เขายกมือขึ้นห้ามไม่ให้ลูกน้องที่ตามมาด้านหลังเข้ามาใกล้มากเกินไป
“หึ ฉันประมาทเกินไป ลงมือได้เลย” เสี่ยวจิ่วใบหน้าเรียบเฉย เธอไม่สามารถหยิบปืนที่อยู่ในกระเป๋าหลังออกมาใช้ได้ ตอนนี้ได้แต่ยอมรับความตายเท่านั้น
“มันง่ายไป ผมต้องการถามข้อมูลบางอย่างจากคุณ”
“ฉันไม่มีอะไรจะบอก” เสี่ยวจิ่วเสียวสันหลังวูบ เมื่อเสียงในหัวของเธอมันร้องเตือนเรื่องระเบิดเวลา
เธอหันไปมองรอบๆ ตัวอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสายตาของคนในองค์กรมองมาที่เธอ จึงได้รู้ว่าเวลาของเธอหมดแล้ว
เธอไม่คิดว่าในกลุ่มของตำรวจตอนนี้ มีคนขององค์กรเธอแฝงตัวเข้ามาด้วย ก่อนหน้านี้แม้จะรู้ตลอด แต่ครั้งนี้เธอไม่ดีรับการยืนยันจากทางองค์กร
“ถอยออกไป” นี่คือสิ่งเดียวที่เธอจะช่วยเขาไม่ให้ตายไปพร้อมเธอ
ในเมื่อองค์กรไม่ให้ทางถอยกับเธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องดึงเป้าหมายให้ตายตามเธอไปด้วย หวังว่าหลังจากที่เธอตายไป ตำรวจหนุ่มคนนี้จะกวาดล้าง องค์กรที่ชั่วร้ายของเธอไปได้ เพื่อให้เพื่อนที่เหลือของเธอได้ไปใช้ชีวิตเช่นคนอื่นเสียที
“คุณว่าอะไรนะ” เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เสี่ยวจิ่วพูด
“หากไม่อยากตาย ถอยออกไปซะ” เธอเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ามาชะงักนิ่งอย่างไม่แน่ใจ เขายังกังวลว่าเธออาจจะซุกซ่อนอาวุธลับอะไรไว้อีกจึงได้ยอมถอยห่างจากเธอไปอีกสองสามก้าว
ตูม!!! แรงระเบิดทำให้กลุ่มคนที่ขึ้นมาจับกุมเสี่ยวจิ่วตกใจไม่น้อย ยิ่งเห็นร่างของเธอระเบิดหายไปต่อหน้าต่อตา ก็ตกใจทำสิ่งใดไม่ถูก กว่าจะรู้ตัวเสี่ยวจิ่วก็เหลือเพียงกองเลือดให้เห็นแล้ว
“...” ตำรวจหนุ่มเม้มปากแน่น เขาไม่คิดว่าภายในตัวของเธอจะมีระเบิดเวลาอยู่ด้วย ยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะไม่ลากเขาไปตายพร้อมกันอีกด้วย
“อาจิ่ว ตื่นได้แล้ว”
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วอย่างมึนงง ตอนนี้เธอต้องตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง ร่างกายที่ถูกระเบิดเวลาจนเหลือเพียงแค่กองเลือด ทำไมถึงได้เหมือนว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด
หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอฝันไปอีกแล้ว เสี่ยวจิ่วลองขยับแขนขาก็พบว่าร่างกายของเธอยังอยู่ครบ
คงเป็นเสี่ยวซานที่มาปลุกให้เธอไปทำภารกิจอย่างแน่นอน หรือว่าสิ่งที่เธอเห็นคือความฝันที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่!!! ไม่ใช่อย่างแน่นอน ความเจ็บปวดจากลูกปืนที่ได้รับ เธอรู้ดีว่าไม่ใช่ความฝัน
เสี่ยวจิ่วลืมตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่รอบตัวช้าๆ
“ฉันขึ้นสวรรค์เหรอ ไม่ใช่หรอก ฆ่าคนมาเป็นร้อยจะมาขึ้นสวรรค์ได้ไง” เธอหัวเราะให้ตัวเองเบาๆ
เมื่อพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง รอบด้านรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่เสี่ยวซานชอบไปเสียมากกว่า หากไม่ติดที่หญิงสาวตรงหน้าที่เหมือนเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน แต่ต่างกันที่เสื้อผ้าของเธอที่ดำสนิท ส่วนของหญิงสาวคนนั้นอยู่ในชุดโบราณ
“เธอเป็นใคร!!!” เสี่ยวจิ่วคว้านหากระเป๋าเก็บอาวุธของเธอที่มักจะอยู่ข้างกายเสมอ อย่างระวังตัว
“ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า” เธอยิ้มกว้างอย่างยินดีที่ได้พบอีกตัวตนของเธอ
“บ้า!!! ฉันไม่ตลก ที่นี่ที่ไหน ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่” เธอลุกขึ้นยืน มองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ที่นี่เป็นห้วงมิติเวลาของท่านเทพชะตา ที่ยอมให้ข้าใช้สื่อสารกับเจ้า”
“พูดให้ง่ายหน่อย ฉันไม่เข้าใจ”
“เจ้าต้องกลับไปที่ภพเดิม เพื่อแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวจิ่วจะพบงานยากกว่าการฆ่าคนเสียแล้ว เมื่อตัวเธอฟังในสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่เข้าใจ ทั้งยังไม่รู้ว่าต้องกลับไปแก้ไขอะไร
“ไม่กลับ พาฉันไปนรกได้เลย” เรื่องในองค์กรทำให้เธอเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่แล้ว สู้ลงไปชดใช้บาปที่ทำไว้ในนรกยังดีเสียกว่า
“เจ้าไม่สงสารพี่ชายกับท่านแม่รึ” หญิงสาวตรงหน้ามองเสี่ยวจิ่วอย่างอ้อนวอน
“ฉันตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวที่ไหน” เมื่อพูดถึงครอบครัวดวงตาของเสี่ยวจิ่วก็หม่นหมองลงทันที
ความทรงจำแรกคงเป็นตอนที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นก็มีชีวิตอยู่ราวกับเครื่องจักรในองค์กร
“พอแล้วนังหนู หากพูดกันไปมา ข้าว่าอีกเดือนก็คงไม่รู้เรื่อง” เสียงชายชราด้านหลังของหญิงสาวดังขึ้น
เสี่ยวจิ่วหรี่ตามองเขาอย่างระวังตัว เพราะเขาปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัวสักนิด เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงเสียงฝีเท้าที่ได้รับการฝึกอย่างหนักของเสี่ยวซานย่องเบาเดินเข้ามาในห้อง เสี่ยวจิ่วเธอยังรับรู้ได้ ต่างจากของชายชราตรงหน้าที่เธอไม่ได้ยินสักนิดเดียว
“เจ้าค่ะ ท่านเทพชะตา” หญิงสาวย่อกายลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอยู่ด้านข้างอย่างรู้ความ
“เทพชะตา” เสี่ยวจิ่วมองสำรวจชายชราตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ต้องให้ถึงมือข้า” เขาชี้นิ้วมาที่กึ่งกลางหน้าผากของเสี่ยวจิ่ว
แสงสีขาวปรากฏขึ้น พร้อมกับที่เธอทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ความทรงจำที่เธอเห็นยามหลับฝันปรากฏขึ้นมามากกว่าที่เธอฝันถึงกว่ามาก เสี่ยวจิ่วกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดหลุดออกไปได้
ผ่านไปนานเพียงใดเธอก็ไม่รู้ เมื่อความทรงจำที่ไหลวนหยุดลง เสี่ยวจิ่วนอนนิ่งๆ บอกท้องฟ้า ความฝันที่บ้าบอ ที่เธอฝันถึงมาตลอดนับสิบปี เป็นเรื่องของเธอในภพก่อน
หญิงสาวตรงหน้าก็คือจิตวิญญาณอีกเสี้ยวของเธอเช่นกัน
“ใกล้ได้เวลาแล้ว เจ้าก็รีบเตรียมตัวเถิด” ชายชราเอ่ยเร่งเธอ เมื่อเห็นว่ายังนอนนิ่งอยู่ที่พื้นดิน
“ทำไมฉันต้องกลับไป ท่านพาฉันไปนรกได้เลย”
“เหอะ เจ้าไม่สงสารมารดากับพี่ชายเจ้าที่มีชะตาชีวิตเช่นนั้นรึ” เขาร้องถามออกมาอย่างไม่เชื่อหู เพราะไม่เคยเจอวิญญาณที่ดื้อรั้นเช่นเสี่ยวจิ่วมาก่อน
“มะ...ไม่” แววตาของเธอสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกของเธอตอนนี้ช่างตรงข้ามกับคำที่หลุดปากออกไปเหลือเกิน
ยิ่งนึกถึงความรัก ความห่วงใยที่มารดาและพี่ชายในความทรงจำมีให้ เธอก็โหยหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เจ้านี่มัน!!! ดื้อรั้นเหลือเกิน” แต่แววตาของชายชราที่มองมาทางเสี่ยวจิ่ว กับยกยิ้มอย่างพอใจ
ตอนที่นางเป็นศิษย์รักของเขาก็ดื้อรั้นเช่นนี้ ยิ่งเห็นชะตาของนางที่ผิดเพี้ยนเพราะความผิดพลาดของเขา จึงไม่อาจทนมองได้ จำต้องยอมฝืนกฎสวรรค์ส่งนางกลับไปแก้ไขอีกครั้ง
มันผิดพลาดตั้งแต่ชะตาของตู้เหลียนที่เดิมทีนางต้องแต่งให้ผู้อื่น แต่ถูกขีดเขียนให้แต่งเข้ามาเป็นอนุของเซี่ยถงวู่ แต่ไม่อาจที่จะแก้ไขให้เปลี่ยนแปลงได้แล้ว
จึงได้ต้องนำวิญญาณของนางที่เป็นเสี้ยวหนึ่งของเสี่ยวจิ่วกลับไปคืนร่างเดิม เพื่อแก้ไขไม่ให้ชะตาต้องตายด้วยน้ำมือของโจรป่า
“เป็นท่านพี่ทำผิดพลาด ทำไมต้องให้ฉันกลับไปแก้ไข” นางดันตัวขึ้นนั่งแล้วมองเทพชะตาอย่างไม่ยินยอม
“เพ้ย บอกให้ไปก็ต้องไป” เขากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ แม้อยากจะเข้าไปทุบตีก็ไม่กล้า เพราะเลี้ยงดูนางมาดั่งบุตรของตนเอง
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วคิด “ถ้างั้น ฉันก็ต้องได้อะไรติดตัวไปบ้าง” เธอจำได้ว่าเสี่ยวซานที่ชื่นชอบอ่านนิยายในโลกออนไลน์เคยเล่าความวิเศษของมิติที่มีในนิยายให้เธอฟัง
อันอ๋อง ยอมเข้าไปอยู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลู่ฉือตั้งแต่วัยสิบสองหนาว แม้เขาจะมิได้แสดงออกว่าพึงใจในตัวของซูซินมากนัก แต่ก็ลอบหาทางพบนางอยู่เสมอ“หึ อันอ๋องร้ายนัก ข้ารึก็มัวแต่ระวังเจ้าลูกเต่าจวนอื่น” จ้าวลู่ฉือสบถออกอย่างหัวเสียเมื่อเขารู้เรื่องจากหรูอวี้ว่า ทั้งสองเหมือนจะมีใจให้กัน“ท่านพี่ ซินซินนางถึงวัยออกเรือนแล้ว อันอ๋องเองก็อยู่ในสายตาของท่านมาตลอด ท่านยังมิวางใจอีกรึ”“พี่ยังอยากให้ซินซินอยู่กับพี่และเจ้าไปอีกหลายปี”“เหอะ ท่านจะให้นางแก่ตายคาจวนหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจแล้ว หากซินซินนางเลือกอันอ๋องข้าก็ไม่ขัดขวาง ท่านก็ปล่อยวางได้แล้ว” หรูอวี้มองสามีที่ผมเริ่มจะขาว ของนางอย่างมีโทสะนางอยากจะถามเขาเสียเหลือเกินว่าจะต้องรอให้เขาลงหลุมก่อนรึ ถึงจะยอมให้บุตรสาวออกเรือนได้เมื่อคำเด็ดขาดหลุดออกมาจากปากของหรูอวี้ จ้าวลู่ฉือก็ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ พออันอ๋องมาเอ่ยเรื่องทาบทามที่จวน จ้าวลู่ฉือจึงบังคับให้เขาสาบานต่อฟ้าดินว่าจะมีเพียงบุตรสาวของตนเพียงหนึ่งเดียวในตำหนัก“เปิ่นหวางสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงซินซินหนึ่งเดียว และจะไม่ทำให้นางต้องช้ำใจเป็นอันขาด”สามเดือนต
หรูอวี้นางคิดว่า มีเพียงฝาแฝดทั้งสองเป็นบุตรก็เพียงพอแล้ว เพียงเลี้ยงเขาน้องก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอันใดได้ จึงมิได้คิดเรื่องที่จะมีบุตรอีกเลย“ท่านแม่จะมีน้องสาวให้ข้ารึขอรับ” จ้าวหลิงฮุ่ยเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อจ้าวหลิงเทียนก็มองมาทางหรูอวี้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็รู้ว่าเขาอยากจะมีน้องสาวตัวน้อยเช่นเดียวกัน“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” นางลูบหัวบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่“มีน้องชายก็ได้ขอรับ ข้าชอบทั้งหมดที่เป็นน้องของข้า” จ้าวหลิงฮุ่ยฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู“ยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพ” ตลอดทางนับตั้งแต่เดินเข้าจวนมา เขาอดจะสงสัยไม่น้อยที่บ่าวไพร่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ราวกับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเสียอย่างงั้นแต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่อาจจะมีตำแหน่งใดสูงได้มากกว่านี้อีกแล้ว“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถามบ่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่บอกให้เขากลับไปฟังเรื่องราวที่เรือนของฮูหยินเองเสียงพูดคุยหัวเราะของคนในเรือนของหรูอวี้ ทำให้จ้าวลู่ฉือที่เดินทางกลับมาจากค่ายทหารนอกเมืองยืนยิ้มตามไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ของเขา ม
เรื่องนี้ทำให้ตู้เหลี่ยงพอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเขาเองก็เตรียมชื่อไว้ให้เหลนชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวลู่ฉืออยากจะตั้งเองหรือไม่“จ้าวหลิงเทียน จ้าวหลิงฮุ่ย ชอบหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเรียกเหลนชายทั้งสอง พร้อมทั้งมองอย่างรักใคร่จ้าวหลิงเทียนผู้พี่ จ้าวหลิงฮุ่ยผู้น้อง หัวเราะจนเห็นเหงือกของตน สร้างความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนในห้องโถงจนมีรอยยิ้มไปตามๆ กันแต่แล้วความครื้นเครงก็หยุดลง เมื่อพ่อบ้านจ้าว เข้ามาแจ้งเรื่องที่เซี่ยถงวู่มาขอพบตู้เหลี่ยงและตู้เหลียนที่หน้าจวนตู้เหลี่ยงส่งฝาแฝดให้แม่นมพาออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังอย่างมีโทสะ“เดรัจฉาน!!! ยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ”“ท่านตา อย่าได้มีโทสะเจ้าค่ะ หากท่านไม่ต้องการพบหน้าก็เพียงแค่ให้บ่าวหน้าจวนไล่ไปก็เท่านั้น ไยจะต้องทำให้ตนเองขุ่นใจด้วย” หรูอวี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเหลือบมองมารดาก่อนจะพูด ก็เห็นว่านางไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่เซี่ยถงวู่มาขอพบ จึงได้เบาใจลง“เป็นเช่นที่อวี้เออร์นางว่า หากท่านอาจารย์ไม่ต้องการจะพบ ข้าจะออกไปจัดการให้ท่านเองขอรับ”“อืม...ลำบากเจ้าแล้ว” เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตู้เหลี่
“สวรรค์” บ่าวไพร่และเสี่ยวฟ่านที่ได้พบเห็นคุณชายน้อยของตนก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างแปลกใจนี่มันเด็กเพียงคลอดเสียที่ไหน ทั้งสองราวกับเด็กครบเดือนแล้ว ดวงตาที่กวาดมองไปทั่ว ราวกับรู้เรื่องราวและรับรู้สิ่งที่พวกเขาเอ่ยพูดกัน“พาไปให้อวี้เออร์นางดูก่อนเถิด” จ้าวลู่ฉือเขี่ยแก้มบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ที่สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายของหรูอวี้เรียบร้อยแล้ว“ฮูหยินช่างมีบุญนัก แม้แต่กลิ่นน้ำคลอดของนางก็ไม่เหม็นเช่นที่ข้าเคยพบเจอ ดูเหมือนว่าจะคลายกลิ่นดอกบัวเสียด้วยซ้ำ” หมอตำแยเอ่ยพูดคุยถึงเรื่องความน่าอัศจรรย์นี้กันจ้าวลู่ฉือ เห็นหรูอวี้นั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองมาทางประตูก็อมยิ้มมองนาง“เจ้าอยากเห็นลูกใช่หรือไม่” เขารับเด็กทั้งสองคนมาจากป้าจิ้นและเสี่ยวซี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหรูอวี้ที่เตียงหรูอวี้เม้มปากแน่น มองเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าที่แขนของจ้าวลู่ฉือ“ลูกข้า...ช่างตัวเล็กนัก” นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรไม่คิดด้วยว่าในชีวิตนางจะให้กำเนิดเด็กน้อยออกมาได้ หรูอวี้มองเด็กทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นกับนาง จนนางไม่อาจจะอธิบายได้ความรัก ความหวงแหน ห
“อันใดกัน มีเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ด้วยรึ” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสหายรักจะจัดการเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไม่ได้“มีเพียงเรื่องของนางที่ไม่อาจจัดการได้” เขาไม่เคยเอาชนะนางได้เลย นับตั้งแต่ที่พบเจอนางในครั้งแรก“เพ้ย สตรี อย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของสามี เจ้าตามใจนางเกินไปแล้ว”“พูดไป พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัย กระหม่อมกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวลู่ฉือลุกขึ้นจะเดินออกจากวังหลวง“ให้เจิ้นช่วยพูดดีหรือไม่” สตรีในวังนับร้อย เขายังจัดการได้“นางไม่ได้อยู่ให้พระองค์พูด พระองค์จะช่วยได้อย่างไร”“ห๊ะ!!! ถึงกลับหนีไปเลยรึ”จ้าวลู่ฉือส่ายหัวอย่างปลงตก แล้วเดินออกจากห้องตำราของฮ่องเต้กลับจวน หากนางหนีไปเช่นผู้อื่น เขายังตามกลับมาได้ แต่นี่ นางเล่นหายไปในมิติ เขาจะตามนางได้อย่างไรหรูอวี้ที่เก็บน้ำหวานจากดอกบัวจนเบื่อแล้ว นางจึงได้ออกมาด้านนอก พอออกมาถึงก็ถูกจ้าวลู่ฉือที่นั่งรอนางอยู่รวบตัวกอดรัดไว้แน่น“อวี้เออร์ อย่าได้ทำกับข้าเช่นนี้อีก อย่าได้หายไปโดยไม่บอกข้า เรื่องคุณหนูที่มากวนใจเจ้าวันนั้นข้าจัดการให้ตระกูลของพวกนางจับนางแต่งออกไปแล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเจ้าอีกแล้ว” เขาซุกใบหน้าลงก
หรูอวี้ตบไปที่ใบหน้าของคุณหนูหั่วเต็มแรง มีดสั้นถูกวางจ่ออยู่ที่คอของคุณหนูหั่ว หากนางขยับตัวเล็กน้อยคงได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะใช้มารยาเพื่อได้เข้าตระกูลจ้าว แต่ในเมื่อเจ้าปากกล้ากับข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้เสียแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร” หรูอวี้ขยับข้อมือเพียงเล็กน้อย คมมีดก็บาดเข้าคอของนางจนเลือดซึมออกมา“ขะ ข้ากลัวแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขอร้องอย่างลนลาน“อวี้เออร์ ข้าจัดการเอง” จ้าวลู่ฉือเดินเข้ามาจับข้อมือของนางไว้“หึ” นางสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปามีดสั้นไปตรงกลางโต๊ะที่พวกคุณหนูคนอื่นนั่งอยู่ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่สบอารมณ์จะเรียกว่านางหึงหวงเขาเสียจนหน้ามืดก็ได้ที่ลงมือเช่นนั้น แต่คุณหนูหั่วก็ปากดีเสียจนนางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หรูอวี้ไล่ป้าจิ้นกับเสี่ยวซีที่ตามนางมาที่เรือนอย่างเป็นห่วงออกไป ก่อนจะเข้าไปสงบอารมณ์ในมิติของนางจ้าวลู่ฉือยืนมองคุณหนูที่รอพบเขาที่ละคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา“เป็นบิดาของพวกเจ้า หรือตัวพวกเจ้าที่ใจกล้าทาเยือนจวนของข้ากัน” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเหยียบเย็นบางคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็โยนเรื่องราวทั้งหมดไปให้ผู้เป