ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้นำอาวุธเข้าไปในพระราชวัง ย่อมไม่สามารถตัดผมได้เช่นกันพวกเขาทำได้เพียงต้องทำความเคารพเต็มพิธีการ และเอ่ยเสียงดัง “ทรงพระเจริญหมื่นปี”ฮ่องเต้มองทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง“เรามีคุณธรรมและความสามารถมากเพียงใดกัน ถึงได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขั
ทำผิดแล้วก็ต้องชดใช้“เสด็จพ่อ ผู้ล่วงลับก็จากไปแล้ว หากยังคงจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต วันข้างหน้าก็จะทุกข์เช่นกัน ไม่ว่าจะเพื่อเส้นทางการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนอันยาวไกลของพระสนมหลาน หรือเจ้าเก้าที่เพิ่งกลับสู่ตระกูลตงฟาง รวมถึงผู้คนในใต้หล้านี้ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงไตร่ตรองอีกครั้งเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่
ครั้นตงฟางหลีกล่าวเช่นนี้ออกมา เหล่าพระโอรสที่นั่งอยู่ต่างนั่งไม่ติดเก้าอี้ตงฟางอิงคล้ายนั่งอยู่บนพรมที่ถักทอด้วยเข็มแหลมคม รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวเขาวิ่งไปหาตงฟางหลีก่อนจะคุกเข่าลง โขกศีรษะลงอย่างแรง “ลูกก็เต็มใจที่จะใช้ชีวิตแลกพระชนมชีพของเสด็จพ่อเช่นกัน”องค์ชายแปดเห็นว่าเจ้าสิบออกหน้าแล้ว เขาเอ
ไม่ว่าจะผ่านความทุกข์ยากมามากเพียงใดแม้ว่าตนเองจักเคยตกอยู่ในความมืดมนและบอบช้ำมากเท่าใดเด็กคนนี้ยังคงเหมือนกับฟ้าหลังฝนก็ไม่ปาน ทั้งสว่างไสวใสกระจ่าง สะอาดราวกับอัญมณีล้ำค่า“เสียวจิ่ว” ฮ่องเต้จึงเข้ามาโอบกอดเขาเอาไว้ ริมฝีปากที่กระตุกขึ้นมาหลายครั้ง พร้อมด้วยอาการคัดจมูกในปีนั้น เขาทำผิดพลาดไปม
เหล่าผู้คนต่างก็อยู่ในสภาพตกใจราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาจู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยถึงการสละราชบัลลังก์ ทำเอาผู้คนถึงกับตั้งตัวไม่ทันแต่แล้วเมื่อลู่จิ้นปรากฎตัวขึ้น บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนไปในทันทีบรรยากาศที่ตกอยู่ในความเคร่งขรึมเมื่อครู่นั้น กลับกลายเป็นฉากตลกขบขันของชายชราเคราขาวอายุร้อยกว่าปีกำลังสั่งสอนหลาย
เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงตรงนี้ พระสุรเสียงก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ฮ่องเต้จ้องมองผู้คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง“เราจึงขอประกาศว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป บุตรชายคนที่เก้าของเราซึ่งมีนามว่าตงฟางจิ่ว จะกลับคืนสู่ตระกูลตงฟางอย่างเป็นทางการ และจะได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘ไหว’ หรืออ