มู่เลี่ยงหรงก้าวออกจากถ้ำ ปรับสีหน้ากลับมาเป็นอ๋องผู้สูงส่งและเยือกเย็น ฝ่ายเยี่ยนเยว่ฉีมองซ้ายมองขวาหาซูจิ้ง พอเห็นดังนั้น เขาจึงใช้ลมปราณช่วยเปล่งเสียงดังออกไป“ซิ่นเฉิง! นำคนของคุณหนูเยี่ยนกลับมา”เพียงไม่นานชายผู้หนึ่งก็เดินนำหน้าซูจิ้งออกมาจากสวนอีกด้านสาวใช้ตัวน้อยเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาตามหลังคนผู้นั้นมาอย่างเงียบ ๆ ยามนางเดินเข้ามาใกล้พอสมควร ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของฉินอ๋อง ครั้นนึกถึงคำที่ตนก่นด่าซิ่นเฉิงกับ ‘นายท่าน’ ของเขาใบหน้าพลันซีดเผือด มีเหงื่อเม็ดน้อย ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก แต่พอหวนคำนึงเรื่องน่าอายของตนเองกับองครักษ์หนุ่ม ซูจิ้งก็กลับมาหน้าแดงซ่านอีกครั้งเยี่ยนเยว่ฉีเห็นสาวใช้คนสนิทมีท่าทีแปลก ๆ เดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง ก็รีบเข้าไปถามด้วยความห่วงใย“ซูจิ้งเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม เขาทำอะไรรุนแรงกับเจ้าหรือเปล่า”“มะ...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณหนู” ซูจิ้งก้มหน้าตอบไม่ยอมสบตาผู้เป็นนายมองสาวใช้ของตนสลับไปมากับองครักษ์ “ทำไมเจ้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตา บอกข้ามาเขาทำร้ายเจ้าหรือไม่ ถ้าเขาแตะต้องเจ้า ข้าจะขอให้ท่านอ๋องลงโทษคนผู้นี้อย่างสาสม”“ไม่มีอะไรจริง ๆ เจ้าค่ะคุณหนู องครักษ์ซิ
‘น่าอายนัก นี่ข้าคิดอะไรอยู่ ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งเจอนางแค่ครั้งเดียวจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชอบนางหรือเปล่า’ ซิ่นเฉิงได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเพียงผู้เดียวเมื่อแยกกับมู่เลี่ยงหรงที่ภูเขาจำลองแล้ว เยี่ยนเยว่ฉีกับซูจิ้งก็มุ่งหน้ากลับไปร่วมงานชมดอกเหมยเพื่อเตรียมการแสดงอย่างไม่รอช้าสาวใช้ร่างเล็กประคองผู้เป็นนายไปเดินเคียงกันตามเส้นทางอันสวยงามของอุทยานหลวงอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้จะรู้สึกสนใจใคร่รู้สถานการณ์เมื่อครู่ของกันและกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำขณะกำลังเดินข้ามหนึ่งในบรรดาสะพานมากมายของสวนอันใหญ่โต เยี่ยนเยว่ฉีพลันนึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนเยี่ยนจิ้นหลิงแจ้งถึงชะตาที่นางไม่อาจเลี่ยงได้ฟังคราแรกนางก็ร้องไห้ฟูมฟายเสียยกใหญ่ ด้วยตีความทั้งหมดไปเองว่าตนคงไม่อาจพ้นการถูกคัดเลือกไปเป็นพระสนมในวังหลังนางทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ ก็เห็นว่าตนเองน่าจะคาดเดาคำทำนายของพี่ชายผิดไปเสียแล้ว เพราะตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในวังหลวง บุรุษเพียงผู้เดียวที่นางได้ใกล้ชิดมีเพียงฉินอ๋องเท่านั้นเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของชายผู้เอาแต่ใจ เยี่ยนเยว่ฉีพลันหน้าแดงขึ้นมาอีกครา ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเผด็จการยิ่
สิ้นคำสั่งผู้เป็นนาย องครักษ์หนุ่มชักอาวุธประจำกายแล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพลงดาบของซิ่นเฉิงนับเป็นสุดยอดวิชา ความสามารถอยู่ในระดับผู้เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นหากเป็นคนฝีมือธรรมดาย่อมไม่สามารถต่อกรกับชายชุดเทาผู้นี้ได้เลยเยี่ยนจิ้นหลิงกลั้วหัวเราะเสียงดัง วิ่งหลบคมดาบอันว่องไวปานสายลมอย่างสนุกสนานคนหนึ่งหนีคนหนึ่งตามทุก ๆ ครั้งที่ซิ่นเฉิงตวัดแขนฟาดฟัน เขาจะหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิว เป็นภาพน่าหวาดเสียวยิ่งนัก“อะ...ข้ากลัวนะ” จิ้งจอกหนุ่มวิ่งหนีไปรอบ ๆ แต่สีหน้าแววตาไม่มีความตระหนกเลยสักนิด แถมยังหัวเราะเยาะหยันองครักษ์เบาๆ อีกด้วยเวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป การเล่นไล่จับนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะจบลง มู่เลี่ยงหรงหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าตนกำลังถูกเยี่ยนจิ้นหลิงหยามเกียรติเข้าให้แล้วฉินอ๋องรวบรวมลมปราณบนฝ่ามือแล้วซัดใบไม้กลุ่มหนึ่งใส่เยี่ยนจิ้นหลิงทันที โดยเน้นที่จุดตาย...กุนซือหนุ่มหมุนตัวหลบ ‘อาวุธลับ’ อันหลอมรวมพลังคมกริบซึ่งพุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตตนเองไว้ได้ทัน แต่ผมสีเงินปอยหนึ่งถูกตัดขาดร่วงหล่นกระจัดกระจายเยี่ยนจิ้นหลิงหยุดหัวเราะแล้วเหลือบมองมู่เลี่ยงหรงด้วยสายตาเย็นยะเย
“หากน้องสาวของกระหม่อมมีวาสนาจะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร” เยี่ยนจิ้นหลิงพูดพลางคลี่พัดในมือแล้วโบกด้วยท่วงท่าสง่างาม“แล้วอย่างไรเล่า หากไม่ยินดีเราก็มีวิธีให้เจ้าเปลี่ยนใจตั้งมากมาย”“กระหม่อมคิดว่าพวกเราควรจะสมัครสมานสามัคคีกันเอาไว้จะดีกว่า น้ำหนักของจิ้นหลิงในใจเยว่ฉีนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว” รอยยิ้มที่บนใบหน้าสะท้อนความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อใจคนหลอกลวงเช่นเจ้า”“กระหม่อมหลอกลวงอันใด”“เจ้ามีวรยุทธ์แต่กลับมุสาว่าไม่มี”“มิได้ ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ที่ผ่านมากระหม่อมไม่เคยพูดว่าตนเองไม่มีวรยุทธ์เลยสักครั้ง เป็นผู้อื่นพากันเล่าลือไปเองต่างหาก” เขาแสร้งทำท่าเหนื่อยหน่าย มือยังคงสะบัดพัดหยกม่วงไม่หยุด“เจ้าจิ้งจอกเงินจอมเจ้าเล่ห์” มู่เลี่ยงหรงยังคงไม่เชื่อถือบุรุษตรงหน้า“กระหม่อมจะถือว่านั่นเป็นคำชม แต่ท่านอ๋องลองตรองดูสักนิดเถิด คำเล่าลือนั้นจะหาความจริงได้มากน้อยสักเพียงไหน หากผู้คนพากันพูดว่าท่านอ๋องมีนิ้วมือเก้านิ้ว นั่นจะถือว่าเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ”“แล้วเพราะเหตุอันใด ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีผู้ใดพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ของเจ้า”“เป็นเพราะกระหม่อมถนัดการใช้สมองมากกว่าก
หมู่เมฆบดบังแสงอาทิตย์ในปลายเหมันต์ฤดู อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่แม้หิมะละลายไปสิ้นแล้ว สายลมโชยบาดผิวขาวเนียนจนสั่นสะท้าน เยี่ยนเยว่ฉีกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นแล้วเร่งฝีเท้ากลับไปยังกระโจมสีขาวเบื้องหน้าอย่างมิรั้งรอเมื่อมาถึงบริเวณงานเลี้ยง นางค่อย ๆ เยื้องกรายกลับไปยังที่นั่งปราศจากทีท่ารีบร้อนอย่างก่อนหน้านี้ ครั้นผู้เป็นนายนั่งลงประจำที่สาวใช้ผู้รู้งานก็รีบกุลีกุจอรินชาชั้นดีลงจอกหยกบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ที่เพิ่งได้รับเกียรติให้ร่วมงานในวังหลวงเป็นครั้งแรก ยังไม่รู้จักมักคุ้นกับผู้ใดจึงได้แต่นั่งจิบชาหอมกรุ่นพร้อมชมการแสดงเบื้องหน้าอย่างสงบเสงี่ยม แต่ด้วยรูปโฉมดั่งเทพธิดาจากสวรรค์ย่อมดึงดูดผู้คน ส่งผลให้ทุกอากัปกิริยาของนางเป็นที่สนอกสนใจของแขกเหรื่อภายในงาน โดยเฉพาะเหล่าบุรุษทั้งหลาย แม้จะมีผ้าโปร่งบางกางกันอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ไม่อาจบดบังความเจิดจรัสของนางได้ พวกเขาพากันตกตะลึงในความงามของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ ต่างคนต่างรีบไปคารวะสุราว่าที่พ่อตากันมิขาดสายส่วนฝั่งสตรี พอได้พบสตรีผู้เพรียบพร้อมเช่นเยี่ยนเยว่ฉี บรรดาฮูหยินขุนนางที่มีบุตรชายถึงวัยแต่งภรรยาต่างหมายใจจะส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอนา
นัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มมองตามเขาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเองก็ปรายสายตามาทางนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกจับได้จึงหลุบเปลือกตาลงไม่กล้าสบนัยน์ตาคมปลาบนั่นอีกบุรุษผู้สง่างามนั่งลงประจำที่ ทว่ารังสีกดดันอันเย็นเยียบที่เคยมีกลับจางหายไปจนสิ้นมู่เลี่ยงหรงเผยรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก ท่าทางอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย บรรดาขุนนางต่างพากันงวยงงกับท่าทีผิดปกติของฉินอ๋องผู้เคร่งขรึม บางคนถึงกับขอบคุณสวรรค์ บ้างก็อธิษฐานให้เขาเป็นแบบนี้ตลอดไป พวกตนจะได้หายอกสั่นขวัญแขวนเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้แทนพระองค์ที่แสนจะเย็นชาและเข้มงวดผู้นี้เยี่ยนเยว่ฉีพลันหัวใจเต้นระรัวใบหน้าร้อนผ่าวราวกับต้องพิษไข้เมื่อคิดถึงจุมพิตเร่าร้อนที่เขามอบให้เมื่อครู่ทุกอากัปกิริยาของบุตรสาวแม่ทัพอยู่ในสายตาของถางซือเซียนทั้งหมด สาวน้อยหันหน้าไปทางมู่เลี่ยงหรงอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่ได้มองมาทางนี้อีกแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเฮือกหนึ่งเห็นเยี่ยนเยว่ฉีมองตามฉินอ๋องไม่วางตา ถางซือเซียนจึงอธิบายว่าผู้ที่เพิ่งเข้ามาคือใคร “ท่านผู้นั้นคือฉินอ๋อง พระอนุชาของฮ่องเต้ คุณหนูเยี่ยนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านอ๋องมาบ้
แต่ชายผู้นั้นไม่ได้มีใจเดียว ไม่มีทางรักนางอย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะพึงใจในความงามเพียงฉาบฉวยมีคำกล่าวที่ว่า ภรรยาเอกควรค่าแก่การยกย่อง ส่วนผู้ที่ได้ความรักล้วนเป็นอนุโฉมงามใช่สิ ฉินอ๋องแค่เล่นเล่ห์ให้นางใช้ร่างกายแลกกับโทษตาย ส่วนตำแหน่งฉินหวางเฟย ที่บอกว่ายอมยกให้คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่านพ่อก็เท่านั้น‘ข้าช่างโง่งมเหลือเกิน’เยี่ยนเยว่ฉีไม่มีแก่ใจจะสนทนาอะไรกับถางซือเซียนอีก ได้แต่ก้มหน้ามองขลุ่ยหยกในมือข้างซ้ายนิ้วเรียวยาวลูบไปบนผิวของตี๋จื่อ[1]ที่ถูกบุรุษผู้นั้นผิวผ่าน เขาบรรเลงเพลงรักนกยวนยางให้นางฟัง ทั้งหมดเป็นเพียงการกระทำของชายเจ้าชู้ ไม่ได้มีความจริงใจอะไรทั้งสิ้น ทว่านางกลับหลงชื่นชมเขาจนเกือบมอบใจให้ช่างน่าอดสูเหลือเกินก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาขัดจังหวะห้วงคิดของเยี่ยนเยว่ฉี“คุณหนูเยี่ยน ได้โปรดตามข้าน้อยไปรอแสดงที่ด้านหลังด้วยเจ้าค่ะ”“ได้” นางตอบสั้น ๆ แล้วรีบลุกออกจากตรงนั้นในทันที ไม่แม้แต่จะร่ำลาถางซือเซียนสักคำเยี่ยนเยว่ฉียังคงเจ็บแปลบในอก ทั้งว้าวุ่นสับสนระคนปวดร้าว หยาดน้ำตาคลอเบ้าจนเกือบจะไหลออกมา เพียงแค่คิดว่ามู่เลี
เยี่ยนเยว่ฉีนึกถึงสิ่งที่ได้ฟังจากถางซือเซียนก่อนหน้านี้ น้องสาวของอัครเสนาบดีบอกว่าท่านอ๋องมิได้ชอบสตรีผู้นี้แต่อย่างใด นางเป็นแค่เพียงหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบเขาเท่านั้น หากเป็นท่านหญิงจวนจ้าวอ๋องจริง ๆ แล้วละก็ นางย่อมมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของมู่เลี่ยงหรง การเรียกเขาว่าเกอเกอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่ายามนี้ทุกอย่างก็เป็นเพียงสิ่งที่ตนคาดเดาไปเองทั้งสิ้นเยี่ยนเยว่ฉียังคงวิตกกังวลในเรื่องที่ยังคงคลุมเครือ นางเริ่มไม่มั่นใจว่าควรจะรีบแต่งงานกับชายมากภรรยาและมีชะตาดอกท้อผู้นี้หรือไม่หากเป็นไปได้ นางก็อยากจะเลื่อนเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน อย่างน้อยฉินอ๋องก็ควรจะพิสูจน์ตนเองว่าชอบนางด้วยใจจริง มิใช่เห็นนางเป็นเพียงแค่บุปฝาที่อยากจะเก็บเอาไว้ดอมดมจนเบื่อหน่ายแล้วทิ้งขว้าง แต่จะทำเช่นไรในเมื่อฉินอ๋องกำลังจะขอพระราชทานสมรสในวันนี้แล้วระหว่างเยี่ยนเยว่ฉีอยู่ในห้วงความคิด ขันทีน้อยก็ตะโกนขานชื่อการแสดงชุดถัดไป“การแสดงชุดระบำเทพธิดาดวงจันทร์ จากจวนจ้าวอ๋อง ท่านหญิงกุ้ยอินแสดง”สิ้นคำขันทีน้อย เสียงดนตรีก็แว่วดังกังวานขึ้น เครื่องดนตรีหลากหลายสอดประสาน ส่งเสียงประกอบกันเป็นจังหวะสำหรั
มู่เลี่ยงหรงอดคิดไม่ได้ ชายผู้นี้กลัวเลือดจะเปื้อนกาย แต่กลับกระหายการฆ่าฟันเสียยิ่งกว่านักรบ เขาไม่ต้องออกแรงก็สามารถทำให้คนดับสิ้น จากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลลัพธ์อย่างภาคภูมิ‘ไอ้จิ้งจอกโรคจิต’ ผู้เป็นอ๋องสบถในใจ แต่ไม่พูดออกมาตามตรง“เราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรเสียอีกหน่อยก็ต้องนับญาติกัน จงวางเรื่องบาดหมางเล็กน้อยนั่นลง แล้วส่งเสริมเรากับเยี่ยนเยว่ฉีได้หรือไม่” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเป็นศัตรูกับบุรุษโรคจิต จึงหวังว่าการยอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้จะทำให้กุนซือผมสีเงินให้ฤกษ์แต่งงานมาเสียที“จิ้นหลิงขอกล่าวตามตรง ยังไม่มีฤกษ์มงคลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้ท่านอ๋องรอคอยกำหนดการจากกระหม่อมอย่างใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน หากเราสามารถหาให้ได้ก็จะจัดการอย่างไม่รีรอ”“กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใด แต่หากท่านอ๋องประสงค์จะกำหนดการแต่งงานให้เร็วขึ้น เมื่อถึงวัดประจำราชวงศ์ก็พอจะมีทางแก้ไขดวงชะตาของฉีเอ๋อร์ พิธีปัดเป่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านอ๋องให้ความร่วมมือก็เพียงพอ”“เราตกลง” มู่เลี่ยงหรงรับคำหนักแน่น“กระหม่อมจดจำไว้แล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงอมยิ
ขณะที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย มู่เลี่ยงหรงได้ลอบสาบานในใจ หากถึงวันร่วมหอของทั้งสองเมื่อใด เขาจะกดนางเอาไว้ใต้ร่างตลอดทั้งราตรี จะใช้เพลิงรักแผดเผาโฉมสะคราญจนมอดไหม้เป็นลูกไฟดวงแล้วดวงเล่า จนกว่าสตรีผู้ยั่วเย้าจะสิ้นสติไปพร้อมกับความปริ่มเปรม“หากเจ้ามอบจุมพิตให้ยามเราพบกัน เช่นนี้ข้าคงมีแรงให้อดทนรอคอยได้บ้าง”“พอได้แล้วเพคะ ท่านอ๋องเรียกร้องขอกินเต้าหู้มากเกินไป แบบนี้หม่อมฉันมีแต่ขาดทุน”“ก็มันช่างหวานอร่อยยิ่ง พอรู้ตัวอีกที ข้าก็กลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว”“ท่านอ๋องเพคะ เยว่ฉีหนาวแล้ว เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถิด” นางแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาคลายกำหนัด หากขืนปล่อยตัวปล่อยใจต่อไปอีกนิด เกรงว่าท่านอ๋องจะตบะแตกไปเสียก่อนมู่เลี่ยงหรงผละออกจากร่างบาง มือทั้งสองรีบคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นยื่นให้เยี่ยนเยว่ฉี จากนั้นก็หันมาสวมอาภรณ์ของตนเองอย่างชำนาญ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ไม่มีนางกำนัลปรนนิบัติ เขาก็ไม่มีอาการเงอะงะแม้แต่น้อย ซ้ำยังรีบมาช่วยคู่หมั้นสาวใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่นานนักร่างเปลือยเปล่าของนางก็กลับมาอยู่ชุดสีขาวงดงามอีกครั้ง“ท่านอ๋องดูคุ้นเคยกับการสวมชุดให้สตรี” ส
เพื่อยั่วยุอารมณ์ของนางให้แตกกระเจิงมากกว่าเก่า เขาจึงครอบครองยอดสีชมพูบนนวลเนื้ออวบอิ่มไปพร้อมกัน ทั้งขบเม้มดูดเน้นจนกายนางผวา ร่างบางพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม“อ่ะ...ท่านอ๋อง” นางร้องเรียกเสียงสั่น หัวสมองขาวโพลนไปหมด“หืม...ข้าอยู่นี่” เขาส่งเสียงขานรับอย่างนุ่มนวลในขณะที่มู่เลี่ยงหรงมอบความรู้สึกอันลึกซึ้งด้วยการขยับปลายนิ้วเข้าออกผ่านความคับแคบของพรหมจรรย์สตรี เยี่ยนเยว่ฉีทำได้เพียงหลับตาแน่นและส่งเสียงครวญครางเบา ๆ ยามเขาเฝ้ารุกเร้าถาโถมโจมตี สิ่งที่นางได้รับมีเพียงกระแสร้อนรุ่มหวามไหวระคนอึดอัดทรมาน เสมือนร่างกายพร้อมแตกสลายด้วยน้ำมืออันร้ายกาจได้ทุกเมื่อ“ต้องการอีกหรือไม่”“อือ...ท่านอ๋อง...เยว่ฉีไม่รู้” สตรีด้อยประสบการณ์ตกประหม่า นางไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาอย่างไร ร่างกายนี้พร้อมจะหลุดจากการความคุม ด้วยไม่อาจต่อต้านเพลิงแห่งปรารถนาที่แผดเผานางให้มอดไหม้“เด็กดี ข้าจะทำให้เจ้าอิ่มหนำ”“ยะ...อย่า...” เสียงเสียงห้ามแว่วหวานแผ่วเบา ยิ่งปลุกเร้าให้บุรุษขี้แกล้งได้ใจมู่เลี่ยงหรงไม่สนใจเสียงร้องห้าม เขาขยับปลายนิ้วร้อนชอนไชให้ลึกขึ้น โจนจ้วงเร่งจังหวะกระชั้นถี่ ร่างงามสั่นสะท
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า