เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน
ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ
หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้
“หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น
เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่”
ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา
มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน
คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เรียกอารมณ์ซึ้งกลับแทบไม่ทัน
เยี่ยหยางมองสายตาของท่านพ่อ เห็นความหึงความหวงที่ไม่คิดจะปกปิด เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือจะไร้ความทรงจำใด ๆ คนผู้นี้ก็รักท่านแม่เขา แถมขี้หึงได้แม้กับลูกตัวเอง
แต่ท่านพ่อที่รักก็มากความสามารถเหลือล้น จำท่านแม่ไม่ได้ยังตามเกี้ยวตามจีบ จนเขาได้น้องชายมาคนหนึ่ง ถ้าจำได้สงสัยเขาคงต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหามรุ่งหามค่ำหาเงินมาก ๆ มาเลี้ยงน้อง ดูท่าคำสาปประจำตระกูลวินเซอร์ ที่มีบุตรได้เพียงหนึ่งคนในทุกรุ่นจะหมดอายุก็ครานี้
นี่ขณะที่จำอะไรไม่ได้ยังหึงแรงเช่นนี้
ถ้าท่านพ่อได้ความทรงจำกลับคืน อาการคงรุนแรงกว่านี้แน่นอน
แต่ตอนนี้เขาขอแกล้งท่านพ่อที่น่ารักน่าชังหน่อยเถอะ ฐานชอบดุเขาตอนเด็ก
จูเหวินฟงคิ้วขมวดเป็นปม มองดูเด็กหนุ่มสวมหน้ากากไม่สวมเสื้อผ้า แม้จะแค่ท่อนบนก็เถอะ กอดรัดเมียรักเขาแทบจะกลืนกิน เขาไม่ยอมเด็ดขาดต่อจะให้เป็นแม่ลูกกันแต่นั่นเมียเขาโว้ย มาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้ได้ไง!!!
เฉิงเยว่มองท่านแม่โอบกอดพี่ชายอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ที่เขาสามารถหาพี่ชายเจอ เขาแอบมองท่านพ่อทำหน้าถมึนทึงแผ่รังสีหึงหวงอย่างไม่ไว้หน้าใครอีกตามเคย รู้สึกสนุกไม่น้อยที่ท่านแม่ถูกแย่งจากท่านพ่อ จึงเดินเข้าไปโอบกอดท่านแม่อีกข้าง
รัศมีหึงเมียเข้มข้นแผ่ออกมาทั่วห้อง จนรู้สึกไปถึงด้านนอกที่เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ยืนรอรับคำสั่งผู้เป็นนายรู้สึกหนาว ๆ ร้อน แต่ชางเหอบ่าวรับใช้ตระกูลจูกลับสบายอกสบายใจที่นายท่านอาการดีขึ้น สามารถเต้นแร้งเต้นกาหึงหวงนายหญิงได้เป็นปกติแล้ว ช่างดียิ่งนัก
เยี่ยหยางเห็นสีหน้ามืดครึ้มของผู้เป็นบิดา ชมจนพออกพอใจแล้ว ก็ผละออกจากอ้อมกอดมารดา ดูท่าถ้าเขากอดเมียบิดานานกว่านี้ ท่านพ่อเขาจะกระอักเลือด เพราะถูกภรรยาเมินได้
“ท่านพ่อ”
หลังจากกลั่นแกล้งบิดาพอหอมปากหอมคอ เรียกเลือดลมไหลเวียน เยี่ยหยางก็หันไปใส่ใจท่านพ่อบ้าง แต่…
จูเหวินฟงมองผู้ที่เรียกเขาเป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าอีกฝ่ายจะหมายถึงเขาที่เป็นพ่อเลี้ยง
เยี่ยหยางอ่านจากสีหน้าไม่เข้าใจก็รู้ว่า บิดาของเขากำลังมีความคิดแปลกประหลาดและจำเขาไม่ได้
ซึ่งหมายความว่าความทรงจำในระนาบมนตรา บิดาขี้หึงภรรยาคนนี้จำไม่ได้แม้แต่น้อย ดูท่าต้องฟื้นความจำกันอีกนาน แต่ก่อนอื่นคงต้องเล่าความจริงใส่ความเท็จไปบางส่วนก่อน เพื่ออธิบายที่มาที่ไปของตัวตนอย่างเขา
“ท่านพ่อ ท่านจำหยางหยางได้หรือไม่?”
จูเหวินฟงพยายามย้อนทบทวนความจำว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่ แต่ความทรงจำก็ว่างเปล่า เขานิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ครุ่นคิดมองดูท่าทีของเด็กหนุ่ม
เยี่ยหยางรู้นิสัยความคิดของบิดาเป็นอย่างดี ถ้าบอกว่าตัวเขาเป็นบุตรชายของท่านพ่อ ยังไงก็ไม่มีทางเชื่อ แล้วยิ่งไร้ความทรงจำก็ยิ่งยาก เขามองนิ่งไปที่บิดาอย่างใช้ความคิดว่าต้องพูดเช่นไร ให้คนเป็นพ่อเชื่อเขา
สายตาก็ก้มไปเห็นแหวนที่สวมใส่อยู่บนนิ้วหัวแม่โป้งซ้ายบนมือของจูเหวินฟง เป็นแหวนที่แสดงสัญลักษณ์ผู้นำตระกูลวินเซอร์รุ่นที่ยี่สิบเก้าก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“ท่านจำแหวนที่มือซ้ายว่าได้มาอย่างไรหรือไม่?” เยี่ยหยางถาม “แล้วรู้หรือไม่ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร?”
จูเหวินฟงนิ่งเงียบ เขารู้แค่ว่าแหวนวงนี้สำคัญกับตัวเอง ถอดไม่ได้เด็ดขาดมันจึงเหมือนแหวนประจำตัวของเขาไปแล้ว
หานเฟยและเฉิงเยว่มองพ่อลูกคุยกัน นางจำไม่ได้ว่าสามีที่คิดว่าตายแล้วกับสามีคนนี้คือคนเดียวกันที่นางรักสุดหัวใจ รักอย่างไม่มีเหตุผลทั้ง ๆ ที่ก่อนแต่งงานใหม่ยังจำอะไรไม่ได้ แต่ความรู้สึกของหัวใจไม่เคยผิดพลาด
นางรักคนคนเดียวมาโดยตลอด รักทั้ง ๆ ที่ไม่ความทรงจำ
ความยินดีและดีใจนี้ตื้นตันอยู่เต็มอก หมายความว่าลูกชายคนแรกและสามียังไม่ตาย แถมทั้งสองยังอยู่ต่อหน้านาง
นี่คือครอบครัวของนาง
เยี่ยหยางถอดแหวนที่อยู่ที่นิ้วกลางข้างขวายื่นให้บิดา มันคือแหวนที่บ่งบอกว่าเขาคือผู้นำตระกูลวินเซอร์รุ่นที่สามสิบ ลวดลายของแหวนแม้จะต่างกัน แต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันมาตลอดของแหวนผู้นำตระกูล คือสัญลักษณ์ประจำตระกูลวินเซอร์ที่สลักบนหัวแหวน
...ดาบและคทาไขว้บนโล่สัญลักษณ์อัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนมนตราคู่กับไฮดราสัตว์วิเศษประจำตระกูล…
ผู้เป็นบิดาลูกสอง จ้องมองแหวนสองวงอย่างใช้ความคิด แม้จะไม่รู้ว่าสัญลักษณ์ที่เหมือนกันของแหวนสองวงนี้มีความหมายอะไร แต่รู้สึกช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
เฉิงเยว่อ่านสีหน้าบิดา ก็รู้ว่ายังมีสิ่งคลางแคลงใจ จึงออกไปด้านนอก เดินไปหาชางเหอบ่าวคนสนิทของท่านพ่อ แล้วสั่งเตรียมชามเปล่าใส่น้ำเข้ามาในห้องพร้อมกรีชเล็ก ๆ ยื่นให้พ่อลูกที่ยังไม่เลิกจ้องหน้ากันไปมา
“ท่านพ่อ ต้าเกอพิสูจน์กันไปเลย มัวแต่จ้องตากันอยู่นั่น ข้ากับท่านแม่หิวแล้ว”
ชามที่บรรจุน้ำใสเห็นก้นภาชนะ วางอยู่กลางโต๊ะล้อมรอบด้วยสมาชิกของตระกูลวินเซอร์ ที่กำลังรอการพิสูจน์อัตลักษณ์ความเป็นพ่อลูกให้คนเป็นบิดามั่นใจ
จูเหวินฟงกรีดปลายนิ้วหยดโลหิตในชามก่อน เลือดสีแดงเป็นประกายลอยเป็นเม็ดกลมกลิ้งอยู่เหนือน้ำใส ก่อนส่งต่อให้เยี่ยหยางที่จัดการหยดเลือดแบบไม่ลังเลใจ
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
ถ้าไอ้บ้านั่นไม่มายุ่งกับครอบครัวพวกเขา อย่าว่าที่ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าไปห้าม เพราะนี้เป็นที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถึงลงมือช่วยแต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังเกินขึ้นอยู่ดี ดีไม่ดีความซวยอาจมาเยือนมือช่วยเหลือ อีกทั้งวันนี้ไม่มีบ่าวไพร่ติดตามมา มีเพียงแค่พ่อแม่ลูกและฉงหยิ๋นห้อยท้ายติดขบวนมาด้วย“นายหญิงช่วยข้าน้อยด้วย!!!”หนุ่ม ๆ สกุลจูและเสี่ยวฉงที่อยู่ในร่างเด็กน้อย ถึงกลับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พวกเขาก็ยืนหลบแล้ว แม่นางยังคลานมายื่นมีดใส่พวกเขาอีก ครานี้คงต้องเอี่ยวสินะ ก็โจทก์เหม็นเน่าอย่างหลี่อี๋เห็นครอบครัวตระกูลจูไปเรียบร้อย“แก!!!”เฮ้อ...น่าเบื่อ / น่ารำคาญ / งี่เง่า / เสียเวลาบ่าวไพร่หลายสิบคนจำนวนมากกว่าที่เผชิญหน้าสองวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว โอบล้อมคนตระกูลจูตามคำสั่งของเจ้านายที่ชิงชังเคียดแค้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่ร้ายแรง แต่สามารถทำให้เจ้าของร้านหน้าบริเวณที่จะเกิดเรื่อง ถึงกลับหน้าซีดเหงื่อตก รีบไปดูบัญชีที่ต้องใช้ซ่อมแซมร้านครั้งใหญ่อย่างเผิงเหล่ยที่ไม่รู้ว่าปีนี้มีเคราะห์หรือดวงซวยหรือไร พอเกิดเรื่องทีไรเขาต้องถูกลากไปเอี่ยวด้วยเสมอค่าใช้จ่ายค
ในท้ายที่สุดกลายเป็นหวาดกลัวจากก้นลึกของจิตใจ ภาพเบื้องหน้าคนของมันถูกซ้อมปางตาย บางคนวิปลาสทำท่าทำทางยั่วยวนราวกับสตรีซ่องนางโลม จนนายอย่างมันรู้สึกอับอายมากที่สุด และตอนนี้เหลือมันอยู่คนเดียว ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ หนีไปไหนไม่ได้ จูเหวินฟงเดินเข้าไปหาเหยื่อในมาดราชสีห์ขู่กระต่าย มองไปหลี่อี๋ที่น้ำสีเหลืองรดกางเกงสกปรกน่าขยะแขยง ยกมือสั่นเทาชี้หน้าเขา ท่านเสนาบดีใหญ่ยืนห่างออกไปหลายก้าวยกมือปิดจมูก “สกปรก” เยี่ยหยางปิดงานด้วยชั้นหม้อนึ่งที่ไร้ซาลาเปาร่อนกระแทกหน้าหลี่อี๋อย่างจังสลบในทีเดียว “โสโครก”“ข้าเก่งกาจหรือไม่เฟยเฟย” จูเหวินฟงเดินไปหาภรรยายื่นใบหน้าหาฮูหยินตนอย่างออดอ้อน หน้าตาต่างกับเมื่อครู่ริบรับอย่างกับเหยียนหลัวหวางพญายมราชกลายเป็นแกะน้อยผู้บริสุทธิ์“ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในสายตาน้อง” ผู้เป็นภรรยาก็มองสามีด้วยสายตาปลาบปลื้มซับเหงื่ออย่างอ่อนโยนถัดออกไปเป็นบุตรชายคนเล็กที่ยืนใกล้ ๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับการแสดงความรักออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจลูกเล็กเด็กแดงบ้างเลย ส่วนบุตรชายคนโตอย่างเยี่ยหยาง ได้แต่ยืนอึ้งที่บิดาเปลี่ยนไปมาก หรือเมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สังเกตเอง นี่เขาพลาดสิ่งใดไ
ครอบครัวตระกูลจูเดินตัวปลิวทำตัวสบาย ๆ ตามมือปราบอย่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ ถือว่าเป็นการมาเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ราชการต่างแคว้น ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเป็นถึงมหาเสนาบดีที่อยู่ใต้คนเป็นคนเดียวแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉิน แม้นี่จะเป็นอาณาเขตราชอาณาจักรซีเว่ย แต่ขุนนางชั้นล่างมีสิทธิ์อำนาจมากแค่ไหน ที่สามารถสั่งลงโทษขุนนางชั้นหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนละแคว้น ศาลเจ้าเมืองเจียงตงจะทำเป็นหนึ่งมือปิดฟ้าได้ไหวหรือ? จะรับคนใหญ่คนโตเช่นคนสกุลจูแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินได้ไหวหรือ?ตามหลังมาด้วยฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ที่เป็นรองเพียงองค์ไทเฮาและฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินเท่านั้น ตัวนางเองยังมีอำนาจในมือมากกว่าพระสนมบางคนเสียอีกและที่มือปราบพลาดยิ่งกว่า คงเป็นการเชิญท่านอ๋องบัดซบประจำแคว้นของตัวเองขึ้นศาล ต่อให้เป็นฮ่องเต้ลงมาไต่สวนด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทยังโบกมือปัด ๆ ไล่ปล่อยไปไกล ๆ เลย แต่มือปราบตัวเล็กตัวจ้อยไม่กี่คน คิดลงดาบกับคนที่ฮ่องเต้ยังทำเบลอปล่อยผ่าน ไม่รู้ถ้าพวกมันรู้ความจริงจะสำนึกเสียใจมากแค่ไหนหายนะครั้งใหญ่กำลังเดินทางโหมกระหน่ำ เข้าสู่ศาลเมืองเจียงตงอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าจบคดีนี้เจ้าที่ในศ
เจ้านายเถื่อนเดินกลับมาหาสหายบัดซบที่ก้มหน้าก้มตาสลักอักษรรูนอยู่ เขาก็ไม่รบกวนอะไรอีกฝ่าย หยิบเตียงโต๊ะเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติเวท วางเตียงตั้งโต๊ะวางเก้าอี้จัดข้าวของส่วนตัวราวกับเป็นห้องหับของตัวเองไม่สนใจสถานที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในเหมืองแร่ ไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจจากนั้นนำข่าวสารที่คนใต้ปกครองของหอข่าวซินเหวินออกมาอ่านเรียบเรียงไว้ บางข่าวจริงสามารถขายได้ บางข่าวก็ปลอม จากนั้นส่งข่าวที่ทำเงินได้กลับไปที่หอซินเหวินหลังจัดการงานการเสร็จก็ร่วงเข้าวันใหม่แล้ว คุณชายหวงก็ย้ายร่างกายของตัวเองไปนอนหลับพักผ่อนบ้าง ต่างกับสหายที่ปูผ้ากางมุ้งขึ้นเตียงหลับตั้งแต่ตะวันลับฟ้าได้ไม่นานหลังร่วมมื้ออาหารเย็น เพราะใช้พลังเวทไปมากโขเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันรุ่งขึ้นสองสหายตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างนั่งสมาธิเดินปราณกันหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะลุกไปจัดการธุระตัวเองตัวใครตัวมัน เสร็จแล้วมาร่วมมื้อเช้ารสมือท่านอ๋องที่ทำเป็นเสบียงเก็บไว้เฉกเช่นทุกวัน“เหล่าหยาง เจ้าทำอาหารเก่งเยี่ยมยอดเช่นนี้ ภรรยาในอนาคตเจ้าคงน้อยใจแย่เลย”“ไม่มีทาง เพราะนางจะมีความสุข จน
หวงฉีเจิ้งที่แยกไปขุดทรัพย์สินต้นทุนในการใช้ชีวิตของตัวเอง กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าเขาจะเริ่มจัดการเก็บเกี่ยวผลึกปราณตรงหน้าเช่นไรดีหากมองผิวเผินเหมือนเขาและเยี่ยหยางเป็นหัวขโมยแอบเก็บผลไม้ในสวนคนอื่นดูเป็นคน…เอ่อ คนเลว แล้วพวกคนใหญ่คนโตมีอำนาจทั้งหลายที่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าล่ะ ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอ้างเป็นของตน ฉกฉวย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน สารพัดวิธีให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองตั้งแต่เขาจากระนาบมนตรามาที่ระนาบหวู่เซียน ชีวิตความเป็นอยู่ทุกลมหายใจช่างลำบากขมขื่นใจยิ่งนักจากนายน้อยหนึ่งในตระกูลสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อื่นต่างยกย่องพะเน้อเอาใจ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม กลับถูกดูถูกเหยียดหยาม เพราะสายเลือดที่มีเอกลักษณ์นี้ไม่เพียงโดนกดขี่ข่มเหง ยังถูกจองจำเป็นทาสชั้นต่ำทั้งที่ยังไม่ทำสิ่งใดเขาไม่เคยโทษเยี่ยหยางที่ทำให้เขาต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิตรภาพระหว่างพวกเขาไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือขอโทษต่อกัน ความจริงใจที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันที่มอบให้กันหลายปี เขารู้และเข้าใจอีกฝ่ายเ
“ที่เหลือวานท่านอาจารย์จ้าวด้วยขอรับ”“อืม”ผู้ชำนาญการลงโทษศิษย์รับคำผู้อาวุโสเจียงที่อยู่ดูแลหอลงทัณฑ์คนเดียว เพราะผู้ดูแลคนอื่นยังไม่กลับมาจากการดูการประลองยุทธจ้าวถิงเซียวเดินนำศิษย์บัดซบที่กระตุ้นต่อมโทสะเขา ไปที่เหมืองผลึกที่ว่า ก่อนจะเรียกกระบี่ออกมาด้านหน้า ใช้วิชากระบี่บินหอบหิ้วร่างตัวแทนไปที่เหมืองทันทีส่วนชินอ๋องตัวจริงที่รับรู้เรื่องราวจากจิตสำนึกที่ตัวเองส่งไปกับร่างตัวแทน เหมือนจะคาดเดาโทษทัณฑ์ที่เขาได้รับออกแล้ว ก็ยิ้มหวานสะกิดเรียกสหายให้ไปสนุกด้วยกัน“อาเจิ้ง ๆ ไปกับข้าเร็ว!”“ไปไหน?” หวงฉีเจิ้งที่นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ ถูกเหล่าหยางสหายซี้ฉุดออกมาจากเตียงนอนถามอย่างงง ๆ“ไปรับทรัพย์” เยี่ยหยางตอบ ในใจกำลังคำนวณค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับ“ไป ๆ ที่ไหน” คนยากจนที่กำลังตั้งตัวผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตกลงไปร่วมรับทรัพย์ที่สหายบอก อีกทั้งยังเร่งรีบกว่า ก็ใครให้เขาตอนนี้ยากจนยากไร้จนต้องพึ่งคลังสมบัติเพื่อนกินอยู่อย่างทุกวันนี้
สามวันถัดมาลานเทียนจงได้ถูกบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่เสร็จเรียบร้อย การประลองยุทธจึงได้จัดต่อ ผู้ที่ต้องประลองต่างมีทั้งแพ้ชนะ และก็ถึงรอบของหวงฉีเจิ้ง ผู้ไม่อยากออกแรงเสียเหงื่อให้เหนื่อยกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ได้กอบโกยชัยชนะทั้งหมดด้วยการสะกดจิตคนทั้งลาน เพียงแค่ดีดนิ้วจากนั้นเขานั่งสบาย ๆ กินขนมจิบชาให้เยี่ยหยางหมั่นไส้ เพราะอีกฝ่ายต้องลงไปดวลเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องชายส่วนเฉิงเยว่น้องชายที่น่ารักก็อยากแสดงความสามารถให้พี่ชายได้ชื่นชม เขาจัดหนักกับการประลองอีกสามรอบที่เหลือ ทั้งพลังลมปราณ ทั้งพลังเวท ภายในเวลาไม่เกินจิบชา ก็กวาดคู่ต่อสู้นอนนิ่งเป็นปลาตายรักษาตัวนานนับเดือน ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์สายในที่เพิ่งเลื่อนระดับพอ ๆ กับพี่ชายตัวดีแน่นอนว่ามู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย และองครักษ์อย่างสือหลงโหยวผ่านได้สบาย ๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง โดยเฉพาะลู่เฉินแม้จะยังออกแรงได้ไม่เต็มที่แต่หูลี่เซียนก็ออกไปเล่นสนุกช่วยลู่เฉินอย่างที่ไม่ให้เจ้าตัวรู้ โดยขอยาพิษอ่อน ๆ จากเยี่ยหยางตั้งแต่หลายวันก่อนไปวางใส่คู่ประลองของลู่เฉิน เพื่อความเท่าเที
คนที่ชมการประลองรอบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกสั่นไหวเหมือนถูกเขย่าแผ่นดินสั่นสะเทือนมากผิดปกติเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ลานประลองก็มีหมอกควันขาว ฝุ่นฟุ้งกระจายตลบทั่วลานเทียงจง จนไม่เห็นสิ่งใดเมื่อควันจางลงสิ่งที่เห็นทำเอาทุกคนพูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดีเพราะลานเทียนจงที่เป็นลานประลองและลานอเนกประสงค์ของเทียนถูหวู่ ขอโบกมือลาตาย สิ้นอายุขัยหมดอายุการใช้งานไปเรียบร้อยพื้นลานแตกเป็นหลุมใหญ่ ก้นหลุมลึกประมาณความสูงกว่าหนึ่งช่วงคน เศษอิฐเศษหินแตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยนอนอยู่ก้นหลุมโดยมีคู่ประลองยุทธรอบนี้ที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ ยืนอยู่ขอบหลุม...ขอบลาน ชื่นชมผลงานออกรบรอบแรกของตัวเองอย่างเฉิงเยว่ และคุณชายสวีที่รับประทานคำใบ้อึ้งเต็มท้องไปแล้วคาถานี้...สุดยอด! ท่านพี่ข้าทำได้แล้ว!! ควบคุมพลังเวทได้ดีด้วย เฉิงเยว่มองไปทางพี่ชายด้วยสีหน้าน่ารักอย่างต้องการคำชื่นชมสหายจู...เจ้าจะให้สัญญาณข้าชัด ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน ถ้าข้าสังเกตไม่ทัน หลบไม่ทัน ข้าไ
“ข้าได้ข่าวว่าคุณชายเพิ่งกลับมาจากราชอาณาจักรจินโจวเมื่อคืนวานนี่เอง” จูเฉิงเยว่ถามไถ่ทักทาย“ใช่ น่านน้ำทางใต้ปั่นป่วนเล็กน้อย ข้าแอบกลับบ้านไปครานี้ยังนึกเลยว่าจะกลับมาไม่ทัน” สวี่เหวินซื่อตอบอย่างไม่ปิดบัง แถมบ่นอุบอิบเล็กน้อย“เกิดเรื่องขึ้นหรือ? คุณชายถึงต้องกลับไปด้วยตัวเอง ทุกทีเห็นส่งสารคุยกัน” คุณชายจูขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะบุตรชายคนโตของสกุลสวี่ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่เพิ่งกลับบ้านตัวเองแบบปุบปับครั้งแรก“ใช่ ฮ่องเต้ทรงเรียกคืนสัมปทานเหมืองทองจากพวกเรา ทำให้พ่อค้าในราชอาณาจักรจินโจวที่ถือสัมปทานวุ่นวายไม่น้อย”สวี่เหวินซื่อบอกเล่าเรื่องราวมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขาต้องวิ่งวุ่นไปมาช่วยบิดาติดต่อผู้คนเพื่อแก้วิกฤตนี้ กำไรส่วนใหญ่ของตระกูลมาจากกิจการเหมืองแร่ที่ถูกเรียกคืน“แปลก น่าแปลกฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจวทรงคิดวางแผนทำสิ่งใดอยู่แน่” เฉิงเยว่ที่ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉุกคิดถึงคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลของฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจว ก็พูดออกมาตามความรู้สึก“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ไ
“ท่านพี่!”น้องชายที่ไร้พี่ชายปกป้องมาโดยตลอด ทั้งเห็นการกระทำของพี่ ทั้งได้ยินคำพูดของพี่ หัวใจที่ด้านชาและโดดเดี่ยวก็เหมือนได้รับน้ำทิพย์ปลอบประโลมชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ“เสี่ยวเฉิง…”เยี่ยหยางยังไม่ทันได้พูดปลอบอะไร น้องตัวน้อยของเขาก็กระโจนใส่อ้อมกอดพี่ชายทันทีจูเฉิงเย่วรู้ว่าการประลองเมื่อครู่ พี่ชายเอาคืนไอ้กงซุนจ้านให้เขา ความทุกข์ที่เก็บกดมานานปีทะลักออกมา แม้ว่ามีท่านพ่อท่านแม่ปกป้อง แต่เขาก็ไม่อยากให้พวกท่านกังวล ไม่อยากให้พวกท่านลำบากใจ ตลอดมาได้แต่ปกป้องตัวเองสร้างเกราะที่ผู้คนรังเกียจ ไม่ให้พวกสารเลวกลั่นแกล้งได้เขาคิดมาตลอดหากเขามีพี่ชาย คนพวกนั้นยังคิดกล้ารังแกเขาอีกหรือไม่ ยังไม่ทันได้เล่าความลำบากใจเมื่ออยู่ที่บ้านเมืองตัวเองให้พี่ฟัง พี่ชายของเขาก็กระทืบตัวการสาเหตุของความทุกข์ทั้งมวลคาฝ่าเท้าทำเอาคนหยิ่งยโสที่ผู้อื่นเห็น อดกลั้นไม่ไหวปล่อยโฮปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นนานปีใส่พี่ชายเต็ม ๆ“ชู่ ๆ ไม่ต้องร้อง โอ๋…คนเก่งของพี่”
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ
หลังจากปล่อยหมูยักษ์วิ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม เหนื่อยหอบจนแทบไล่ตามภาพลวงตาไม่ได้อีก เยี่ยหยางก็คลายคาถา แล้วยื่นเรียวขางามอันแข็งแรงของเขาขัดลู่วิ่งหมู แถมด้วยฝ่าเท้างามตบท้ายถีบบั้นท้าย จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งออกไปนอกลาน เป็นอันจบการประลองอย่างงดงาม“ผู้ชนะ คือ ข้า”เยี่ยหยางพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ไม่เสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียวลานเทียนจงเงียบกริบเงียบสงัด ไม่มีเสียงประกาศผู้ชนะของเมิ่งจวิ้นผิงและฟางเหวยซู ทุกคนยังตกตะลึงอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองนั่นมัน...ไม่อยากจะเชื่อ!ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎข้อบังคับในการประลองแต่คนผู้นี้กลับ...ชนะด้วยการเตะเบา ๆ นี่มัน ๆ…บ้าไปแล้ว!!!“ศิษย์พี่ ๆ ข้าลงจากลานประลองได้รึยัง?” เยี่ยหยางสะกิดเมิ่งจวิ้นผิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสเป็นประกาย“เอ่อ...ได้ ๆ” เมิ่งจวิ้นผิงดึงสติกลับมาอย่างงุนงง “ผู้ชนะ คือ ท่านอ๋องจอมบัดซบ...เอ๊ย! มู่หรงเยี่ยหยาง”ผู้ได้รับชัยเดินกลับไปยังที่นั่งในกลุ่มผู้คนอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมา เอ่ยทักทายหวงฉีเจ