เข้าสู่ระบบ‘สตรีบ้าผู้นี้เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำแบบนี้ได้ด้วย’
หลิวหรงผิงจ้องมองพวกเขาด้วยความขยะแขยงอยากจะไปให้พ้นๆ จากคนเหล่านี้เต็มทน ท่าทางของนางในเวลานี้ทำให้องค์หญิงเพ่ยเพ่ยถึงกับตะโกนร้องลั่นออกมา
“เจ้าแกล้งบ้าแน่ๆ คนบ้าที่ไหนจะยิ้มอย่างนั้นได้กัน”
“ยิ้มอย่างไรงั้นหรือ”
หลิวหรงผิงเอียงคอจ้องมองนางด้วยแววตาใสซื่อ พลางบีบน้ำตาออกมาจนคลอเต็มดวงตาแข่งกับสตรีหน้าด้านที่นั่งอยู่บนพื้นผู้นั้น
“เฮอะ! สตรีบ้าเช่นเจ้าไม่คู่ควรจะเป็นชายาของพี่ชายข้าเลยสักนิด”
จวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นรอยยิ้มร้ายกาจที่แฝงไปด้วยความสะใจของหลิวหรงผิงแต่เมื่อเขาจ้องมองนางอีกครั้งกลับพบเพียงแววตาว่างเปล่าที่ดูเหมือนกำลังสำนึกผิดอยู่เท่านั้น
“พี่สาวข้าขอโทษ”
“คงต้องให้เจ้าเป็นคนไปส่งนางให้ถึงจวนแล้วกระมังส่วนชายาของข้าๆ จะลงโทษนางตามความเหมาะสมเอง”
พูดจบก็เข้าไปดึงแขนของหลิวหรงผิงให้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ตงหยางเองก็รีบสาวเท้าก้าวตามพวกเขาไปติดๆ
“เจ็บนะ”
น้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดก็ไม่ได้ทำให้จวิ้นอ๋องสนใจเขายังคงกระชากนางออกไปจากงานไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนลงเลยแม้เพียงนิด
“ท่านพี่เหตุใดถึงปล่อยพวกข้าไว้เช่นนี้กันเล่า!”
เสียงร้องตะโกนไล่หลังขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยแว่วตามมา แม้จะรู้ว่านางไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่จวิ้นอ๋องกลับไม่หยุดฝีเท้าลงยังคงมุ่งตรงไปยังรถม้าโดยไม่สนใจเสียงของผู้เป็นน้องสาวอีกเลย
และแล้วผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสะพานนั้นก็เริ่มเบาบางลง บรรยากาศภายในงานกลับมาคึกคักตามเดิมเผยให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่น่าจะมายืนดูเฉกเช่นชาวบ้านเมื่อครู่เช่นกัน
“คุณชายท่านก็เห็นแล้วนี่ขอรับ นางอยู่ได้ทั้งยัง…เอ่อดูแลตัวเองได้ด้วย”
“ดูแลตัวเองได้? เจ้าควรจะพูดว่าพระชายาไม่ถูกคนกลั่นแกล้งง่ายๆ จะดีกว่า”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า”
เสียงสองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยเว่ยหมิงเอาแต่ถกเถียงกันไปมาไม่มีใครยอมใคร
“ข้าแค่คิดว่านางจะปรับตัวไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ”
“ขอรับ”
จวิ้นอ๋องพานางเดินออกมาจากงานมุ่งตรงไปยังรถม้าอีกคันโดยมีหานเฟิงที่ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่คอยควบคุมรถม้าอยู่ลำพัง
‘ไม่ใช่รถม้าขององค์หญิงนี่นา’
“รถม้าของจวนข้า ก็แค่คิดว่าเจ้าต้องก่อเรื่องจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าก็เท่านั้นแล้วก็เป็นดังที่ข้าคิด”
‘เก่งเสียจริงพ่อคุณเอ้ย’
ชายหนุ่มปรายตามองนางก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าเป็นคนแรก หลิวหรงผิงยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยไม่สนใจในท่าทีของเขาก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าตามหลังเขาไป
เมื่อทั้งคู่เข้ามาในรถม้าแล้วจวิ้นอ๋องที่ก่อนหน้านี้สังเกตเห็นเลือดสดๆ ที่ไหลอาบแขนเสื้อของนางก็ได้นำผ้าสะอาดที่ได้จากหานเฟิงมาพันแขนนางเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองหญิงสาวที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ
“เจ้าไปได้แผลมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
‘หือ แผลหรือ’
นางก้มมองตามมือหนาที่จับแขนของนางอยู่ก็เห็นว่ามีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาบนพื้นรถม้าแล้ว
‘นี่ข้ามได้บาดแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเป็นไปได้อย่างไรกัน’
เพราะก่อนหน้าเอาแต่จ้องมองใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเองและไม่ได้สนใจเลยว่าเขากำลังเช็ดเลือดให้นางอยู่
‘แต่ว่าแผลนี้คล้ายถูกของมีคมบาดหรือว่าจะเป็นตอนที่ชนกับเว่ยอวิ๋นเซียนกันนะ นางตั้งใจชนเพื่อทำร้ายข้ากระนั้นหรือช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง’
จวิ้นอ๋องที่จ้องมองนางอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับท่าทีของนาง
‘ตอนขึ้นสะพานก็ยังดีๆ อยู่เลยได้บาดแผลมาเช่นนี้จะไม่รู้ตัวเลยได้อย่างไรกัน’
“เจ็บหรือไม่”
“เจ็บ”
หลิวหรงผิงทำปากน่ารักน่าชังจนจวิ้นอ๋องถึงกับส่ายหัวให้นางเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับไปนั่งพิงกับรถม้าอีกฝั่ง
“อ้าวท่านไม่ทายาให้ข้าแล้วหรือ”
“เจ้าก็ทำเองสิ”
“เอ๋”
“ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งบ้า”
“ท่านรู้ได้อย่างไร!”
หลิวหรงผิงอุดปากของตนเองทันที ‘หลุดปากพูดไปเองเสียอย่างนั้น’
“ข้าไม่ได้โง่เจ้าหายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ถามทำไม ว่าแต่ท่านเถอะรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เจ้าดูไม่เหมือนเดิม”
“ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก”
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่”
“ข้าจะไปต้องการอะไรจากท่านกันเล่า เราสองคนเป็นสามีภรรยากันเรื่องพวกนี้ใยต้องถามให้เปลืองน้ำลายด้วย”
“หายแล้วก็ต่อปากต่อคำเก่งเสียจริง”
“เอาน่าท่านอย่าได้กังวลไปเวลานี้ข้านั้นหาได้สนใจท่านไม่อีกแล้ว ท่านดูสิชาวบ้านต่างก็ดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อกันทั้งนั้น”
นางพูดจบก็หันมามองหน้าเขา
“ข้าก็เช่นกัน”
‘พูดอะไรของนาง’
รถม้าแล่นบนถนนในตัวเมืองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในตัวรถ สายลมเย็นลอยมาปะทะกับใบหน้าเล็กของนางเป็นระยะส่งผลให้หญิงสาวเริ่มง่วงงุนก่อนจะผล๊อยหลับไปในที่สุด
-จวนจวิ้นอ๋อง-
เป็นเวลายามไฮ่[1] คนทั้งคู่ก็เดินทางกลับถึงจวน จวิ้นอ๋องไม่ได้พานางกลับไปที่เรือนเฟิ่งอวี้เขาอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตางุนงงของบ่าวรับใช้ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้
ภายในห้องของเจ้าของจวนนั้นกว้างขวางใหญ่โตกว่าที่เรือนเฟิ่งอวี้ร้อยเท่าข้าวของเครื่องใช้ต่างก็ดูหรูหรางดงามทั้งนั้น มีเตียงสี่เสาไม้สักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของห้อง
ทั่วทั้งห้องถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากหลายขนาด หน้าต่างไม้ที่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายมังกรงดงามถูกเปิดให้ลมเย็นพัดผ่านเข้ามานำพาเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้โชยเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้
บนเตียงนอนหลังงามหลังนั้นมีสตรีผู้หนึ่งกำลังนอนหลับพริ้มอย่างไม่รู้ทุกข์ร้อนใดๆ เรือนผมของนางมีสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยดุจแพรไหมและหนาเป็นประกายคลอเคลียกับหมอนใบใหญ่พิเศษ
ผิวที่ขาวผ่องเหมือนหิมะสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติริมฝีปากได้รูปของนางมีสีแดงระเรื่อราวกับผลอิงเถา(เชอรี่) ที่ถูกแต่งแต้มออกมาราวกับภาพวาด
เขายอมรับว่านางงดงามสมกับคำร่ำลือจริงแต่เพราะว่านางมีนิสัยใจคอโหดร้ายทั้งยังมีกิริยาที่น่ารังเกียจด้วยเพราะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในสกุลหลิวก็คงจะถูกตามใจจนเสียคนและคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งกว่าใครจึงไม่คิดเกรงกลัวผู้ใด
ซ้ำร้ายยังวางแผนกับผู้เป็นบิดาขอพระราชทานสมรสให้นางเป็นชายาเอกของเขา สตรีร้ายกาจที่พยายามยัดเยียดตนเองให้เขาและแย่งตำแหน่งชายาจากคนที่เขาหมายมั่นจะตบแต่งเข้ามาในจวน สตรีที่เขาไม่เคยชายตามองเลยแม้เพียงเงานั้นสุดท้ายแล้วก็ได้มานอนอยู่บนเตียงของเขาจนได้
‘ช่างน่าขำสิ้นดี’
- - - - - - - - - -
[1] ยามไฮ่ = 21.00-23.00 น.
ท่าทีที่เหินห่างของนางก็ยิ่งทำให้เขาปวดใจไม่น้อยอยากที่จะเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าแต่ก็ทำได้เพียงแคยับยั้งใจเอาไว้เท่านั้น“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดี”“ผิงเอ๋ออย่าทำห่างเหินกับข้าเช่นนี้สิ”“ข้ากับท่านในเวลานี้เกี่ยวข้องอันใดกันอย่างนั้นหรือถึงได้ใช้คำว่าห่างเหิน”“เจ้าตั้งครรภ์เหตุใดถึงไม่บอกข้า”“ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนพูดเองหรอกหรือว่าไม่ว่าอย่างไรจะให้สายเลือดของท่านปะปนกับคนสกุลหลิวไม่ได้”“คือว่าข้าไม่ได้….”“จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนพูดกระนั้นหรือ ครั้งแรกตอนเข้าหอกับข้าครั้งที่สองตอนอยู่ที่เมืองลี่หนานคิดว่าข้าโง่เขลาถึงกลับจดจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”“อันที่จริงนี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วท่านกับข้าก็ห่างเหินกับคำว่าสามีภรรยาไปแล้ว และท่านเองก็มาอยู่ที่นี่แล้วดังนั้นหนังสือหย่าของข้าได้แล้วหรือยัง”“เจ้าอยากหย่ากับข้ามากกระนั้นหรือ”“ใช่”หลิวหรงผิงตอบเขาไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเขาเลยสักเพียงนิด จวิ้นอ๋องกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะชายตามองไปยังสองคนที่เหลือในห้องเย่หยุนฟางที่เห็นแววตาเย็นเยือกของเขาจ้องมองมาก็เข้าไปสะกิดเซี่ยเว่ยหมิงในทันที ก่อนที่ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งฟังบทสนทนาของคนทั้งค
เสียงลากกระบี่ดังขึ้นไปตามทางเดินของจวนนำพาความรู้สึกเย็นยะเยือกรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น จนบ่าวรับใช้ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าโผล่หน้าออกมาดูเลยสักคน ร่างสูงยืนจังก้าจ้องมองเจ้าเมืองฉางอันที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหน้าเรือนใหญ่“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งบอกมาว่านางอยู่ไหน”“ขะ ข้าไม่รู้เรื่อง”“เจ้าเมืองฉางอัน ท่านคงใช้ชีวิตอยู่มานานมากจนไม่เสียดายชีวิตนี้ของท่านแล้วสินะ”เป็นเยี่ยอ๋องที่พูดขึ้นก่อนจะเข้าไปนั่งยองๆ ใกล้เขา เจ้าเมืองฉางอันที่ถูกซ้อมปางตายในเวลานี้แทบจะพูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่แล้วเพราะความละโมบของเขานำพามาซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เพราะมีสตรีนางหนึ่งมาขอให้เขากระทำการบางอย่างบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระสนมเสียนเฟยหากว่าเขาทำสำเร็จจะได้รางวัลเป็นทองคำหนึ่งล้านตำลึงและได้แต่งงานกับองค์หญิงห้าหรือก็คือองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ถึงวัยออกเรือนแล้วนั่นเองแม้จะอายุห่างกับเขาราวพ่อลูกแต่เพราะความหลงใหลในรูปโฉมและเงินทองทำให้เขาไม่สนใจถูกผิด ช่วยเหลือนางโดยการลักพาตัวสตรีนางหนึ่งและเด็กชายอีกคนที่เขาไม่คิดจะสืบที่มาที่ไปของคนทั้งคู่ก่อนเลยสักเพียงนิดมาไว้ที่จวนแห่งนี้
ภายในห้องรับรองนั้นเยี่ยอ๋องที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่างโดยไม่ยอมขยับกายไปไหนอยู่นั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า“นางดูแปลกๆ ท่านแน่ใจนะว่านางจะช่วยพวกเราได้จริงๆ พี่สี่นี่ได้ยินหรือไม่”เยี่ยอ๋องจ้องมองใบหน้าคมคายของผู้เป็นพี่ชายที่เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูท่าว่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเมื่อครู่นี้“พี่สี่….องค์รัชทายาท!”“เบาๆ สิเจ้าอยากคนให้แตกตื่นมากนักหรืออย่างไรกัน”“ข้าเรียกท่านนานแล้วแต่ท่านก็เอาแต่เหม่อลอยเป็นอะไรไปอย่าบอกนะว่าสนใจสตรีผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” จวิ้นอ๋องหันไปจ้องมองน้องชายของเขาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก“ข้าว่านะเยี่ยอ๋องพวกเราไม่ต้องส่งคนออกไปตามหาพวกนางหรอก”“ท่านจ้างวานนางไปแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือไม่เล่า”“ไม่ใช่เช่นนั้น ตงหยางเจ้าเข้ามาในนี้ที”“ขอรับใต้เท้า” เสียงของตงหยางดังขึ้นหน้าประตูห้องก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้ามาด้านใน“ส่งคนไปสะกดรอยตามเย่หยุนฟางเอาไว้หากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบมารายงานข้า”“ขอรับ” เขารับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องรับรองตามมาด้วยเหวินหงที่ถูกเยี่ยอ๋องสั่งการให้ตามเขาไป
-โรงเตี๊ยมเหมยหลัน เมืองฉางอัน-“ข้าก็บอกไปแล้วว่าให้พวกเจ้าพักผ่อนก่อนไม่ต้องรีบมาอย่างไรเล่า”“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ข้าทำได้”เมื่อมู่อิงเถายังคงยืนยันหนักแน่นหลิวหรงผิงก็หันไปมองเย่หยุนฟางด้วยความจนใจ“เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพวกข้าเรื่องอะไรงั้นหรือ”“พักนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองมากมายนัก”“ไหนเจ้าบอกว่าตรวจสอบดีแล้วอย่างไรเล่า”“ก็ตรวจสอบไปแล้วไม่พบพิรุธอันใดถึงได้มายืนสนทนากับพวกเจ้าได้อย่างไรเล่า”เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปมองตามมาด้วยร่างอ้วนท้วนของฉางไห่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับรองก่อนจะสังเกตเห็นว่าเย่หยุนฟางก็อยู่ในห้องนี้เช่นกัน“นายหญิงท่านก็อยู่ด้วยหรือขอรับ”“วิ่งหน้าตาตื่นมาเช่นนี้มีเรื่องสำคัญอะไร”เย่หยุนฟางหันไปถามคนของตัวเองก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย“มีคนมาขอพบแม่นางหลิวขอรับ”“ใคร/ใคร”ทั้งหลิวหรงผิงและเย่หยุนฟางต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน ฉางไห่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้นางก่อนจะบอกว่าคนผู้นั้นรอนางอยู่ด้านล่างแล้วเย่หยุนฟางหันไปมองหลิวหรงผิงแววตามีความกังวลอยู่ไม่น้อย หลิวหรงผิงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านสีหน้าที่วิตกกังวลก่อนหน้
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ







