“ทุกคนตามสบาย วันนี้ข้ามาในฐานะบุตรเขย ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายไม่ต้องมากพิธี” มู่เลี่ยงหรงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
“ท่านอ๋องพาพระชายากลับมาก่อนเวลา อาหารกลางวันจึงยังไม่เรียบร้อย ท่านตามพวกผู้ชายไปสนทนากันก่อน ส่วนหม่อมฉันขอพาหวางเฟยไปพูดคุยตามประสาแม่ลูกนะเพคะ” ไป๋หลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ย่อมได้” อ๋องหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
ไป๋หลันจึงจูงมือฉินหวางเฟยไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางมีเรื่องมากมายอยากจะถามไถ่ ด้วยแท้จริงเป็นห่วงบุตรสาวที่ต้องดูแลจวนอ๋องอันใหญ่โต คงจะลำบากมากทีเดียว ส่วนพวกผู้ชายก็เชิญฉินอ๋องไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกล
บรรยากาศไม่ค่อยอึมครึมแล้ว หลังจากมู่เลี่ยงหรงแกล้งเมามายพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงแต่งงาน เยี่ยนหยางเจวี๋ยก็ดูจะพออกพอใจ ผู้เป็นอ๋องหวังว่าวันนี้พ่อตาจะไม่ทดสอบอะไรเขาอีก
บุรุษทั้งสี่สนทนากันอย่างออกรส แม่ทัพใหญ่รู้สึกทึ่งบุตรเขยอยู่ไม่น้อย ฉินอ๋องมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เรื่องรบทัพจับศึกก็เชี่ยวชาญ ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้อย่างมาก เขานึกว่าอ๋องผู้นี้คงดีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปวันๆ ที่ได้ตำแหน่งสำคัญมาก็คงอาศัยพระบารมีของฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนตนจะมองผิดไปโข เยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงคิดจะทดสอบบุตรเขยอีกสักครั้ง เขาหันไปสั่งพ่อบ้านใหญ่สองสามคำ จากนั้นไม่นานกระบะทรายก็ถูกยกเข้ามาในห้อง
“นี่คือค่ายกล กระหม่อมคิดอยู่นานแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ท่านอ๋องจะลองดูสักหน่อยหรือไม่”
“ขนาดท่านพ่อตากับรองแม่ทัพอย่างพี่เขยยังแก้ไม่ได้ ข้าเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดา ไม่เชี่ยวชาญกลศึกขั้นสูง เกรงว่าจะทำขายหน้าเสียเปล่าๆ” มู่เลี่ยงหรงไม่ทราบเจตนาของเยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงออกตัวไว้ก่อน เกรงว่าหากตนเองแสดงความสามารถ หรือโอ้อวดจนเกินไปอาจจะถูกพวกเขาเขม่นเอาได้
“ท่านอ๋องลองแก้ดูเถิด ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ค่ายกลของจิ้นหลิง ถ้าแก้ได้ง่ายๆ กระหม่อมคงต้องให้บุตรชายปลดประจำการไปเลี้ยงหมู” แม่ทัพใหญ่พูดพลางหัวเราะ สีหน้าท่าทางดูเป็นกันเองกว่าครั้งก่อนๆ จึงทำให้มู่เลี่ยงหรงคลายใจลงหนึ่งส่วน
“อืม...ก็ได้ ข้าจะลองดู”
มู่เลี่ยงหรงเดินเข้าไปใกล้กระบะทราย พิจารณาสภาพแววล้อมและการวางกำลังพล เขาพยักหน้าหลายครั้ง ในใจก็ชื่นชมเยี่ยนจิ้นหลิง ค่ายกลนี้ยากจะตีต้านออกมาได้ หากข้าศึกถูกล้อมคงพ่ายแพ้เป็นแน่
ทว่าไม่ใช่ไม่มีหนทาง
มู่เลี่ยงหรงเอื้อมมือไปขยับสัญลักษณ์ในกระบะทรายไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพอใจกับตนเอง
เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของมู่เลี่ยงหรงจึงรีบเดินเข้ามาดู กุนซือหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุก อีกฝ่ายแก้ค่ายกลนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว พี่ใหญ่ผู้เก่งกาจของเขายังใช้เวลานานกว่านี้เลย ถึงจะนานกว่าแค่ครึ่งถ้วยชาก็เถอะ แบบนี้เขาไม่ต้องถูกบิดาส่งไปเลี้ยงหมูจริงๆ หรอกหรือ
แต่เจ็บใจก็ส่วนเจ็บใจ ยังไงก็ต้องยอมรับผล เห็นทีเขาต้องพัฒนาวิธีวางค่ายกลแบบใหม่ๆ เสียแล้ว
“ท่านอ๋องปรีชายิ่ง จิ้นหลิงแพ้แล้ว”
“ความจริงค่ายกลนี้ล้ำลึกยิ่งนัก หากข้าศึกต้องตกอยู่ในวงล้อมคงมีเวลาไม่มากเท่าใดที่จะหนีรอด ส่วนตัวข้ามีเวลาพิจารณาตั้งนานสองนานจึงจะสามารถแก้กลได้ หากข้าต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ เห็นทีจะต้องเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง อย่างดีที่สุดคงทำได้เพียงเอาชีวิตรอดออกมาก่อนที่จะถูกพวกท่านสังหารหมดเท่านั้นเอง”
มู่เลี่ยงหรงถ่อมตน พยายามไม่โอ้อวดตนเองจนเกินไปนัก จุดประสงค์ของเขาคือการผูกสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากไคกั๋วกงยืนอยู่ข้างเดียวกับตนย่อมส่งผลดีต่อราชบัลลังก์ของพระเชษฐามากกว่า
หลายเดือนที่ผ่านมามู่เลี่ยงหรงส่งคนไปตรวจสอบตระกูลเยี่ยนอย่างละเอียด นอกจากดูแลรักษาเมืองชายแดนอย่างแข็งขันแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกับกลุ่มอำนาจอื่น หลักฐานต่างๆ ชี้ว่าตระกูลเยี่ยนเป็นขุนนางภักดีอย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งทายาทของแม่ทัพใหญ่ก็เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น แทนที่จะตั้งแง่เพราะเรื่องบาดหมางกับจิ้งจอกสีเงิน สู้ดึงพวกเขามาเป็นแขนขาเอาไว้ต่อกรกับศัตรูภายนอกเสียยังดีกว่า
“นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” เยี่ยนหยางเจวี๋ยหัวเราะดังสนั่น นานๆ ทีจะพบคนที่ทำให้บุตรชายคนรองคิ้วกระตุกได้
มู่เลี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไรเพียงอมยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปมองคู่ปรับทีหนึ่ง เมื่อสายตาผสานกัน บุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ยักคิ้วยียวนอีกฝ่าย อย่างน้อยนี่ก็เป็นการกู้หน้าของตนคืนมาได้บ้างหลังจากถูกกุนซือหนุ่มปั่นหัวมาหลายเดือน เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นทางยียวนนั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้โกรธขึ้งน้องเขยผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด กลับพอใจด้วยซ้ำที่นานๆ ครั้งจะมีคนทันเล่ห์กลของเขา
ฉินอ๋องมากความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ถึงได้ไว้วางพระทัยพระอนุชาเป็นหนักเป็นหนา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชากลับมีไฟร้อนแรงซุ่มซ่อนพร้อมแผดเผาทุกคนที่เขาสัมผัสได้ทุกเมื่อ ด้วยระดับสติปัญญา ความเฉียบขาด รวมไปถึงข่าวลือเกี่ยวกับการจัดการศัตรูของมู่เลี่ยงหรงแล้ว ‘พยัคฆ์เคียงบัลลังก์’ คงไม่ใช่ฉายาที่ตั้งเอาไว้ข่มขวัญศัตรูเล่น ๆ
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พ่อบ้านใหญ่ก็เข้ามาแจ้งว่าสำรับอาหารถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพใหญ่จึงนำทางฉินอ๋องและบุตรชายทั้งสองไปยังห้องโถงรับรอง
เมื่อบุรุษทั้งสี่เดินทางมาถึงก็พบกว่าไป๋หลันกับเยี่ยนเยว่ฉียืนรออยู่ก่อนแล้ว ตามศักดิ์ฐานะ เยี่ยนหยางเจวี๋ยต้องสละที่นั่งประธานให้มู่เลี่ยงหรง แต่อ๋องหนุ่มกลับปฏิเสธ เขานั่งลงในตำแหน่งที่นั่งสำหรับแขกพร้อมกับพระชายา ทำให้แม่ทัพใหญ่รู้สึกถูกชะตาบุตรเขยขึ้นทุกขณะ
บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายอย่าง ทุกจานล้วนถูกปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถัน มู่เลี่ยงหรงใส่ใจคีบกับข้าวให้เยี่ยนเยว่ฉี ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว ท่าทางเอาใจใส่ของมู่เลี่ยงหรงทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยแทบจะน้ำตาไหล ที่แท้บุตรสาวก็มีความสุขมาก ไม่ได้รู้สึกฝืนทนแต่อย่างใด เขาจึงวางใจ
‘คืนนี้ข้าคงหลับสบายไม่ต้องกังวลอีกแล้ว’
ระหว่างบิดากำลังปลื้มอกปลี้มใจ เยี่ยนเยว่ฉีคีบอกไก่น้ำข้นมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นจ่อปากสามี
“ท่านอ๋องเอาแต่คีบให้ข้า ท่านก็กินบ้างสิ”
“อกไก่น้ำข้นนี่รสดียิ่งนัก คล้ายกับที่เคยได้กินในวังหลวงเลย ข้าชักอยากรู้จักแม่ครัวของจวนนี้แล้วสิ” อ๋องหนุ่มเคี้ยวอาหารอย่างอย่างมีความสุข รู้สึกว่าไก่รสชาติดีกว่าทุกวัน
“ย่อมแน่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าเป็นถึงทายาทตระกูลไป๋เชียวนะ”
“หืม เจ้าอย่าบอกนะว่าท่านแม่ยายเป็นเชื้อสายตรงกับพ่อครัวหลวง” มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้ว นี่เขามัวแต่ตรวจสอบบิดากับพี่ชายทั้งสองของภรรยา แต่กลับไม่เคยคิดตรวจสอบเรื่องของฮูหยินแม่ทัพใหญ่เลย
“ท่านตาของเยว่ฉีก็คือไป๋เฟยซา หนึ่งในสามหัวหน้าอี้ว์ซั่นฝาง[1] ของวังหลวงยังไงเล่าเพคะ”
[1] อี้ว์ซั่นฝาง หมายถึง ห้องเครื่อง(ครัว)ที่ใช้ปรุงอาหารในวังหลวง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตะวันเคลื่อนคล้อยจนทอแสงเป็นสีส้ม เยี่ยนเยว่ฉีทำถุงใส่เครื่องหอมให้มู่เลี่ยงหรงเสร็จพอดีจึงตั้งใจจะไปพบสามีที่ห้องหนังสือ นางลุกขึ้นเดินไปทางตำหนักใหญ่ ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นกล่องใส่ขนมใบหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ริมสระบัวภาพขนมดอกกุ้ยกระจัดกระจายอยู่บนพื้นหญ้า‘เกิดอันใดขึ้น ทำไมกล่องขนมจึงถูกทิ้งเล่า’เมื่อครู่ไม่ใช่ถางซือเซียนบอกกับนางว่าจะนำขนมดอกกุ้ยกล่องนี้ไปให้เยี่ยนจิ้นหลิงหรอหรือ แต่เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาวน้อยอาจจะเผลอทำกล่องขนมหลุดมือ หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพี่ชายคนรองของนางกันระหว่างที่เยี่ยนเยว่ฉีกำลังครุ่นคิด มู่เลี่ยงหรงก็ออกมาจากห้องทำงานพอดี เขาก้าวเท้าเข้ามาหาพระชายาของตนทันที แต่พอเห็นนางสนใจสิ่งอื่นอยู่จึงมองตามสายตานั้นไป แล้วก็พบกับกล่องขนมนั่นด้วยเช่นกัน“เด็กๆ จงเก็บกล่องขนมนั้นขึ้นมา แล้วทำความสะอาดบริเวณนี้เสีย” มู่เลี่ยงหรงออกคำสั่ง ข้ารับใช้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรีบทำตามประสงค์ของเขาในทันที“ช่างเถิด มันไม่ใช่เรื่องของเรา” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเรียบแต่ข้าสงสัยว่าเซียนเอ๋อร์อาจจะมีเรื่องบางอย่างกับพี่รอง” ในที่สุด
“เพคะ” ถางซือเซียนรับคำ แล้ววางกล่องขนมใบใหญ่ไว้บนโต๊ะทำงานของมู่เลี่ยงหรง จากนั้นนางก็เดินจากไปเมื่อออกมาที่หน้าประตู นางหันไปบอกพี่ชายให้เข้าไปพบมู่เลี่ยงหรงได้ นางปรายสายตามองบุรุษผมสีเงินชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็ยังเสมองไปทางอื่นอยู่ดี ถางซือเซียนถอนหายใจ นางส่งตะกร้าให้เสี่ยวลี่ แล้วสาวเท้าไปตามทางเดินสู่เรือนพักของเฉิงจื่อหรูลมวสันต์พัดผ่านเหล่าบุปผานานาพันธุ์กระจายกลิ่นอันสดชื่นฟุ้งไปทั่วทั้งจวน ตำหนักจันทราถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ฉินอ๋องสร้างสะพานเชื่อมระหว่างตำหนักเพื่อความสะดวก อีกทั้งยังขุดสระบัวขนาดใหญ่พร้อมปลูกศาลาเอาไว้ให้พระชายาเอกนั่งเล่นพักผ่อน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความรักและใส่ใจสตรีของตนได้เป็นอย่างดีเยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งแต่งเข้าจวน มู่เลี่ยงหรงยังไม่ต้องการให้นางรับช่วงดูแลเรือนหลังในตอนนี้ อีกทั้งพระชายายังป่วยด้วยโรคลำดับเดือนของสตรี เขาจึงต้องการให้นางพักผ่อนให้มากที่สุดวังอ๋องอันใหญ่โตมีคนมากมายให้ต้องจัดการ เยี่ยนเยว่ฉีจึงคิดใช้โอกาสนี้สังเกตผู้คนไปก่อน เมื่อถึงเวลารับมอบหน้าที่ต่อจากเฉิงจื่อหรู นางจะได้จัดระบบใหม่ทั้งหมดหลังจากตื่นในตอนเช้า พระชายารองทั้งสาม
เมื่อถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ขาดแคลนกำลังทรัพย์ พวกคนร้ายย่อมระส่ำระสาย นอกจากนี้มู่เลี่ยงหรงสั่งให้ซิ่นเฉิงส่งองครักษ์ฝีมือดีไปลอบสืบข่าวที่จวนเอี้ยนอ๋อง หากสิ่งที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด อีกไม่นานย่อมต้องมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่นั่นอย่างแน่นอนเพื่อเป็นการชดเชยที่ก่อนหน้านี้เพียงพอนกับเจ้าจิ้งจอกบังอาจเห็นเขาเป็นตัวตลก ถึงแม้พระเชษฐาจะเป็นต้นคิด แต่เขาจะทำอันใดโอรสสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องให้ทั้งสองทำคุณไถ่โทษเสียแล้ว ส่วนถางซือเซียนหลังจากถูกเยี่ยนจิ้นหลิงช่วยเอาไว้ตอนงานชมงิ้ว นางก็เริ่มมีท่าทีที่แปลกไป หากนางฟ้าน้อยใจอ่อนกับเจ้าจิ้งจอกง่ายๆ เขาคงไม่ได้ชมความครึกครื้น เช่นนั้นคงต้องหาวิธีให้ความสัมพันธ์นี้สะดุดลงเสียก่อนล่วงเข้ายามซื่อ[1] อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับถางซือเซียนก็เดินทางมาถึงจวนฉินอ๋อง ทั้งคู่คิดว่ามู่เลี่ยงหรงเพียงชวนพวกเขาพี่น้องมาสังสรรค์ กินอาหารกลางวันร่วมกันดังเช่นที่ผ่านมา หารู้ไม่ว่าอ๋องหนุ่มต้องการเอาเรื่องสหายตัวดีอยู่สองพี่น้องตระกูลถางเดินมาตามระเบียงสู่ห้องหนังสือ พวกเขาประหลาดใจเมื่อพบเยี่ยนจิ้นหลิงยืนอยู่หน้าห้องอยู่ก่อนแล้ว ถางซือเซียนสาวเท้าเดินไปหาเขาพ
“พี่รอง...เยว่ฉีรักท่านมากกว่าผู้ใด ก่อนทำอันใดลงไปย่อมต้องคิดถึงความปลอดภัยของศีรษะท่าน ส่วนใต้เท้าถาง ก็มีน้ำหนักในใจของท่านอ๋องอยู่มาก เขาคงไม่เป็นอะไรเช่นกัน ส่วนถางซือเซียนนั้น...น้องสาวไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องจะเรียกนางมาด้วยเหตุใด”“เขาต้องการจะให้ข้าวิตกกังวลอย่างไรเล่า พรุ่งนี้ข้าคงต้องตามกลับไปด้วย”“นี่พี่รองจริงจังอย่างนั้นหรือ น้องสาวคิดว่าพี่รองแค่ทำเจ้าชู้ไปตามปกติเท่านั้น จึงไม่เคยสังเกต” เยี่ยนเยว่ฉีขมวดคิ้ว ปกติพี่ชายคนนี้มักมีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยจริงจัง และไม่มีผู้ใดจะทำให้จิ้งจอกเป็นกังวลได้“...” เยี่ยนจิ้นหลิงเม้มริมฝีปาก“ว่าอย่างไรเล่า นางคือคนที่ท่านหมายตา หรือว่าเป็นแค่เครื่องมือ”“น้องเล็ก เจ้าถามเหมือนเป็นห่วงนาง”“ถางซือเซียนเป็นเพียงหญิงสาวไร้เดียงสา หากท่านพี่จะหลอกลวงนางเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ข้าก็อยากจะขอให้ท่านทบทวนดูใหม่”“ใช่ นางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วอย่างไรเล่า”“หากท่านไม่บริสุทธิ์ใจก็ควรปล่อยนางไป”“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแทรกแซงเรื่องของข้า” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดตัดบท“พี่รอง ท่านอย่าได้ล้อเล่นกับหัวใจผู้อื่นให้มากนัก”“ฉีเอ๋อร์ หากข
“ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” มู่เลี่ยงหรงตกใจมาก เพราะสามหัวหน้าห้องเครื่องของวังหลวงเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่ทำอาหารโดยตรงเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นราชองครักษ์ใกล้ชิดผู้คอยควบคุมความปลอดภัยของอาหารที่จะถูกส่งไปให้ฮ่องเต้“เอ๋...ท่านอัครเสนาบดีไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ท่านพี่ฟังหรือ”“เกี่ยวอะไรกับซือเซิน”“ก็ท่านตาของข้าเป็นสหายกับเซวียนผิงโหวบิดาเขา เมื่อปีก่อนใต้เท้าถางยังไปเยี่ยมท่านแม่แทนท่านโหวกับท่านตาที่เมืองหานจีอยู่เลย”มู่เลี่ยงหรงโกรธถางซือเซินไม่น้อย แท้จริงแล้วพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ แต่เจ้าเพียงพอนตัวดีกลับเผยความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเหมือนไม่เห็นเขาในสายตา“ครอบครัวของพวกเจ้าคงสนิทกันมากสินะ”“แน่นอนสิเพคะ จะว่าไปท่านอ๋องก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าใต้เท้าถางถือเป็นศิษย์พี่ของพี่รองด้วย”“อืม ซือเซินคงเห็นว่าไม่สำคัญจนต้องเล่ากระมัง” มู่เลี่ยงหรงรักษาท่าทีสงบเอาไว้ ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน ทั้งที่ถางซือเซินสารภาพมาแล้วกึ่งหนึ่ง เพราะต้องการจะดูปฏิกิริยาของจิ้งจอกสีเงิน‘น้องเล็ก เจ้าต้องการสิ่งใดกัน’เยี่ยนจิ้นหลิงอยากจะห้ามน้องสาวก็ไม่ทันการณ์เสียแล้
“ทุกคนตามสบาย วันนี้ข้ามาในฐานะบุตรเขย ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายไม่ต้องมากพิธี” มู่เลี่ยงหรงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ“ท่านอ๋องพาพระชายากลับมาก่อนเวลา อาหารกลางวันจึงยังไม่เรียบร้อย ท่านตามพวกผู้ชายไปสนทนากันก่อน ส่วนหม่อมฉันขอพาหวางเฟยไปพูดคุยตามประสาแม่ลูกนะเพคะ” ไป๋หลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม“ย่อมได้” อ๋องหนุ่มพยักหน้าตอบรับไป๋หลันจึงจูงมือฉินหวางเฟยไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางมีเรื่องมากมายอยากจะถามไถ่ ด้วยแท้จริงเป็นห่วงบุตรสาวที่ต้องดูแลจวนอ๋องอันใหญ่โต คงจะลำบากมากทีเดียว ส่วนพวกผู้ชายก็เชิญฉินอ๋องไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกลบรรยากาศไม่ค่อยอึมครึมแล้ว หลังจากมู่เลี่ยงหรงแกล้งเมามายพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงแต่งงาน เยี่ยนหยางเจวี๋ยก็ดูจะพออกพอใจ ผู้เป็นอ๋องหวังว่าวันนี้พ่อตาจะไม่ทดสอบอะไรเขาอีกบุรุษทั้งสี่สนทนากันอย่างออกรส แม่ทัพใหญ่รู้สึกทึ่งบุตรเขยอยู่ไม่น้อย ฉินอ๋องมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เรื่องรบทัพจับศึกก็เชี่ยวชาญ ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้อย่างมาก เขานึกว่าอ๋องผู้นี้คงดีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปวันๆ ที่ได้ตำแหน่งสำคัญมาก็คงอาศัยพระบารมีของฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนตนจะมองผิด