“ทุกคนตามสบาย วันนี้ข้ามาในฐานะบุตรเขย ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายไม่ต้องมากพิธี” มู่เลี่ยงหรงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
“ท่านอ๋องพาพระชายากลับมาก่อนเวลา อาหารกลางวันจึงยังไม่เรียบร้อย ท่านตามพวกผู้ชายไปสนทนากันก่อน ส่วนหม่อมฉันขอพาหวางเฟยไปพูดคุยตามประสาแม่ลูกนะเพคะ” ไป๋หลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ย่อมได้” อ๋องหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
ไป๋หลันจึงจูงมือฉินหวางเฟยไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางมีเรื่องมากมายอยากจะถามไถ่ ด้วยแท้จริงเป็นห่วงบุตรสาวที่ต้องดูแลจวนอ๋องอันใหญ่โต คงจะลำบากมากทีเดียว ส่วนพวกผู้ชายก็เชิญฉินอ๋องไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกล
บรรยากาศไม่ค่อยอึมครึมแล้ว หลังจากมู่เลี่ยงหรงแกล้งเมามายพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงแต่งงาน เยี่ยนหยางเจวี๋ยก็ดูจะพออกพอใจ ผู้เป็นอ๋องหวังว่าวันนี้พ่อตาจะไม่ทดสอบอะไรเขาอีก
บุรุษทั้งสี่สนทนากันอย่างออกรส แม่ทัพใหญ่รู้สึกทึ่งบุตรเขยอยู่ไม่น้อย ฉินอ๋องมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เรื่องรบทัพจับศึกก็เชี่ยวชาญ ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้อย่างมาก เขานึกว่าอ๋องผู้นี้คงดีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปวันๆ ที่ได้ตำแหน่งสำคัญมาก็คงอาศัยพระบารมีของฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนตนจะมองผิดไปโข เยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงคิดจะทดสอบบุตรเขยอีกสักครั้ง เขาหันไปสั่งพ่อบ้านใหญ่สองสามคำ จากนั้นไม่นานกระบะทรายก็ถูกยกเข้ามาในห้อง
“นี่คือค่ายกล กระหม่อมคิดอยู่นานแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ท่านอ๋องจะลองดูสักหน่อยหรือไม่”
“ขนาดท่านพ่อตากับรองแม่ทัพอย่างพี่เขยยังแก้ไม่ได้ ข้าเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดา ไม่เชี่ยวชาญกลศึกขั้นสูง เกรงว่าจะทำขายหน้าเสียเปล่าๆ” มู่เลี่ยงหรงไม่ทราบเจตนาของเยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงออกตัวไว้ก่อน เกรงว่าหากตนเองแสดงความสามารถ หรือโอ้อวดจนเกินไปอาจจะถูกพวกเขาเขม่นเอาได้
“ท่านอ๋องลองแก้ดูเถิด ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ค่ายกลของจิ้นหลิง ถ้าแก้ได้ง่ายๆ กระหม่อมคงต้องให้บุตรชายปลดประจำการไปเลี้ยงหมู” แม่ทัพใหญ่พูดพลางหัวเราะ สีหน้าท่าทางดูเป็นกันเองกว่าครั้งก่อนๆ จึงทำให้มู่เลี่ยงหรงคลายใจลงหนึ่งส่วน
“อืม...ก็ได้ ข้าจะลองดู”
มู่เลี่ยงหรงเดินเข้าไปใกล้กระบะทราย พิจารณาสภาพแววล้อมและการวางกำลังพล เขาพยักหน้าหลายครั้ง ในใจก็ชื่นชมเยี่ยนจิ้นหลิง ค่ายกลนี้ยากจะตีต้านออกมาได้ หากข้าศึกถูกล้อมคงพ่ายแพ้เป็นแน่
ทว่าไม่ใช่ไม่มีหนทาง
มู่เลี่ยงหรงเอื้อมมือไปขยับสัญลักษณ์ในกระบะทรายไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพอใจกับตนเอง
เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของมู่เลี่ยงหรงจึงรีบเดินเข้ามาดู กุนซือหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุก อีกฝ่ายแก้ค่ายกลนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว พี่ใหญ่ผู้เก่งกาจของเขายังใช้เวลานานกว่านี้เลย ถึงจะนานกว่าแค่ครึ่งถ้วยชาก็เถอะ แบบนี้เขาไม่ต้องถูกบิดาส่งไปเลี้ยงหมูจริงๆ หรอกหรือ
แต่เจ็บใจก็ส่วนเจ็บใจ ยังไงก็ต้องยอมรับผล เห็นทีเขาต้องพัฒนาวิธีวางค่ายกลแบบใหม่ๆ เสียแล้ว
“ท่านอ๋องปรีชายิ่ง จิ้นหลิงแพ้แล้ว”
“ความจริงค่ายกลนี้ล้ำลึกยิ่งนัก หากข้าศึกต้องตกอยู่ในวงล้อมคงมีเวลาไม่มากเท่าใดที่จะหนีรอด ส่วนตัวข้ามีเวลาพิจารณาตั้งนานสองนานจึงจะสามารถแก้กลได้ หากข้าต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ เห็นทีจะต้องเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง อย่างดีที่สุดคงทำได้เพียงเอาชีวิตรอดออกมาก่อนที่จะถูกพวกท่านสังหารหมดเท่านั้นเอง”
มู่เลี่ยงหรงถ่อมตน พยายามไม่โอ้อวดตนเองจนเกินไปนัก จุดประสงค์ของเขาคือการผูกสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากไคกั๋วกงยืนอยู่ข้างเดียวกับตนย่อมส่งผลดีต่อราชบัลลังก์ของพระเชษฐามากกว่า
หลายเดือนที่ผ่านมามู่เลี่ยงหรงส่งคนไปตรวจสอบตระกูลเยี่ยนอย่างละเอียด นอกจากดูแลรักษาเมืองชายแดนอย่างแข็งขันแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกับกลุ่มอำนาจอื่น หลักฐานต่างๆ ชี้ว่าตระกูลเยี่ยนเป็นขุนนางภักดีอย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งทายาทของแม่ทัพใหญ่ก็เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น แทนที่จะตั้งแง่เพราะเรื่องบาดหมางกับจิ้งจอกสีเงิน สู้ดึงพวกเขามาเป็นแขนขาเอาไว้ต่อกรกับศัตรูภายนอกเสียยังดีกว่า
“นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” เยี่ยนหยางเจวี๋ยหัวเราะดังสนั่น นานๆ ทีจะพบคนที่ทำให้บุตรชายคนรองคิ้วกระตุกได้
มู่เลี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไรเพียงอมยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปมองคู่ปรับทีหนึ่ง เมื่อสายตาผสานกัน บุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ยักคิ้วยียวนอีกฝ่าย อย่างน้อยนี่ก็เป็นการกู้หน้าของตนคืนมาได้บ้างหลังจากถูกกุนซือหนุ่มปั่นหัวมาหลายเดือน เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นทางยียวนนั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้โกรธขึ้งน้องเขยผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด กลับพอใจด้วยซ้ำที่นานๆ ครั้งจะมีคนทันเล่ห์กลของเขา
ฉินอ๋องมากความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ถึงได้ไว้วางพระทัยพระอนุชาเป็นหนักเป็นหนา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชากลับมีไฟร้อนแรงซุ่มซ่อนพร้อมแผดเผาทุกคนที่เขาสัมผัสได้ทุกเมื่อ ด้วยระดับสติปัญญา ความเฉียบขาด รวมไปถึงข่าวลือเกี่ยวกับการจัดการศัตรูของมู่เลี่ยงหรงแล้ว ‘พยัคฆ์เคียงบัลลังก์’ คงไม่ใช่ฉายาที่ตั้งเอาไว้ข่มขวัญศัตรูเล่น ๆ
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พ่อบ้านใหญ่ก็เข้ามาแจ้งว่าสำรับอาหารถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพใหญ่จึงนำทางฉินอ๋องและบุตรชายทั้งสองไปยังห้องโถงรับรอง
เมื่อบุรุษทั้งสี่เดินทางมาถึงก็พบกว่าไป๋หลันกับเยี่ยนเยว่ฉียืนรออยู่ก่อนแล้ว ตามศักดิ์ฐานะ เยี่ยนหยางเจวี๋ยต้องสละที่นั่งประธานให้มู่เลี่ยงหรง แต่อ๋องหนุ่มกลับปฏิเสธ เขานั่งลงในตำแหน่งที่นั่งสำหรับแขกพร้อมกับพระชายา ทำให้แม่ทัพใหญ่รู้สึกถูกชะตาบุตรเขยขึ้นทุกขณะ
บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายอย่าง ทุกจานล้วนถูกปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถัน มู่เลี่ยงหรงใส่ใจคีบกับข้าวให้เยี่ยนเยว่ฉี ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว ท่าทางเอาใจใส่ของมู่เลี่ยงหรงทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยแทบจะน้ำตาไหล ที่แท้บุตรสาวก็มีความสุขมาก ไม่ได้รู้สึกฝืนทนแต่อย่างใด เขาจึงวางใจ
‘คืนนี้ข้าคงหลับสบายไม่ต้องกังวลอีกแล้ว’
ระหว่างบิดากำลังปลื้มอกปลี้มใจ เยี่ยนเยว่ฉีคีบอกไก่น้ำข้นมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นจ่อปากสามี
“ท่านอ๋องเอาแต่คีบให้ข้า ท่านก็กินบ้างสิ”
“อกไก่น้ำข้นนี่รสดียิ่งนัก คล้ายกับที่เคยได้กินในวังหลวงเลย ข้าชักอยากรู้จักแม่ครัวของจวนนี้แล้วสิ” อ๋องหนุ่มเคี้ยวอาหารอย่างอย่างมีความสุข รู้สึกว่าไก่รสชาติดีกว่าทุกวัน
“ย่อมแน่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าเป็นถึงทายาทตระกูลไป๋เชียวนะ”
“หืม เจ้าอย่าบอกนะว่าท่านแม่ยายเป็นเชื้อสายตรงกับพ่อครัวหลวง” มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้ว นี่เขามัวแต่ตรวจสอบบิดากับพี่ชายทั้งสองของภรรยา แต่กลับไม่เคยคิดตรวจสอบเรื่องของฮูหยินแม่ทัพใหญ่เลย
“ท่านตาของเยว่ฉีก็คือไป๋เฟยซา หนึ่งในสามหัวหน้าอี้ว์ซั่นฝาง[1] ของวังหลวงยังไงเล่าเพคะ”
[1] อี้ว์ซั่นฝาง หมายถึง ห้องเครื่อง(ครัว)ที่ใช้ปรุงอาหารในวังหลวง
“ไม่รู้ แล้ววาดออกมาได้อย่างไร” ถางซือเซินเริ่มมึนงง ดูท่าปัญหาของฉินอ๋องคงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าสตรีผู้นี้คือนางในฝันของข้า”“นางในฝัน! นี่ท่านอ๋องหมายถึงในความฝันตอนหลับน่ะหรือ” เขาเบิกตากว้าง พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ ก็ยิ่งตกใจ “ให้ตายเถอะ ท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่ไหม” “อืม” มู่เลี่ยงหรงยอมรับสั้นๆ แล้วพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมกลบเกลื่อนความอับอาย เริ่มนึกเสียใจที่พูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นถางซือเซินสะบัดศีรษะเมื่อภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นทับซ้อนรูปนี้อีกครั้ง บุรุษผู้นั้นมีใบหน้างดงามกว่าสตรี แต่เขาก็ไม่ควรคิดเรื่องบัดสีนี้ขึ้นมาเลย ‘ไม่สิ ท่านอ๋องไม่มีทางรักชอบหลงหยาง แต่หากท่านอ๋องพึงใจสตรีที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่’เห็นสหายครุ่นคิดและทำหน้าแปลกๆ มู่เลี่ยงหรงก็เข้าใจว่าถางซือเซินคงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว ก็แน่ล่ะ จะมีผู้ใดหลงรักผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในความฝันกัน“เอาเถิดซือเซียน ข้าเข้าใจ แม้แต่ข้าเองก็รู้สึกว่าอาจจะกำลังเป็นบ้า” มู่เลี่ยงหรงคว้าภาพวาดสตรีในฝันแล้วม้วนเก็บอย่างทะนุถนอม“ม
แสงเรืองรองสาดส่องจนทั่วบริเวณ แลเห็นความงดงามที่รายล้อม ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิดอกหอมกรุ่นยั่วยวนหมู่ภมร บุรุษในอาภรณ์สีดำหรูหราค่อยๆ ย่างเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้า จนพบต้นหลิวขึ้นอยู่ริมบึงใหญ่ ไอหมอกสีขาวลอยเหนือนผิวน้ำ เขาเดินเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่และย่อกายลงก่อนจะเอนหลังพิงลำต้นอันขรุขระไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยเข้าสู่โสตปลุกชายหนุ่มให้ตื่นตัว เขามองไปยังต้นกำเนิดเสียงเพื่อมองหาผู้มา นัยน์ตาสีนิลสะท้อนเงาร่างของสตรีงามเฉิดฉัน นางเคลื่อนกายมาทางที่เขานั่งเขนกรออยู่ รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏบนใบหน้านางผู้นั้นโฉมสะคราญเยื้องกรายมาทางต้นหลิวอย่างไม่รีบไม่ร้อน สุดท้ายนางก็ย่อกายลงเคียงข้างกับเขา รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้างามราวเทพธิดา ไม่ว่าจะปาก คอ คิ้ว ล้วนไม่มีรอยตำหนิประหนึ่งผลงานชั้นเลิศของช่างฝีมือ“พระจันทร์ดวงน้อยของข้า วันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักทาย“พบกันกี่ครั้งท่านก็พูดเช่นนี้” หญิงงามอมยิ้ม“ข้าไม่เคยโป้ปด หากงามก็บอกว่างาม”“ท่านก็มิเลว”“แค่มิเลวเท่านั้นหรือ ใจร้ายเสียจริง”“ข้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ ท่านก็รู้”“ข้ามิรู้อันใดเลยต่างหาก”“แต่ท่านก็ยังอยากพบข้าไม่ใช
“จงหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงกัมปนาทสะท้านกึกก้อง กระแสกดดันเย็นยะเยือกแผ่ลาม ฮ่องเต้มู่เหวินหลงกับฮองเฮา และถางซือเซินก้าวเข้ามาห้ามได้ทันท่วงทีจ้าวเฟิงเหลยชะงักงัน เก็บดาบในมือลง ยืนก้มหน้านิ่ง เยี่ยนจิ้นหลิงประคองถางซือเซียนให้คุกเข่าลงช้าๆ“เฟิงเหลย ข้าให้เจ้ามาล่าสัตว์ ไม่ได้ให้มาทำร้ายคน” มู่เหวินหลงตำหนิพระญาติ“เป็นเพราะเยี่ยนจิ้นหลิงรังแกเซียนเอ๋อร์ ข้าทนไม่ได้จึงเข้าไปช่วยเหลือ” จ้าวเฟิงเหลยพยายามอธิบาย“เยี่ยนจิ้นหลิง เจ้าทำอะไรน้องสาวข้า” ถางซือเซินหน้าซีด เขามองคนทั้งสองสลับไปมา ในจิตใจรุ่มร้อน ทำไมน้องสาวของตนต้องพบแต่บุรุษที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกับคุณหนูถางเพียงทานขนมกับน้ำชา นั่งชมจันทร์กันอยู่อย่างเปิดเผย เป็นจ้าวจวิ้นอ๋องเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือหนุ่มเล่าเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง“หืม...ว่ายังไงถางซือเซียน” มู่เหวินหลงเอ่ยถามตัวต้นเหตุของเรื่อง นางเพิ่งจะอายุสิบห้า แต่พาให้บุรุษวิวาทกันเสียแล้ว“หม่อมฉันกำลัง...กำลัง...” ถางซือเซียนยังคงงุนงงและตกใจ จึงไม่มีสติพอว่าตอบอย่างไร“เห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางไม่คล้อยตามคนผู้นั้น” จ้าวเฟิงเหลย
“ข้าไม่ชอบพูดมาก ถ้าหากเจ้าจำไม่ได้และไม่ยินดีจะเป็นของข้า เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมกอดทันที เขาลุกขึ้นแล้วขยับเท้าหมายจะจากไปแบบดื้อๆ“คะ...คนบ้า พูดเองเออเองทุกสิ่ง ข้าไม่เคยเป็นของท่าน จะเอาอะไรมาจำได้อย่างไรเล่า” ถางซือเซียนมีโทสะเล็กน้อย เขาทำให้นางงุนงงแล้วก็จะทิ้งตนไว้ข้างหลังอีกครั้งบุรุษผมสีเงินหยุดยืนนิ่งไม่ขยับกายต่อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่กำลังสับสน“คุณหนูถาง ข้าคร้านจะเท้าความ ชอบก็คือชอบแค่นั้นเอง ถึงแม้จะเอ่ยเหตุผลออกไปเจ้าก็ถามต่ออยู่ดี สู้ยอมรับแล้วทำตามจะง่ายกว่า”“แต่ว่าข้าอยากรู้เหตุผลนี่” นางลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มจากด้านหลัง ดรุณีน้อยยืนมองเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย‘อย่างน้อยบอกข้าสักคำว่าท่านชอบข้า’ เสียงในหัวใจของสาวน้อยพยายามอ้อนวอนเขาบุรุษผมสีเงินหันกลับมา เขาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่ยืนจ้องแผ่นหลังของตนเมื่อครู่ ในความคิดของกุนซือหนุ่มสตรีผู้นี้ช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน ตั้งคำถามนั่นนี่ไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าแม้ตนจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงออกไป นางก็คงจะยังกังวลสงสัยไม่จบสิ้น เช่นน
เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งไม่ขยับ บุรุษผมสีเงินจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงไปเรื่อยๆ จนขนมดอกกุ้ยแนบชิดติดกับริมฝีปากของนาง นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอย่างรอคอยหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ บัดนี้ริมฝีปากของเขากับนางมีเพียงขนมชิ้นเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ นางไม่อาจต้านทานอำนาจกดดันของชายหนุ่มได้อีกต่อไป สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงเผยอปากสีแดงระเรื่อที่กำลังสั่นเทาออกช้าๆ แล้วงับลงไปบนขนมทีละคำทั้งที่หวั่นใจถางซือเซียนค่อยๆ กัดเล็มความหวานทีละนิด...ทีละนิด นางไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา อีกทั้งยังไม่กล้าหยุดปากของตนจึงจำต้องละเลียดกินขนมไปเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดชิ้นสาวน้อยชะงัก เมื่อระยะห่างของทั้งสองลดลงจนถึงขีดสุด หากตนกินขนมนี้อีกเพียงคำเดียว ริมฝีปากของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกันอย่างแน่นอน'ข้ากำลังจะจูบเขา'เยี่ยนจิ้นหลิงอดทนรอคอยอย่างใจเย็น ชายหนุ่มไม่ขยับกายถอยหนีแม้แต่ครึ่งชุ่น มือร้อนขยับลูบไล้เอวบางเบาๆ เขายังคงจดจ้องดวงตากลมโตสุกใสของสาวน้อย นัยน์ตาหงส์แสดงความเผด็จการของตนออกมาอย่างชัดเจน‘ลงมือสิสาวน้อย’ถางซือเซียนตัดสินใจกัดขนมคำสุดท้ายอย่างกล้าๆ กลัวๆริมฝีปากอิ่มงามอันสั่นระริกแนบชิดกับริมฝีปากบางใ
ตอนพิเศษ4ใต้แสงจันทร์ริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโชยพัดกิ่งสนไหวโยก ถางซือเซียนนั่งจิบชาพร้อมทานขนมดอกกุ้ย ชมพระจันทร์อย่างเบิกบาน เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สาวน้อยจึงมั่นใจว่าเยี่ยนเยว่ฉีคงไม่ตามมา เลยตั้งใจว่านั่งเล่นอีกสักพักแล้วจะกลับไปพักผ่อน“เสี่ยวลี่ เจ้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ข้าจะนั่งกินขนมอีกพักหนึ่ง จากนั้นจะตามกลับไป”“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวลี่รีบปฏิบัติตามคำสั่งเพราะเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยดี จึงกล้าทิ้งนายหญิงของตนเอาไว้ถางซือเซียนนั่งจิบชาชมจันทร์อย่างอ้อยอิ่ง นางมองลงบนทะเลสาบเห็นคลื่นน้ำสั่นไหวจากแรงลม สะท้อนภาพแสงจันทร์ดูระยิบระยับงดงาม บรรยากาศแสนรื่นรมเช่นนี้เหมาะแก่การแต่งกลอนหรือเล่นดนตรีสักบทเพลงหนึ่ง สาวน้อยพลันนึกเสียดายที่ไม่ได้เตรียมพิณของตนมาจากจวนด้วย“ทำไมเจ้ามานั่งเพียงผู้เดียว” เสียงทุ้มนุ่มปลุกหญิงสาวจากภวังค์ เป็นเยี่ยนจิ้นหลิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาทอดไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า“ซือเซียนรอหวางเฟยอยู่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ“หวางเฟยอยู่กับท่านอ๋อง คงมานั่งเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่เป็นไร ข้ามีพระจันทร์เป