หรือกล่าวได้ว่า ที่จงใจแยกตงฟางหลีออกไป เพื่อนางอย่างนั้นน่ะหรือ?“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?” น้ำเสียงของนางลดต่ำลง“ท่านเปิดปากก็ถามทันทีว่าข้าคิดจะทำอะไร นอกจากประโยคนี้แล้ว ท่านไม่มีคำพูดอื่นจะพูดกับข้าแล้วหรือ?” ไป๋หลินยวนถอนหายใจ“ไม่มี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูด“เฮ้อ...” ไป๋หลินยวนกล่าว “ท่านติดค้างน้ำ
ตอนที่รถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้นั้น ขนอ่อนของฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันลุกชันขึ้นมาสีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างมาก และแทบจะในขณะเวลาเดียวกันนั้นก็ได้ถอยหลังไปเกือบห้าหมี่“ช่างทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดโดยแท้ ข้าน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ?” บนรถม้า เสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “อุตส่าห์หวังดีคิดจะช่วยแม่นางฉิน
หรือแม้กระทั่ง คนที่ส่งจดหมายกลับมายังไม่มีฉินเหยี่ยนเย่ว์ยิ่งรอยิ่งรู้สึกร้อนใจความรู้สึกใจสั่นที่น่าประหลาดอย่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาในใจเป็นความรู้สึกหวาดกลัวอันแสนประหลาดอย่างหนึ่งครั้นเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดนางก็อดทนรอไม่ไหว สั่งให้คนไปถามข่าวจากในวังหลวงเพียงไม่นานคนที่ไปถามข่าวก
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ตงฟางหลีได้ส่งคนไปสืบเรื่องของยันต์คาถาทว่าไร้ผลและเขาเองก็ไปถามลู่จิ้นหลายครั้ง ทว่าลู่จิ้นไม่ได้ให้เหตุผลที่แท้จริงชัดเจนเช่นกัน เพียงรับปากว่าจะดูแลความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามตงฟางหลีไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ และยังคงถามต่อไปต่อมา ได้ทำให้ลู่จิ้นโกรธจัด
ตงฟางหลีส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “เรื่องระหว่างเราสามีภรรยา เกี่ยวอันใดกับท่าน?”ลู่จิ้นโกรธมาก “เรื่องของศิษย์น้องหญิงของข้า ทำไมถึงจะไม่เกี่ยวกับข้า? เจ้าเจ็ด เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ชายของศิษย์น้องหญิงแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ ข้าสามารถทำลายเจ้าได้ทุกเมื่อ”“ขาหนึ่งข้างได้ก้าวเข้าสู่ปรโลกแล้ว ยังมีพูดจาโ
สตรีในสมัยโบราณ โดยเฉพาะสตรีจากครอบครัวขุนนางส่วนใหญ่มักจะไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ก้าวข้ามประตูรอง ยกเว้นช่วงเทศกาลโคมไฟเท่านั้น สตรีจะจับเป็นกลุ่มสามคนห้าคน ออกมาชื่นชมโคมไฟนอกจากนี้ยังทำให้เหล่าบุรุษมีโอกาสตกหลุมรักได้ตั้งแต่แรกพบอีกด้วยดังนั้น เทศกาลโคมไฟจึงเป็นวันแห่งคู่รักอย่างแท้จริงในสมัยโบร