ภายในงานประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสันลอยเรียงรายตามลำน้ำและบ้านเรือน ผู้คนเดินควงโคมไฟไปตามถนน แสงสีอ่อนๆ ของโคมไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งเมืองสะท้อนกับน้ำในลำธาร เสียงขลุ่ยและพิณดังก้องกังวานสร้างบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกยามค่ำคืนยิ่งนัก
‘ว้าวช่างเหมือนงานวัดอะไรเช่นนี้นะขาดแค่ชิงช้าสวรรค์แล้ว’
“ทำเหมือนไม่เคยเห็นอย่างนั้นล่ะตื่นเต้นอะไรเพียงนั้น” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันพลางปรายตาไปมองสตรีบ้าที่ดันดูโดดเด่นที่สุดในงานเสียอย่างนั้น
‘แต่ถึงอย่างไรนางก็คือคนบ้าจะมาเทียบอะไรกับพี่หญิงเว่ยของนางที่งามบริสุทธิ์เช่นนี้ได้กัน’
“พี่หญิงเว่ยคืนนี้ท่านน่ะงดงามที่สุดแล้วท่านพี่ว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ” พูดจบก็หันไปมองจวิ้นอ๋องที่เบือนหน้ามามองน้องสาวตัวแสบของเขาพอดี ก่อนจะหันไปมองเว่ยอวิ๋ยเซียนแล้วยกยิ้มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยแต่นั่นกลับทำให้เว่ยอวิ๋นเซียนรู้สึกดีใจอย่างที่สุดแล้ว
‘จวิ้นอ๋องบุรุษที่เยือกเย็นและเย็นชาเช่นเขาผู้ที่ไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดแต่เมื่อหันมามองนางกลับยิ้มออกมาเช่นนี้แสดงว่านางยังคงมีหวังอยู่อย่างแน่นอน’
“องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว ใต้หล้านี้คนที่งามที่สุดไม่ใช่ท่านหรอกหรือเพคะ”
“พี่หญิงเว่ยถ่อมตัวเกินไปแล้วข้าไหนเลยจะงามเท่าท่าน”
หลิวหรงผิงที่ยืนฟังคนทั้งคู่สนทนากันนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
‘คนนั้นงามคนนี้งามแล้วอย่างไรมีประโยชน์อันใดกัน คนพวกนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง’
คิดได้ดังนั้นก็เดินหนีออกมาจากวงสนทนานั้นด้วยความรวดเร็ว สายตาคมกริบของจวิ้นอ๋องมองตามแผ่นหลังของหลิวหรงผิงที่เวลานี้ไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารแล้ว
กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยมาทำเอานางน้ำลายไหลทันที หลิวหรงผิงหันซ้ายมองขวาก่อนจะพบเข้ากับเนื้อแพะเสียบไม้ย่างกลิ่นของมันช่างหอมเย้ายวนยั่วน้ำลายของนางยิ่งนัก
‘หอมเสียจริง ให้ตายสิยุคที่จากมาวันๆ เอาแต่ทำงานในห้องทดลองอาหารที่กินก็มีแต่อาหารขยะไหนเลยจะเคยได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะเช่นนี้กัน’
“พระชายาอยากกินนั่นหรือเพคะ” และแล้วเสียงอ่อนหวานของเว่ยอวิ๋นเซียนก็เอ่ยถามนางออกมา หลิวหรงผิงหันไปมองก็เห็นว่าทั้งสามที่ไม่รู้เดินตามมาเมื่อไหร่มาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากนางแล้ว
‘อะไรกันเนี่ย ข้าเดินหนีออกมาแล้วใยถึงเดินตามมาอีกเล่าอยากจะบ้าตายจริงๆ’
“ข้าเห็นท่านเอาแต่มองเนื้อแพะย่างท่านอยากกินงั้นหรือ”
“พี่หญิงเว่ยจะไปสนทนากับคนเช่นนางทำไมกันเจ้าคะคนอย่างนางกินแบบนั้นเป็นที่ไหน ท่านรู้หรือไม่นางกินเป็นเพียงแค่อาหารหมูเท่านั้น”
“อาหารหมูงั้นหรือ” เว่ยอวิ๋นเซียนพูดขึ้นพลางนึกสงสัยในสิ่งที่องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาเมื่อครู่
“ก็ที่จวนของท่านพี่อย่างไรเล่า นางน่ะ”
“เพ่ยเพ่ย”
เสียงเย็นชาดังแทรกขึ้นมาจนองค์หญิงเพ่ยเพ่ยรีบปิดปากของตนเองเอาไว้แทบไม่ทัน
‘นางจะพูดอะไรหรือว่าอาหารหมูที่ซิ่วอิงเคยบอกว่าข้าเคยกินนั้นจะเป็นฝีมือของนาง ใช่แน่ๆ องค์หญิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง’
หลิวหรงผิงเม้มปากด้วยความเดือดดาลใจไม่น้อย เจ้าของร่างที่อยู่ๆ ก็สติฟั่นเฟือนและถูกรังแกมาโดยตลอดเช่นนี้นางจะรู้สึกอย่างไรกันนะที่รู้ว่าน้องสามีและสามีตัวดีร่วมมือกลั่นแกล้งนางเช่นนี้
‘ทำร้ายกันเกินไปแล้ว’
หลิวหรงผิงจ้องมองสองพี่น้องคู่นั้นตาเขม็งก่อนจะหยิบเอาหมั่นโถที่เสี่ยวเถายัดใส่มือมาให้นางด้วย เพราะกลัวว่าพระชายาของตนที่ไม่ได้กินอาหารก่อนออกจากจวนจะหิวเข้า
ไม่รู้ว่าที่ห้ามไม่ให้น้องสาวตัวแสบผู้นั้นพูดมากไปกว่านี้นั้นเพราะกลัวว่านางจะอับอายหรือว่าแท้จริงแล้วเขากลัวว่าคนอื่นๆ จะรู้ว่าตัวเองนั้นคือต้นเหตุที่คอยบงการให้ผู้คนทำร้ายชายาของตนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ อย่าหวังว่าข้าจะทำดีด้วยเลยและที่สำคัญคิดจะรังแกข้านั้นไม่ง่ายอีกแล้ว
นางกัดกินหมั่นโถวอย่างมูมมามทำเอาจวิ้นอ๋องหันหน้ามามองนางก่อนจะกอดอกแล้วขมวดคิ้วมองนางไม่วางตา
“เอิ้ก!”
“เจ้าช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
“อะไรหรือ”
หลิวหรงผิงเอียงคอมองคนทั้งสามพลางทำหน้าตาทะเล้นก่อนจะออกวิ่งไปยังทางเบื้องหน้าโดยมีตงหยางวิ่งตามนางไปแทบไม่ทัน
“อยู่กับนางนานๆ ข้าคงได้อายชาวบ้านมากกว่านี้แน่ ท่านพี่เช่นนั้นท่านก็พาพี่หญิงเว่ยไปเดินดูงานเถอะเจ้าคะ พี่สะใภ้นางซุกซนและเอ่อ…ทำตัวน่าเกลียดเช่นนี้อาจสร้างเรื่องให้ท่านอับอายและปวดหัวได้ปล่อยให้นางเดินเที่ยวคนเดียวดีกว่าแค่ให้หานเฟิงกับตงหยางคอยตามดูแลนางก็พอแล้วกระมัง”
“ได้อย่างไรกันข้ามีชายาแล้วคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมหากต้องไปกับสตรีอื่น”
“สตรีอื่นที่ไหนก็ยังมีข้าด้วยนี่นา”
“พวกเจ้าไปเดินเล่นเถอะ ตงหยางเจ้าไปกับพวกนาง”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เดี๋ยวสิเจ้าคะท่านพี่!”
จวิ้นอ๋องไม่สนใจเสียงเรียกของน้องสาวเขาเดินออกมาจากวงสนทนา สายตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของหลิวหรงผิงที่เวลานี้ไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายโคมไฟแล้ว
เมื่อทิ้งระยะจากคนหน้าเนื้อใจเสือพวกนั้นมาแล้วหลิวหรงผิงก็เดินดูงานไปเรื่อยๆ โดยมีหานเฟิงเดินรั้งท้ายคอยเฝ้าดูแลนางไม่ห่าง
“ข้าจะเอาอันนั้น”
“แต่ว่าพระชายานั่นมันหนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะเอา”
นางเบะปากเตรียมพร้อมจะร้องไห้ออกมาแล้วจนหานเฟิงต้องรีบผละออกจากนางหมายจะไปซื้อโคมไฟลายมังกรตัวใหญ่มาให้ตามความต้องการของสตรีผู้เป็นนายหญิงของเขา
หานเฟิงทั้งเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าทั้งหันหลังกลับมามองนางเป็นระยะเหมือนกลัวว่านางจะหายไปอย่างไรอย่างนั้นแต่เมื่อมองเห็นว่าจวิ้นอ๋องกำลังเดินเข้ามาหานางแล้วเขาจึงวางใจและเดินหน้าต่อทันที
หลิวหรงผิงอมยิ้มก่อนจะหันซ้ายมองขวานางเห็นร้านขายแมงป่องย่างในหัวก็คิดอะไรสนุกๆ ออก
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
และแล้วเสียงที่ไม่อยากได้ยินก็ดันลอยเข้าหูของนางมาจนได้
‘เวรกรรมจริงๆ จะปล่อยให้นางเล่นสนุกบ้างไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน’
โคมไฟในยุคโบราณนี้ทำขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแม้จะไม่ได้มีลวดลายที่สลับซับซ้อนมากมายเท่าในยุคที่นางจากมาแต่เมื่อมารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้กลับดูงดงามละลานตาไปหมด
ขณะที่จวิ้นอ๋องเดินนำหน้านางเพื่อข้ามผ่านสะพานไปยังใจกลางเมืองนั้นก็มองเห็นเว่ยอวิ๋นเซียนและองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ยืนอยู่ตรงกลางของสะพานแล้ว นางมองมาที่หลิวหรงผิงด้วยแววตาริษยาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นเคย
หลิวหรงผิงมองเห็นทั้งคู่แล้วนางพยายามเบี่ยงตัวออกมาอีกฝั่งแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร่างบางนั้นไปก็ดูเหมือนเว่ยอวิ๋นเวียนจะขยับกายเข้ามาใกล้นางจนไหล่บางชนเข้ากับนางจนได้ ไม่ทันได้สบถคำพูดใดออกมาอีกฝ่ายก็ทำท่าจะตกลงไปในทะเลสาบเสียอย่างนั้น
“อ๊ะ! องค์หญิงช่วยข้าด้วย”
“กรี๊ด! ตู้ม!”
‘ปากร้องขอความช่วยเหลือแต่มือไม่ยื่นออกมาเนี่ยนะ นี่มันฉากละครหลังข่าวที่ตัวร้ายแสร้งทำเป็นถูกนางเอกกลั่นแกล้งหรือไม่’
เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลิวหรงผิงหันไปจ้องมองก็เห็นสตรีในชุดสีขาวนั้นกำลังตะเกียกตะกายพยายามขึ้นจากผิวน้ำ
‘แต่เมื่อครู่มันอะไรกันข้าไม่ได้ออกแรงผลักนางเสียหน่อยเหตุใดนางถึงตกลงไปได้’
“อ๊ะ! ขนมของข้า”
หลิวหรงผิงหันไปคว้าถ้วยขนมบัวลอยมาจากมือของตงหยางก่อนจะตักกินอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใดพลางจ้องมองเหตุการณ์ภายในทะเลสาบนั้นอย่างนึกสนุก
‘อากาศเย็นเพียงนี้นางจะสร้างเรื่องให้ตัวเองตกลงไปทำไมกันนะโง่จริงๆ’
หลิวหรงผิงส่ายหน้าพลางเคี้ยวขนมต่อ
“ท่านพี่ช่วยพี่หญิงเว่ยด้วย นางว่ายน้ำไม่เป็น”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยตะโกนร้องออกมาทหารองค์รักษ์ที่เฝ้าตามนางมาก็ไม่กล้าลงไปช่วย ชายหญิงไม่ควรแตะต้องกันและอีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็คงต้องรอให้จวิ้นอ๋องเป็นคนพาตัวนางขึ้นมาเท่านั้น
เมื่อจวิ้นอ๋องที่ช่วยนางขึ้นมาจากทะเลสาบแล้วก็หันไปจ้องมองหลิวหรงผิงที่เวลานี้เอาแต่ยืนกินขนมหยวนเซียวไม่สนใจผู้ใดเลยแม้เพียงนิด
ใบหน้าหล่อเหลายืนนิ่งไม่มีแม้แต่จะปลอบใจสตรีตรงหน้าที่กำลังนั่งจมปุกอยู่กับพื้นถนน องค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่คิดว่าพี่ชายของนางคงจะยังมีใจให้เว่ยอวิ๋นเซียนอยู่บ้างแต่เวลานี้เขาที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำแล้วแต่กลับไม่ยอมหยิบยื่นเสื้อคลุมของตนเองให้นางสวมใส่เสียอย่างนั้น
‘นี่มันอะไรกันเนี่ย’
เว่ยอวิ๋นเซียนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยความเย็นของน้ำเริ่มทำให้นางหนาวสั่นขึ้นมาแล้ว นางเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นทำเอาผู้คนที่พบเห็นต่างก็อดที่จะสงสารไม่ได้ยกเว้นก็เพียงแค่หลิวหรงผิงเท่านั้น!
“เหตุใดพระชายาถึงได้ใจร้ายถึงเพียงนี้ท่านผลักข้าลงไปทำไมกัน”
“ห้ะ?”
“เมื่อครู่ตอนที่ท่านเดินผ่านข้าไม่ใช่ท่านหรอกหรือที่ผลักข้าลงไปในแม่น้ำนั่น”
“เอ๋”
แววตาเยือกเย็นของจวิ้นอ๋องหันขวับมามองนางทันที
“เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่”
‘นี่เขาโง่เขลาเพียงนี้เลยหรือนี่ไม่คิดจะสืบความก็คิดว่าเป็นฝีมือของข้าแล้ว เป็นท่านอ๋องไปได้อย่างไรกันนะ’
หลิวหรงผิงหันไปจ้องมองเว่ยอวิ๋นเซียนที่นั่งจมปุกอยู่กับพื้นเนื้อตัวเปียกโซกไปด้วยน้ำในทะเลสาบทั้งยังมีน้ำตานองหน้าดูไปแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
นางเหยียดยิ้มให้กับความโง่เขลาของบุรษตรงหน้าจนจวิ้นอ๋องเองก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงงไม่น้อย ‘นางแสดงสีหน้าเช่นนี้เป็นด้วยงั้นหรือ’
“เหตุใดท่านจึงมองหน้าข้าเช่นนั้นคิดอะไรอยู่งั้นหรือเพคะสามี”
‘สตรีบ้าผู้นี้เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำแบบนี้ได้ด้วย’
ความเงียบสงัดก่อนหน้านี้ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของหลิวหรงผิงดังก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า ตามมาด้วยเสียงกระพือปีกนับร้อยนับพันของฝูงนกที่ตกใจตื่นเสียงของพวกมันดังระงมราวกับพายุที่โหมกระหน่ำอยู่บนยอดไม้ก่อนจะพุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำสนิทพร้อมกันในฉับพลันตัวของพวกมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่เสียงโฉบเฉี่ยวและการเคลื่อนไหวอันวุ่นวายทำให้รู้ว่าพวกมันกำลังโบยบินอย่างตื่นตระหนกอยู่เบื้องบนราวกับมีใครสาดความกลัวเข้าไปกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้นจวิ้นอ๋องยืนจังก้าใบหน้าบึ้งตึงสายตาเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาในเวลานี้ทำเอาเหล่าทหารของเขานั่งกันไม่ติดแล้ว“ไปจับนางกลับมา”สิ้นเสียงเย็นชาพร้อมแววตาคมกริบก็จ้องมองไปยังสตรีบ้าที่เอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วนั้นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง สององค์รักษ์คนสนิทก็เอาแต่มองหน้ากันพร้อมกับเกี่ยงกันไปมา‘หากพวกเขาแตะต้องตัวของพระชายามือน้อยๆ คู่นี้จะยังมีไว้จับตะเกียบกินข้าวอยู่หรือไม่ แต่หากไม่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋องแล้วเงาหัวของพวกเขาเองก็คงจะไม่มีให้เห็นเช่นกันกระมัง’
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น”“ช่างเถอะ ว่าแต่ท่านเถอะเหตุใดถึงมาอยู่ที่ขบวนของจวิ้นอ๋องได้ล่ะ”“ข้าน้อยได้รับมอบหมายให้ติดตามดูแลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ติดตามดูแลทุกเรื่องเลยอย่างนั้นหรือ”“ก็อาจจะใช่พ่ะย่ะค่ะ”“รวมถึงเรื่องที่เขาได้รับพิษด้วยหรือไม่”“เอ่อเรื่องนี้”“พูดมาเถอะน่า หลายคืนก่อนข้าได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานของเขานั่นเป็นเพราะพิษในร่างกายของเขากำเริบขึ้นมาใช่หรือไม่”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พิษที่สะสมในร่างกายของท่านอ๋องมิอาจคลายออกได้หมดอีกทั้งยังลุกลามมาที่ใบหน้าแต่ก็แปลกที่ไม่ลา
ร่างสูงเดินฝ่าความมืดกลับไปยังค่ายพักแรมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้เหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนรีบแหวกทางให้ผู้เป็นนายด้วยความว่องไวสายตาหลายๆ คู่มองเห็นคนในอ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นนายที่ทั้งชีวิตไม่เคยโอบอุ้มผู้ใดเลย เวลานี้กลับอุ้มร่างบอบบางของสตรีที่เขาเกลียดชังนักหนาเสียอย่างนั้นหลิวหรงผิงไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่มนางหันมองไปรอบๆ ที่เวลานี้เริ่มพบเห็นเหล่าทหารกล้าที่ติดตามมากับขบวนของเขาแล้ว ไม่ไกลกันนักดูเหมือนจะมีอารามเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่งที่น่าจะถูกทิ้งไว้จนรกร้างไปแล้ว“นี่ท่านตั้งค่ายพักแรมที่วัดร้างกระนั้นหรือ”“มีที่ดีกว่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ”“ที่อื่นมีเยอะแยะหรือไม่เล่า วะ…วัดร้างมันย่อมมี”“อะไร”“ผีอย่างไรเล่า&r
การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองลี่หนานนั้นต้องใช้เวลาในการเดินทางแปดถึงสิบวันได้ นับตั้งแต่ออกเดินทางมาจนถึงวันนี้ก็ย่างเข้าสู่วันที่เจ็ดแล้วท้องฟ้าเวลานี้เริ่มเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีเทาอ่อนก่อนที่แสงแรกของดวงอาทิตย์จะแตะขอบฟ้า ค่อย ๆ ไล่โทนเป็นสีส้มอ่อนและสีชมพูระเรื่อราวกับหญิงสาวที่กำลังแต่งแต้มใบหน้าให้สดใสรับเช้าวันใหม่นกน้อยเริ่มส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วปลุกให้เหล่าทหารตื่นจากนิทรา หมอกบางเบาเริ่มจางหายไปเผยให้เห็นยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าน้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบไม้พลันเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงอาทิตย์อ่อน ๆ สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ผ่านผิวหน้าทำให้หลิวหรงผิงที่เวลานี้กำลังชะโงกหน้าออกมารับแสงแดดยามเช้านอกตัวรถม้านั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจนอยากจะสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอดการเดินทางรอนแรมในป่ามานานนับเจ็ดวันถนนหนทางยากลำบากไม่น้อย แม้รถม้าที่นางนั่งจะถูกปูไปด้วยเบาะที่หนานุ่มพิเศษแล้วแต่ก็ยังทำให้ก้นของหญิงสาวระบมไปไม่น้อยเลย“ให้ตายสิเมื่อไหร่จะถึงกันนะ”“พระชายาอดทนหน่อยนะเพคะบ่าวว่าอีกไม่นานก็คงจะถึงแล้ว”“เจ้าแน่ใจหรือข้าว่าตาอ๋องบ้านั่นคงตั้งใจกลั่นแกล้งข
“ท่านอ๋อง”“เจ้าเรียกข้ามามีอะไรงั้นหรือ”“ข้าคิดถึงท่านอ๋องมากนะเพคะ”เว่ยอวิ๋นเซียนกำลังจะเข้าไปสวมกอดเขาแต่จวิ้นอ๋องกลับถอยหลังออกไป“ท่านอ๋อง” เว่ยอวิ๋นเซียนเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ“เวลานี้เจ้าคือว่าที่พระชายาขององค์ชายเจ็ดแล้ว ควรเว้นระยะห่างกับข้าจะดีที่สุด”“แต่ว่าในใจของข้านั้น”“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องสำรวมมากกว่านี้”“ท่านอ๋องแต่ในใจของอวิ๋นเซียนมีเพียงท่านเสมอมานะเพคะ”“แล้วเหตุใดถึงยินยอมรับการแต่งงานกับน้องเจ็ดกันล่ะ”“ท่านก็รู้ว่าหากท่านพ่อของข้าต้องการสิ่งใดคนเช่นข้ามีหรือจะต่อต้านเขาได้โปรดท่านอ๋องเห็นใจด้วย”“เช่นนั้นก็ทำตามที่บิดาของเจ้าต้องการ กลับไปหาน้องเจ็ดเสียเถอะข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน”“แต่ว่าท่านอ๋อง”เว่ยอวิ๋นเซียนพยายามบีบน้ำตาออกมาอีกครั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้เขาเห็นใจนางขึ้นมาบ้าง แต่จวิ้นอ๋องกับเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาไม่เหมือนจวิ้นอ๋องคนที่นางเคยรู้จักผู้นั้นอีกเลย‘ที่แท้เสียงขลุ่ยนั่นก็คือสัญลักษณ์ของคนทั้งคู่นี่เอง มิน่าล่ะเขาถึงได้ดูร้อนรนแปลกๆ ที่แท้ก็รีบออกมาหานางนี่เอง’หลิวหรงผิงยืนพิงต้นไม้ใหญ่ด้านข้างตำหนักที่ทั้งสองแอบน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม[1] หลิวหรงผิงที่ถูกส่งเข้ามาพักในตำหนักไม่ไกลกันนั้นก่อนหน้านี้ก็เอาแต่กินอาหารทั้งคาวและหวานไม่มีหยุดทั้งเนื้อแพะย่างสมุนไพร ซุปหูฉลาม ขาหมูตุ๋นน้ำแดงและเป็ดหมักน้ำปรุงที่มีเนื้อนุ่มละมุนลิ้นรสอร่อยยิ่งนัก ถึงกลับต้องคลายผ้าคาดเอวออกเพราะท้องน้อยๆ ของนางเวลานี้นั้นเริ่มขยายขึ้นจนรู้สึกแน่นไปหมดแล้ว'มิน่าเล่าในยุคที่จากมาคนส่วนใหญ่ถึงหันไปทำช่องอาหารกัน เพราะได้กินของอร่อยแล้วมันมีความสุขแบบนี้นี่เอง''จะว่าไปอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะกินแล้วก็นอนช่างสุขสบายเสียจริง หากไม่นับเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งก็ถือว่าการเกิดใหม่ครั้งนี้ของนางคุ้มค่าที่สุดแล้ว'เมื่อกินอิ่มหนังตาก็จะปิดลงเสียอย่างนั้นหญิงสาวหันมองไปโดยรอบก็เห็นเตียงนอนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนักก่อนจะย้ายร่างบอบบางนั้นไปนอนแผ่หลาบนเตียงแทน'ได้ยินว่าการเข้าวังนั้นต้องทำตามธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ในวังต่างๆ มากมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่เหตุไฉนข้าถึงได้รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรถึงเพียงนั้นกันนะหรือเพราะว่าข้าเป็นคนบ้าในสายตาของคนอื่นกระนั้นหรือถึงไม่มีใครคิดจะใส่ใจเลยสักคน'ในหัวที่ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อ