ริมทะเลสาบ อีกคู่ก็บรรเลงเพลงรักบนหลังม้า
"ท่านแม่ทัพ ข้าเหนื่อยแล้วลงเถอะขอรับ"
"ได้ๆตามใจเจ้าอาเว่ยเจ้าน่ารักเสียจริงๆ ตามใจข้าทั้งคืนได้ไหม"
"ข้าตัวแดงไปหมดแล้วอื้อๆๆ ท่านเนี่ยก็ได้ๆข้าตามใจท่าน หึทั้งวันทั้งคืนหากเป็นสตรีข้าคงท้องแล้ว"
บทรักของทั้งคู่ยังคงบรรเลงต่อไปจนกระทั่งตะวันตกดินไห่จ้านจึงอุ้มหนุ่มน้อยขึ้นหลังม้าอย่างทะนุถนอมแล้วพากลับค่าย
หลินผู่เย่วหน้าแดง นี่มันช่างเร่าร้อนสองคนนั้นหนานกงเยี่ยกับสวีไค่เฉิงอร๊ายไม่อยากจะคิดเลย ด้านจางฟางซินนั้นกำลังอ่านบทรักของหนายกงอิ๋นกับหลี่หมิงหลงอยู่เขินจนกัดผ้าห่มบิดไปมา ถึงจะเกลียดไอ้ฮ่องเต้ชั่วนั่นแต่บทรักช่างอึ๊ยย
"ฉางหลงข้ารักเจ้า ดุสิเจ้าทำข้าคลั่งอีกแล้ว"
"อื้อ ท่านอ๋องท่านเบาๆหน่อยกระหม่อมเสียวจะตายแล้ว นี่มันริมทะเลสาบนะพ่ะย่ะค่ะ อึ๊ย"
"ใครจะกล้ามานี่ที่ส่วนตัวข้า มาเถอะเด็กดีมาให้ข้ารักเจ้าให้ลึกซึ้งอีกนะหลายๆครั้งเลย"
ชินอ๋องบรรจงจูบฉางหลงอย่าหิวกระหายในความพิศวาส ช่างน่ารักเสียจริงๆ
เจียงฟางซินเอาหนังสือปิดหน้าก่อนจะเขินหน้าแดง
"นี่ๆๆฉีเอ๋อร์ ไอ้โรคจิตนั่นนุ่มนวลขนาดนี้เชียวหรือ ไม่น่าเชื่อ"
สามสาวนอนเรียงกันพูดคุยไปมาจนหลับ ตอนเช้าจะไปโรงพิมพ์หยวนเป้า ที่นั่นรับพิมพ์หนังสือต้องห้ามเจ้าของโรงพิมพ์คือฟางซือหมิงหลานสาวอาจารย์ฟางแห่งสำนักบัณฑิต บิดาเป็นอาจารย์บุตรสาวเปิดร้านหนังสือไม่มีอะไรไม่ถูกต้องแต่เบื้องหลังนั้นมีแค่หลินผู่เย่วที่รู้
รุ่งเช้าจางซูฉีตื่นมาเข้าครัวสองสาวก็มาช่วยด้วย พวกนางสามคนทำเกี้ยวใส้หมูสับกับกุ่ยช่าย แปลงผักนั้นมีผักกระจัดกระจาย วันนี้ไปโรงพิมพิ์เรียบร้อยค่อยกลับมาทำแปลงผักใหม่
จางซูฉีมีสมุนไพรในมิติมากมายที่อยู่ในห้องสมุนไพรกับที่อยู่ในแปลงก็มี วันนี้หาร้านขายทีเดียววเลย ไม่อยากออกไปข้างนอกบ่อยนักเดี๋ยวถูกจับได้เสียก่อน เมื่อคืนดูแล้วน่าจะเป็นคนอาจเป็นเวรยามของตำหนักอ๋องหรือไม่ก็นายพรานมาล่าสัตว์เขาลูกกนี้กว้างมาก บางครั้งก็ใช้เป็นลานล่าสัตว์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์แต่ไม่เคยมาถึงที่นี่
"อื้อฮือ พี่ใหญ่ฝีมือแต่งหน้าท่านเก่งกาจมากเลย ข้าจำฮองเฮาไม่ได้สักนิดช่างหล่อเหลายิ่งนัก"เสี่ยวเถายืนอ้าปากค้าง
"จริงด้วย นี่ของข้าไม่ต้องแปลงโฉมหรอกข้าอาศัยในเมืองจนชินเดินไปก็มีแต่คนรังเกียจไม่มีใครกล้าสบตาข้าหรอก แต่ว่าก็ว่านะฉีเอ๋อร์เจ้าเป็นสตรีที่งามจนทำบุรุษลืมหายใจจริงๆ พอแต่งเป็นชายเจ้าก็หล่อเหลากว่ายอดบุรุษแห่งแคว้นฉู่เสียอีก อ้อหนึ่งในนั้นคือเยี่ยอ๋องสามีเจ้าน่ะ"
"สายแล้วพี่ไปกันเถอะ ข้าอยากลองไปร้านขายยาด้วยมีสมุนไพรต้องซื้อ เดี๋ยวคนพลุกพล่านไม่ดี"
ทั้งสามเดินลัดเลาะตามทางเล็กๆไปจนถึงหลังร้านขายผ้า โรงพิมพ์ต้องเดินไปอีกสามตรอก สวีไค่เฉิงที่เพิ่งตื่นมองลงมาที่หน้าต่างก็เห็นดรุณีน้อยเลื่องชื่อหลินผู่เย่วคนที่ใช้แส้ฟาดเจ้าบ่าวในวันแต่งงานปางตาย คนที่กล้าตบหน้าเขาตอนที่เขาสั่งสอนว่านางเป็นสตรีป่าเถื่อน สองคนนั้นใครไม่เคยเห็นหน้าแต่บุรุษชุดสีน้ำเงินเหมือนเคยเห็นหน้าตาคุ้นๆ บุรุษชุดสีเทานั่นรูปงามนักเขายอมรับหนานกงเยี่ยงามสง่ามากแต่เทียบกับเจ้าหนุ่มน้อยอ้อนแอ้นนั่นนับว่าหนานกงเยี่ยมีคู่แข่งแล้ว มีเสียงเรียกจากด้านนอกจึงหันไปตอบ มองกลับมาก็ไม่เจอทั้งสามคนแล้ว
"หึหลินผู่เย่ว ทำเป็นทะเลาะกับคนที่บ้านเพื่อให้ถูกไล่ออกมาที่แท้เจ้าก็แอบซุกซ่อนบุรุษรูปงามถึงสองคน ไม่ยอมแต่งงานคงเพราะแบบนี้ช่างเป็นสตรีแพศยาร้ายกาจ ข้ายังไม่ลืมที่เจ้าตบหน้าข้าเมื่อสามวันก่อนนะ รอก่อนเถอะ"
ตรอกบัณฑิตมีร้านหนังสือเรียงราย ก่อนที่ประตูร้านหนึ่งจะเปิดออกป้ายร้านหยวนเป้าตัวหนังสือสีทองบนแผ่นป้ายนั้นเป็นฮ่องเต้องค์เก่าพระราชทานมาให้ฟางป๋ายหลานสาวอยากรับช่วงต่อกิจการเพราะทุกคนล้วนรับใช้ราชสำนักจนหมดร่างบางระหงยืนบิดขี้เกียจอยู่หน้าร้านมองดูร้านค้าที่กำลังทยอยเปิด กลิ่นน้ำเต้าหู้ยั่วใจมาก บิดซ้ายทีขวาทีก่อนจะได้ยินเสียง หึลอยมา
"หึ ไร้ยางอายเป็นสตรีมายืนบิดอวดเรือนร่าง ช่างไม่สมเป็นคุณหนูในห้องหอไปกันเถอะลู่กัง"
บุรุษในชุดสีขาวถือพัดในมือสวมกว๊านหยกสีเดียวกับชุด ห้อยด้วยป้ายหยกอย่างดีสลักอักษรหลี่เอาไว้ ฟางซือหมิงตะโกนตามหลัง
"เชอะ ราชครูแล้วอย่างไรไม่สำรวมก็เรื่องของข้า เอาสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้าไม่ใช่เมียเจ้าสักหน่อยหลี่หมิงหลงเหอะ"
หลี่หมิงหลงหันกลับมาใบหน้าแดงก่ำก่อนจะตอบโต้
"ฟางซือหมิง ข้าคงไม่โชคร้ายได้สตรีเช่นเจ้าเป็นภรรยาหรอก หากมิใช่หลานสาวอาจารย์ฟางชาตินี้จะได้ออกเรือนหรือไม่ก็ยังไม่รู้"
"เหอะ ห่วงตัวเองเถอะยี่สิบหกแล้วยังหาเมียไม่ได้ไม่รู้ว่าเจ้าบกพร่องอะไรหรือเปล่า"
"ฟาง ซือ หมิง เจ้าพูดอีกทีสิ"
ฟางซือหมิงไม่ตอบปิดประตูร้านใส่หน้าหลี่หมิงหลงทันที คนตัวสูงยืนอกกระเพื่อมอยู่กลางถนน สตรีน่าตายนี่กล้าวิจารย์เขา หึได้ยินเสียงคนมาตามจึงสบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หลังร้านมีเสียงเคาะประตูเบาๆเป็นอันรู้กัน ฟางซือหมิงเปิดประตูก็เห็นคนคุ้นเคยเป็นหลินผู่เย่วกับบุรุษอีกสองคนที่รูปงามนักแต่นางไม่รู้จัก
"เย่วเย่ว มาได้อย่างไรแล้วสองคนนี้เป็นใคร"
"ซือหมิงไปคุยข้างในเถอะ คนงานให้ไปข้างนอกก่อน"
ฟางซือหมิงพยักหน้าก่อนจะพาทั้งหมดเข้ามา จางซูฉีจึงแนะนำตัว ส่วนเจียงฟางซินไม่อยากมีปัญหาจึงบอกว่าเป็นเพื่อนของหลินผู่เย่วท่านั้น ฟางซือหมิงที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงกับบทรักอันเร่าร้อนในนิยาย มีภาพประกอบด้วย เลือดกำเดาถึงกับหยดแหมะๆจนหลินผู่เย่วต้องซับจมูกให้
"นี่ๆน้องซูฉีเจ้าเขียนเองหรือ แถมภาพนี้เจ้าก็วาดเองด้วย โอ้โหลายมือเจ้าสวยมากเลยจะขายยังไงว่ามา"
"พี่ไม่มีภาพเล่มละสามตำลึง มีภาพสิบตำลึงกำไรข้าเจ็ดส่วนท่านสามส่วนว่าอย่างไรท่านตกลงไหมวันนี้ข้ามีชุดละห้าสิบเล่มมาให้ท่านก่อนเล่มหนึ่ง เล่มสอง เล่มสาม เป็นตัวอักษรร้อยห้าสิบเล่ม หนังสือภาพเก้าสิบเล่ม"
จางซูฉีคำนวณอย่างไว ฟางซือหมิงตกลงจากนั้นก็ทำสัญญา จางซูฉีให้พวกนางรอก่อนนางจะไปซื้อยาเพื่อไม่ให้ปรากฏตัวมากเกินไปเจียงฟางซินจึงต้องรอที่ร้านหนังสือ
แดนเซียนควันสวีทองลอยขึ้นมายังด้านบนก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหนานกงเยี่ยเทพสงครามที่นั่งรอพระชายาตนอยู่ปากถ้ำ ทันทีที่ดวงจิตเข้าสู่ร่างเขาก็รู้ทันทีว่ามหาเทพถือกำเนิดในแดนมนุษย์แล้วชายาของเขานางกำลังจะออกมาจากการกักตนเพื่อหนีหน้าเขาแล้ว ประตูหินค่อยเลื่อนออกควันสีทองลอยเข้าไปยังด้านในเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของเทพบุปผา ไม่นานชิงเหลียนที่หน้าตาเหมือนกันกับจางซูฉีที่แดนมนุษย์ก็เดินออกมาจากด้านใน นางเห็นสวามียืนรอก็เดินตรงมาหา เทพสงครางกางแขาออกให้ชายารักเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเทพบุปผาซบหน้ากับอกกว้าของเขาพร้อมเอ่ยเบาๆ"ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ที่ผ่านมาหนีหน้าพระองค์ ไร้เหตผลต่อจากนี้จะไม่ทำอีกแล้วเพคะ ตอนอยู่แดนมนุษย์เคยเกือบเสียพระองค์ไปหม่อมฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเช่นไร""ข้าไม่โกรธเจ้า คนงามของข้าๆเตรียมเรือเรียบร้อยแล้ว รอเจ้าออกมาจากด่านเราจะไปล่องเรือกัน เราจะล่องจากตำหนักเหลียนฮวาาจนไปถึงดินแดนประจิม แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกดีหรือไม่ หืม""เพคะ หม่อมฉันตามใจพระองค์ ฝ่าบาทชิงเหลียนรักพระองค์เพคะ""คนงามข้าก็รักเจ้า ชิงเหลียนคนดีของข้า"ทั้งคู่ล่องเรือไปตามสระบั
ท้องฟ้าเหนือแคว้นอู๋มีสายรุ้งปรากฎถึงเก้าสาย อีกยังมีเหล่านกน้อยบินวนรอบตำหนักเหมยฮวา ท้องฟ้าเป้นสีทองก้อนเมฆสีรุ้งงามตานัก จากนั้นด้านในจางซูฉีก็คลอดเด็กกออกมา อุแว้ๆๆๆๆ ไม่นานก็มีเสียงทารกดังออกมา"ท่านอ๋อง ไท่จื่อเป็นซื่อจื่อน้อยเพคะ หน้าตาละม้ายท่านอ๋องยิ่งนักเพียงแต่ว่า" แม่นมพูดค้างไว้จนทุกคนมองหน้ากัน หนานกงเยี่ยร้อนใจจึงเอ่ยถาม"แต่ว่าอะไรแม่นมเฟิ่ง ท่านพูดออกมาให้หมด""แต่ว่าเส้นผมของซื่อจื่อน้อยไม่ได้ดกดำเพคะ แต่เป็นสีเงินยวงราวกับหิมะเลยเพคะ เสียงร้องดังมากแปลว่าแข็งแรงดี""ทันทีที่แม่นมเอ่ยจบหนานกงเยี่ยก็รู้ทันทีว่าหน้าที่ของพวกเขาในแดนมนุษย์นั้นสมบูรณ์แล้ว รอเวลาจิตวิญญาณเขาและนางกลับแดนเซียนเท่านั้นหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูจางซูฉีกับบุตรชายได้ หนานกงเยี่ยเห็นหน้าบุตรชายก็ถอนหายใจ เขาต้องเป็นบิดาของคนที่เอาแต่ใจที่สุดในแดนสวรรค์จริงๆหรือ จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากน้อยๆเบาก่อนจะกระซิบ"ฝ่าบาท อย่างไรก็เป็นบุตรกระหม่อม ดื้อรั้นให้น้อยลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันมีสิทธิ์ตีก้นพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"ก่อนที่ทารกน้อยจะลืมตาทันทีจ้องหน้าคนที่เพิ่งข่มขู่เ
หนานกงเช่อไปแล้วบรรดาสาวนั่งจับกลุ่มคุยกันไม่หยุด แต่ละคนอุ้ยอ้ายจนดูน่ารักไปหมด เฉินลี่จูที่ถูกเยี่ยผิงอันอุ้มลงจากรถม้าเดินมาส่งที่ด้านในตำหนักก็อายหน้าแดง"ท่านอาปล่อยข้าลงเดินเองก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้ไกลสักนิด""เมียจ๋า ดูพื้นสิขรุขระขนาดนี้ หากไม่ระวังอาจหกล้มได้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอ๋องทรงคิดเช่นไรถึงได้ปูหินให้มีร่องห่างกัน พื้นไม่เสมอพระชายาก็กำลังตั้งครรภ์ไม่รู้จักระวังเลย"จางซูฉีขำกับความห่วงเมียคลั่งรักเมียของเยี่ยผิงอันหากบอกว่าท่านอาลู่จงได้เมียเด็กก็ไม่ถูกนัก อาลู่อายุสี่สิบ จูชุ่ยชุ่ยอายุย่างสิบแปด แต่เยี่ยผิงอันสี่สิบห้าย่างสี่สิบหก ส่วนเฉินลี่จูอายุสิบหก นางเด็กที่สุดในบรรดาเมียๆของเหล่าบุรุษแห่งวังหลวงเลยล่ะ"ใต้เท้าเยี่ย หากพื้นปูติดๆกันไม่มีร่อง ยามหิมะตก หรือฝนตกพื้นจะลื่น ร่องช่วยให้เวลาเดินไม่ลื่นน่ะ ลี่จูมานั่งกับพี่ก่อน เสี่ยวหรันกับชิงชิงน่าจะกำลังมา""เพคะพระชายา อ้อพี่ผู่เย่วท่านตั้งครรภ์อีกแล้วหรือเจ้าคะ ใต้เท้าสวีจะขยันเกินไปหรือไม่ คนโตยังไม่ได้ขวบเลย คิกๆๆ"ในบรรดาเด็กรุ่นน้องสามสาวแห่งสกุลจิน สกุลเฉินและสกุลว่านนี่คือแสบที่สุด ต่อยตีกับบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน"พ
เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล โคมไฟเรียงรายห้อยเต็มหน้าร้านหน้าบ้านที่ปลูกติดกันยามลมพัดแกว่งไกวไปมาบรรยากาศในเมืองหลวงมีแต่ความสุข ฮ่องเต้กำเนิดพระธิดาสองพระองค์ อีกทั้งตอนนี้ฮองเฮาก็กำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนแล้วตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ตระกูลหลักหลายตระกูล ตระกูลหลี่ ตระกูลว่าน ตระกูลสวี ตระกูลจิน และตำหนักอ๋องทั้งสอง รวมถึงตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ต่างจัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระชายาไท่จื่อ พระชายาเยี่ยอ๋อง และชินอ๋องรวมถึงบรรดาฮูหยินของใต้เท้าทั้งหลายนั้นตั้งครรภ์พร้อมกันตำหนักบูรพารัชทายาทหนานกงอินกำลังรักเมียสาวอยู่อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เสียวครางแสนหวานของเจียงฟางซินทำให้เขายิ่งรักนางยิ่งขึ้น"ไท่จื่อ เมียไม่ไหวแล้วเพคะพอเถอะ อื้อ ลูกดิ้นอีกแล้วพระองค์ก็ไม่ยอมเลิกสักที ลูกในท้องงอแงแล้วนะเพคะ อร๊าย หนานกงอินเสียวนะ อย่างัดแบบนี้สิคนบ้าข้าตั้งครรภ์อยู่นะ""บอกมาก่อนว่ารักพี่เด็กดีพูดเร็ว ตั้งแต่เข้าหอมาจนถึงวันนี้ยังไม่บอกว่ารักพี่เลย พูดมาคนดี อืม เสียวจริงๆเมียจ๋า อยากให้ผัวเลิกต้องบอกรักผัวก่อน อ่าา""อื้อ รักเพคะ หม่อมฉันเจียงฟางซินรักหนานกงอิน อร๊าย หม่อมฉันเสร็จอีกแล้ว
ขบวนเดินทางมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แวะพักบางจุดเนื่องจากทำผักดองแบะเนื้อรมควันไว้มากมาย อาหารการกินจึงไม่ลำบากมมากนักจางซูฉีไม่ต้องการให้หนานกงเยี่ยไปล่าสัตว์บนเขา ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้คืนนี้พวกเขาแวะพักตรงริมน้ำใกล้เชิงเขา แต่จางซูฉีสั่งเดินทางต่อ หนานกงเช่อจึงไม่เข้าใจเหตุผลของนาง"ฉีเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจที่เจ้าให้พวกเราเดินทางต่อ นี่ยามเซินแล้วกว่าจะสร้างกระโจมอีก ตรงนี้มีลำธารด้วยสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรือ""เสด็จพ่อ หากเป็นแม่น้ำลำธารที่ไม่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกคงไม่ขัดหรอกเพคะ แต่ว่าลำธารนี้ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ มีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด แปลว่านี่เป็นแหล่งน้ำของพวกมัน อีกทั้งยังมีคราบเลือดเป็นจุดๆทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แปลว่ามีสัตว์นักล่าด้วย ในขบวนมีคนท้องถึงเจ็ดคน แม้ว่าเหล่าบุรุษจะมีวรยุทธ แล้วนางกำนัลเหล่านั้นเล่าเพคะพวกนางอ่อนแอ เราเสียเวบาเดินทางอีกหน่อยก็ไม่ต้องเสี่ยง ลูกแค่ห่วงความปลอดภัยของทุกคน"เมื่อจางซูฉีชี้แจงเหตุผลจบ ทุกคนก็ยิ่งรีบเดินให้พ้นลำธารไวขึ้น ไม่นานก็เลยเชิวเขามาห้าลี้และเจอเข้ากับแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เรือเล็กสามารถสัญจรได้ จึงพากันหยุดพักที่ตรงนั้น"ฉีเอ๋อร์เหนื
ผ่านไปเดือนกว่ารถม้าที่สั่งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนี้กำลังฝึกม้าที่จะนำมาใช้กับรถม้าอยู่ ใช้เวลาฝึกนานประมาณเกือบเดือน เพราะบรรดาคนที่นั่งในรถม้าคือเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จินเสี่ยวหรันที่ตอนนี้ไม่ต้องดูแลสวีไค่ไหยุนแล้ว เพราะเขาเริ่มไม่มีอาการแพ้ท้องแบบที่อาเจียนไม่หยุดแล้ว เหลือเพียงแค่ความอยากอาหารเท่านั้นส่วนว่านชิงชิงทุกวันนี้นางกลุ้มใจมาก ว่านอันสุ่ยไม่ยอมห่างนางเลยไม่ยอมให้เดิน ไปไหนก็อุ้มตลอดเวลา บางครั้งเขาก็งอแงเป็นเด็กน้อยห่างนางไม่ถึงชั่วยามก็ตามหาอีกแล้ว จนถูกฮ่องเต้เรียกไปต่อว่าหลายครั้งเพราะเสียงานเสียการ"ใต้เท้าว่าน เราว่าท่านรักเมียเกินไปหรือไม่ งานการมีไม่สนใจทำงานอยู่ดีๆหาเมียไม่เจอก็ทิ้งงาน เจ้ามันตาแก่หลงเมียเด็กจริงๆ""ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"ว่านอันสุ่ยเสียงอ่อย แต่ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องเขาหลงเมียจริงๆแต่แค่ไม่อยากยอมรับ"ใต้เท้าว่าน ข้าเองก็รักเมียไม่แพ้ท่าน แต่งานส่วนงานท่านต้องแยกแยะสักหน่อยนะ"หนานกงอินเยาะว่านอันสุ่ย เขาเถียงไม่ได้เพราะหนานกงอินเป็นถึงรัชทายาท ได้แต่บ่นอุบอิบๆเท่านั้น"ไท่จื่อ ทรงหลงพระ