้างนอกมีพวกพ่อบ้านฝู หลิงโหยวและสวี่ตง แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะออกไปข้างนอกระยะหนึ่ง แต่ทุกสิ่งในจวนอ๋องก็ยังเป็นปกติ ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้น ทางด้านสำนักช่วยชีพกับสวนสมุนไพรก็ดำเนินการได้ตามปกติมีผู้ช่วยที่แบ่งเบาภาระได้ช่างรู้สึกดียิ่งนัก!อวิ๋นฝูหลิงกำลังดูสมุดบัญชี ก็ได้ยินคนเข้ามารายงาน “พระชายา ช่างไม้จางมาถึงแล้วขอรับ”เซียวจิ่งอี้มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถทุกแขนงอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงเคยขอเขาว่าต้องการช่างที่ทำงานไม้เก่ง ๆ สักหลายคนหน่อยช่างไม้จางผู้นี้มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในบรรดาช่างไม้เหล่านั้นหลังจากกลับมาเมื่อวาน อวิ๋นฝูหลิงก็ให้คนไปแจ้งข่าวช่างไม้
หลังจากเซียวจิ่งอี้ไปที่เรือนชิงเฟิงคราหนึ่ง ก็หาโอกาสถามอวิ๋นฝูหลิงว่า “ข้าเห็นสิ่งของแปลก ๆ ที่ทำจากไม้มากมายในเรือนชิงเฟิง เจ้าให้คนทำสิ่งเหล่านั้นเพื่ออะไรหรือ?”“หลังจากทำเสร็จแล้วท่านก็จะรู้เอง” อวิ๋นฝูหลิงพูดจบ ก็กล่าวเตือนอีกครา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าจะมอบให้จิงมั่ว”“ท่านอย่าให้เขารู้เชียว ข้าอยากทำให้เขาประหลาดใจสักครา!”เซียวจิ่งอี้เลิกคิ้ว ในใจยิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิมเขาพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”ขณะที่สองสามีภรรยาพูดคุยกัน ทันใดนั้นเองเซียวจิงมั่วก็กระโดดออกมาอย่างกะทันหัน “ท่านพ่อ ท่านแม่...”อวิ๋นฝูหลิงถูกเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้งเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าถมึงทึง“จู่ ๆ ทำเสียงดังอันใดกัน ดูสิทำแม่ของเจ้าตกใจหมดแล้ว มิใช่ว่าพ่อเคยสอนเจ้าแล้วหรือ ผู้สูงศักดิ์ต้องทำตัวให้เหมาะสม...”เซียวจิงมั่วก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะทำให้มารดาตกใจ จึงรีบก้าวไปด้านหน้ากอดอวิ๋นฝูหลิงไว้“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ทั้งหมดเพราะจิงมั่วไม่ดีเอง!”อวิ๋นฝูหลิงลูบหน้าอก เห็นดวงตาของเขาแดงเรื่อ ก็รู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคุยซุบซิบกัน จนไม่ทันสังเก
เซียวจิ่งอี้นึกถึงหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาไม่ได้อยู่เคียงข้างเซียวจิงมั่วทั้งยังไม่เคยฉลองวันเกิดเป็นเพื่อนเขาเลยสักคราความรู้สึกผิดและนึกเสียใจผุดขึ้นในใจของเขา“แม่เจ้าพูดถูก พ่อจะชดเชยวันเกิดหลายปีนั้นที่ติดค้างเจ้าทั้งหมด”เซียวจิงมั่วหัวเราะออกมาโดยพลัน แบ่งจูบบนใบหน้าของอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านดีที่สุดเลย!”ส่งเซียวจิงมั่วกลับเรือน หลังกล่อมเขาเข้านอน อวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้ก็หารือกันเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของเซียวจิงมั่วเดิมทีอวิ๋นฝูหลิงอยากให้ครอบครัวพวกเขาสามคน ฉลองวันเกิดที่อบอุ่นทั้งยังยากจะลืมเลือนด้วยกันในเมื่อตอนนี้ต้องเชิญสหายร่วมชั้นเรียนเหล่านั้นของเซียวจิงมั่วจากห้องทรงพระอักษรด้วย อวิ๋นฝูหลิงจึงคิดจะจัดงานสังสรรค์ในวันเกิดสักงานเซียวจิ่งอี้มีใจอยากชดเชยให้เซียวจิงมั่ว ย่อมต้องการจัดงานฉลองวันเกิดครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่ขอเพียงเป็นคำขอของเซียวจิงมั่ว เขาย่อมรับปากเพียงพริบตาเดียว วันนี้ก็ถึงวันเกิดของเซียวจิงมั่วเซียวลี่มาถึงเป็นคนแรกเขาถือเทียบเชิญที่เซียวจิงมั่วเขียนให้ไว้ในมือ เมื่อมาถึงประตูของจวนอี้อ๋อง ก็เอ
รูปแบบงานเลี้ยงเช่นนี้ นางไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อนอวิ๋นฝูหลิงยิ้มพลางอธิบาย “งานเลี้ยงวันนี้เป็นแบบบริการตัวเอง”“สิ่งที่เรียกว่างานเลี้ยงบริการตัวเอง คือสามารถเลือกอาหารและเครื่องดื่มได้ตามใจ อยากกินสิ่งใดก็หยิบสิ่งนั้น”“หลังจากหยิบอาหารแล้ว สามารถนั่งหรือยืนได้ตามใจ ไปกินอาหารกับผู้อื่นได้ตามสะดวก”“หากอยากนั่งพักผ่อน ในเรือนปีกตะวันออกก็มีโต๊ะเก้าอี้...”หลังจากพระชายาองค์ชายห้าได้ยินคำอธิบายของอวิ๋นฝูหลิง จึงเพิ่งเผยสีหน้าเข้าใจออกมา“รูปแบบการกินอาหารเช่นนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”“แต่ฟังดูน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองพูดคุยกันครู่หนึ่ง ก็ได้ยินคนใช้รายงานว่ามีแขกมาถึงแล้วอวิ๋นฝูหลิงปล่อยให้พระชายาขององค์ชายห้าอยู่ตามสบาย และไปที่ประตูรองเพื่อต้อนรับแขกเซียวจิงมั่วในฐานะนายน้อยของจวนอี้อ๋อง เป็นเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้ ย่อมต้องไปต้อนรับแขกเซียวลี่ซึ่งเดิมทีอยากจะเล่นสนุกต่อเห็นเช่นนั้น หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ไปที่โถงด้านหน้ากับเซียวจิงมั่ว เพื่อช่วยต้อนรับแขกนี่เป็นการแสดงว่าเขาคือเพื่อนสนิทของเซียวจิงมั่ว!ผู้อื่นอย่าได้คิดจะผ่
ณ เรือนชิงเฟิงบนโต๊ะยาวที่ต่อกันเป็นแถวยาวเหยียด วางขนมอบและผลไม้หลายชนิดไว้ขนมอบเหล่านั้นไม่ใช่ขนมอบพุทราน้ำผึ้งหรือขนมอบถั่วเขียวที่เห็นได้ทั่วไป แต่ทำให้กลายเป็นรูปสัตว์นานาชนิดมีหมีน้อย กระต่าย หมูน้อยและอื่น ๆมีความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กน้อยไร้เดียงสาแผ่ออกมาในเรือนใช้ถ่านไฟสร้างความอบอุ่น วางเครื่องเล่นมากมายไว้ ทั้งเคลื่อนเล่นลื่นไถลของเด็ก ไม้กระดก ชิงช้า สะพานไม้ ตาข่ายปีนป่ายและอื่น ๆ บนโต๊ะที่มุมยังมีกองของเล่นเล็ก ๆ อย่างพวกแผ่นตัวต่อปริศนาเจ็ดแผ่น ลูกบิด และเก้าห่วงปริศนาด้วยเซียวจิงมั่วจูงมือเซียวลี่ แนะนำทุกอย่างให้เขา“ของพวกนี้ท่านแม่ของข้าทำให้ข้าหมดเลย”“ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุด!”เซียวจิงมั่วเชิดคาง ทั้งร่างเต็มไปด้วยความสุขมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเมื่อเช้านี้เมื่อได้เห็นของพวกนี้ เขาตกใจมากเพียงใดเซียวลี่ร้องอุทานออกมาเสียงหนึ่ง รู้สึกแค่ว่าดวงตาของเขายังมองไม่พอ“จิงมั่ว อาสะใภ้เจ็ดเก่งมากเลย ทำของได้หลายสิ่งจริงๆ”“ถ้าอาสะใภ้เจ็ดเป็นแม่ข้าก็คงดี!”เซียวจิงมั่วกอดอก “นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก นางเป็นแม่ข้า!”เซียวลี่ก็แค่พูดเท่านั้น แม้ว่าแม่ของเขาจะไ
เซียวจิ่งอี้นึกถึงหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาไม่ได้อยู่เคียงข้างเซียวจิงมั่วทั้งยังไม่เคยฉลองวันเกิดเป็นเพื่อนเขาเลยสักคราความรู้สึกผิดและนึกเสียใจผุดขึ้นในใจของเขา“แม่เจ้าพูดถูก พ่อจะชดเชยวันเกิดหลายปีนั้นที่ติดค้างเจ้าทั้งหมด”เซียวจิงมั่วหัวเราะออกมาโดยพลัน แบ่งจูบบนใบหน้าของอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านดีที่สุดเลย!”ส่งเซียวจิงมั่วกลับเรือน หลังกล่อมเขาเข้านอน อวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้ก็หารือกันเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของเซียวจิงมั่วเดิมทีอวิ๋นฝูหลิงอยากให้ครอบครัวพวกเขาสามคน ฉลองวันเกิดที่อบอุ่นทั้งยังยากจะลืมเลือนด้วยกันในเมื่อตอนนี้ต้องเชิญสหายร่วมชั้นเรียนเหล่านั้นของเซียวจิงมั่วจากห้องทรงพระอักษรด้วย อวิ๋นฝูหลิงจึงคิดจะจัดงานสังสรรค์ในวันเกิดสักงานเซียวจิ่งอี้มีใจอยากชดเชยให้เซียวจิงมั่ว ย่อมต้องการจัดงานฉลองวันเกิดครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่ขอเพียงเป็นคำขอของเซียวจิงมั่ว เขาย่อมรับปากเพียงพริบตาเดียว วันนี้ก็ถึงวันเกิดของเซียวจิงมั่วเซียวลี่มาถึงเป็นคนแรกเขาถือเทียบเชิญที่เซียวจิงมั่วเขียนให้ไว้ในมือ เมื่อมาถึงประตูของจวนอี้อ๋อง ก็เอ
หลังจากเซียวจิ่งอี้ไปที่เรือนชิงเฟิงคราหนึ่ง ก็หาโอกาสถามอวิ๋นฝูหลิงว่า “ข้าเห็นสิ่งของแปลก ๆ ที่ทำจากไม้มากมายในเรือนชิงเฟิง เจ้าให้คนทำสิ่งเหล่านั้นเพื่ออะไรหรือ?”“หลังจากทำเสร็จแล้วท่านก็จะรู้เอง” อวิ๋นฝูหลิงพูดจบ ก็กล่าวเตือนอีกครา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าจะมอบให้จิงมั่ว”“ท่านอย่าให้เขารู้เชียว ข้าอยากทำให้เขาประหลาดใจสักครา!”เซียวจิ่งอี้เลิกคิ้ว ในใจยิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิมเขาพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”ขณะที่สองสามีภรรยาพูดคุยกัน ทันใดนั้นเองเซียวจิงมั่วก็กระโดดออกมาอย่างกะทันหัน “ท่านพ่อ ท่านแม่...”อวิ๋นฝูหลิงถูกเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้งเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าถมึงทึง“จู่ ๆ ทำเสียงดังอันใดกัน ดูสิทำแม่ของเจ้าตกใจหมดแล้ว มิใช่ว่าพ่อเคยสอนเจ้าแล้วหรือ ผู้สูงศักดิ์ต้องทำตัวให้เหมาะสม...”เซียวจิงมั่วก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะทำให้มารดาตกใจ จึงรีบก้าวไปด้านหน้ากอดอวิ๋นฝูหลิงไว้“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ทั้งหมดเพราะจิงมั่วไม่ดีเอง!”อวิ๋นฝูหลิงลูบหน้าอก เห็นดวงตาของเขาแดงเรื่อ ก็รู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคุยซุบซิบกัน จนไม่ทันสังเก
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีวัดแห่งหนึ่ง...”น้ำเสียงอ่อนโยนกระจ่างใสดังขึ้นในห้อง เล่านิทานออกมาอย่างน่าฟังลมเหนือพัดมา ลมหนาวจับใจ ทว่าในห้องหลับอบอุ่นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังรับประทานอาหารเช้า เซียวจิ่งอี้เรียนหนังสือในห้องทรงพระอักษรเป็นเพื่อนเซียวจิงมั่วเขาได้รู้ผลการเรียนของเซียวจิงมั่วในช่วงนี้จากอาจารย์ของห้องทรงพระอักษรพอดีอวิ๋นฝูหลิงเริ่มจัดการหน้าที่ซึ่งคั่งค้างอยู่ระหว่างช่วงที่นางออกไปข้างนอกมีพวกพ่อบ้านฝู หลิงโหยวและสวี่ตง แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะออกไปข้างนอกระยะหนึ่ง แต่ทุกสิ่งในจวนอ๋องก็ยังเป็นปกติ ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้น ทางด้านสำนักช่วยชีพกับสวนสมุนไพรก็ดำเนินการได้ตามปกติมีผู้ช่วยที่แบ่งเบาภาระได้ช่างรู้สึกดียิ่งนัก!อวิ๋นฝูหลิงกำลังดูสมุดบัญชี ก็ได้ยินคนเข้ามารายงาน “พระชายา ช่างไม้จางมาถึงแล้วขอรับ”เซียวจิ่งอี้มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถทุกแขนงอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงเคยขอเขาว่าต้องการช่างที่ทำงานไม้เก่ง ๆ สักหลายคนหน่อยช่างไม้จางผู้นี้มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในบรรดาช่างไม้เหล่านั้นหลังจากกลับมาเมื่อวาน อวิ๋นฝูหลิงก็ให้คนไปแจ้งข่าวช่างไม้
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้ยินต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว และได้เห็นจุดจบที่จมลงสู่ความเวทนาของศัตรูเมื่อวันวาน ย่อมรู้สึกมีความสุขรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง ทิ้งเซี่ยงซื่อที่กลายเป็นหญิงบ้าและอวิ๋นกานซงผู้กลายเป็นขอทานไว้ไกล ๆ เบื้องหลังคนชั่วได้รับผลที่พวกเขาควรได้รับแล้วนับตั้งแต่วันนี้ไป นางอวิ๋นฝูหลิงจะมีอนาคตที่สดใสมากกว่าเดิมณ ตำหนักจื่อเฉินเซียวจิ่งอี้นำหลักฐานและคำให้การที่ได้ระหว่างเดินทางไปเจียงหนานมากราบทูลฮ่องเต้จิ่งผิงรวมถึงคนแคว้นเยว่หลายคนที่ถูกจับระหว่างทางกลับเมืองหลวง และป้ายอาญาสิทธิ์ประจำจวนองค์ชายสามชิ้นนั้นที่พบบนร่างของพวกเขาด้วย“ลูกตรวจสอบคนแคว้นเยว่ที่เหลืออยู่เหล่านั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเชื่อมโยงมาถึงตัวเสด็จพี่สาม”“ลูกไม่กล้าวู่วาม ทำได้เพียงขอร้องเสด็จพ่อให้ตัดสินอย่างกระจ่าง ล้างมลทินให้เสด็จพี่สามพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวจิ่งอี้รู้ดีว่าป้ายอาญาสิทธิ์ของจวนองค์ชายสามชิ้นนั้นปรากฏบนร่างของคนแคว้นเยว่พวกนั้นอย่างไร้เหตุผลแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายสามจึงเกี่ยวข้องกับคนแคว้นเยว่พวกนั้นได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์แน่นอนเพียงแค่หากจะตรวจสอบองค์ชายสาม
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงกลับมาที่เมืองหลวง ก็เปิดโปงความจริงของครอบครัวนั้น และขับไล่ออกไปจากจวนจี้ชุนโหวทว่าช่วงหลายปีมานี้ ครอบครัวนั้นได้ซื้อทรัพย์สินส่วนตัวไปไม่น้อย แม้จะไม่ได้มั่งคั่งเหมือนยามที่อยู่จวนโหว แต่กลับมิได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งออกจากเมืองหลวงไปไม่นาน เหตุใดเซี่ยงซื่อจึงตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?ในยามนี้เอง หลิงโหยวได้เอ่ยอธิบายความสงสัยในใจของอวิ๋นฝูหลิง“คุณหนูใหญ่ อวิ๋นชิงมู่เสพติดขี้ผึ้งทอง หลบเลี่ยงสายตาของอวิ๋นกานซงและเซี่ยงซื่อ ไม่เพียงแต่แอบขโมยเงินในบ้าน แต่ยังเอาที่ดินและร้านทั้งหมดไปจำนองด้วยขอรับ”“ต่อมาราชสำนักได้ออกคำสั่งห้ามเสพ ทั้งยังทำลายขี้ผึ้งทอง หมอและโรงหมอใหญ่ ๆ ทุกแห่งในเมืองหลวงรวมถึงกลุ่มหมอหลวงในสำนักหมอหลวงได้รักษาผู้ป่วยที่ติดขี้ผึ้งทอง ช่วยให้พวกเขาเลิกขี้ผึ้งทองได้”“ทว่าอวิ๋นชิงมู่ผู้นั้นไม่มีความมุ่งมั่น ไม่อาจทนความเจ็บปวดที่เกิดจากการเลิกขี้ผึ้งทองได้”“ไม่เพียงแต่ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา กลับคิดจะทำทุกวิถีทางเพื่อเสพขี้ผึ้งทองต่อไป”“สุดท้ายก็เสพขี้ผึ้งทองเกินขนาดจนตาย”“เมื่ออวิ๋นชิงมู่ตาย ทรัพย์สินของสกุลอวิ๋นก็ถ
การรู้ดีอยู่แก่ใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การพูดสิ่งที่รู้ออกมานับเป็นอีกเรื่องหนึ่งแม้สองพ่อลูกเซียวจิ่งอี้กับฮ่องเต้จิ่งผิงจะเข้าใจกันดี แต่ก่อนที่สถานการณ์จะสิ้นสุดลง ทุกสิ่งย่อมเต็มไปด้วยตัวแปรเดิมทียังสามารถเปลี่ยนผ่าน ส่งต่ออำนาจได้อย่างราบรื่นแต่ก็อาจเกิดอุปสรรคเข้าแทรก ส่งผลให้เกิดปัญหานับไม่ถ้วนหากตั้งใจจะเพิ่มอุปสรรคบนทางเดินที่ราบเรียบในตอนแรก นี่หมายความว่าไม่ชอบที่ชีวิตของตัวเองง่ายดายเกินไปหรือ?เซียวจิงมั่วเห็นพ่อแม่หน้าบึ้งตึง ท่าทางจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแลบลิ้นโดยพลัน กล่าวว่า “ข้าไม่ได้โง่นะขอรับ ข้าแอบบอกความลับแค่กับท่านพ่อและท่านแม่ ไม่ได้บอกผู้อื่นเลย!”อวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าผากนางแค่มองใบหน้าเด็กน้อยไร้เดียงสาของลูกชาย ก็รู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกให้ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่ สำหรับเด็กที่เกิดในราชวงศ์ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนักไม่คิดว่าพริบตาเดียว ลูกชายจะสอนบทเรียนหนึ่งให้นางที่แท้ชีวิตก็คืออาจารย์ที่ดีที่สุดด้วยอิทธิพลของชาติกำเนิดจากราชวงศ์ เห็นได้ชัดว่าลูกชายของตนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากขาวเป็นดำหลังจากอวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหา
เซียวจิ่งอี้จำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการของทหารรักษาพระองค์ฝ่ายขวาแม้จะบอกว่าเสด็จพ่อคิดเผื่อถึงความปลอดภัยของจิงมั่ว ทว่าถึงขั้นส่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ฝ่ายขวาออกมาด้วย เช่นนี้จะไม่เป็นการใช้คนไม่เหมาะกับงานไปสักหน่อยหรือ?หากเรื่องนี่แพร่ออกไป คงยากที่จะเลี่ยงมิให้คนคิดว่าฮ่องเต้จิ่งผิงทรงลำเอียง โปรดปรานรักใคร่เซียวจิงมั่วพระราชนัดดาผู้นี้มากเกินไปความคิดนี้แล่นผ่านใจของเซียวจิ่งอี้ แล้วก็ถูกเขาเก็บไปทันทีตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้ยินคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเสด็จพ่อทรงลำเอียงรักเสด็จแม่ของเขา ลำเอียงรักเขาผู้เป็นโอรสมาไม่น้อยยามนี้เสด็จพ่อทรงลำเอียงโปรดปรานบุตรชายของเขาอีกคน ก็ดูเหมือนว่ามันจะมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคิดแล้ว คนอื่น ๆ ก็คงจะเคยชินมานานแล้วยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่จิงมั่วเป็นบุตรชายของเขา หากกระทั่งเรื่องวิจารณ์แค่นี้เขายังทนรับไม่ได้ แล้วจะไปพูดถึงเรื่องอื่นได้อย่างไร?เซียวจิ่งอี้ดึงสมาธิกลับไปอยู่ที่บุตรชายอย่างเซียวจิงมั่วอีกครั้ง แล้วจึงเห็นบุตรชายกำลังแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นฝูหลิง ปากเล็ก ๆ นั่นก็พูดเจื้อยแจ้วถึงชีวิตในเมืองหลวงของเขา หลังจ