ตอนนั้นเธอยังหัวเราะอย่างขบขัน มันจะมีก็เพียงแค่ในนิยาย ที่นักเขียนสรรค์สร้างเอาไว้เอาใจนักอ่านก็เท่านั้น
“เหอะ ไม่มี ข้าไม่มี” เทพชะตาถลึงตามองเสี่ยวจิ่วที่คิดจะขอของจากเขา
“งั้นก็ไม่ไป” เธอนอนหลับตาลงอย่างไม่รีบร้อน หากต้องการให้เธอกลับไปก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนจะยอมเสียเปรียบได้ไง
“จะ เจ้า!!! ดื้อรั้นเกินไปแล้ว” เทพชะตาจะส่งเสี่ยวจิ่วไปเลยก็ยังได้ แต่เขาอยากจะพูดคุยกับเธอให้นานเสียหน่อย หลังจากที่ลูกศิษย์ลงมาโลกมนุษย์ตัวเขาก็เหงาปากอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ได้ตอบโต้กับศิษย์รัก
“อืม” เธอส่งเสียงตอบรับออกมา
เซี่ยหรูอวี้มองทั้งสองโต้เถียงกันอย่างชอบใจ นางที่เป็นเสี้ยวจิตวิญญาณย่อมต้องถวิลหาอีกเสี้ยวของนางเช่นกัน
“ได้ ได้ เจ้าอยากได้สิ่งใด” เหตุที่ยอมง่ายดายเพียงนี้ เพราะไม่อาจยื้อเวลาให้ล่วงไปนานมากกว่าตตนี้ได้แล้ว จึงได้แต่เลิกเล่นสนุก ยอมตามใจเสี่ยวจิ่วให้เธอได้ของติดตัวไปบ้าง
เสี่ยวจิ่วลุกขึ้นยืนมองตาเทพชะตา ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ
“ฉันอยากได้มิติแห่งนี้ กับห้องพักในองค์กร” ในนั้นมิทุกสิ่งที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก หรืออาวุธ
“มากเกินไป” เทพชะตาเอ่ยเสียงแข็งออกมา ด้วยอาวุธที่เสี่ยวจิ่วมีครอบครอง สามารถทำให้มิติที่เธอจะไปสั่นสะเทือนได้เลย
เสี่ยวจิ่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างตั้งคำถาม เธอทำท่าจะนั่งกลับไปที่เดิมก็ถูกเสียงของเทพชะตาร้องห้ามไว้เสียก่อน
“ดะ เดี๋ยว!!! ข้ายอมให้เจ้าก็ได้ แต่ว่าอาวุธของเจ้าไม่อาจนำไปได้ทั้งหมด”
“ท่านคิดว่าข้าประกอบปืนกับระเบิดไม่ได้เหรอ” เธอถูกฝึกมาไม่น้อยคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอหรือไง
“เหอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่สิ่งที่เจ้านำไปจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
“เอาติดตัวไปเฉยๆ ไม่เอาออกมาขายหรอกไม่ต้องห่วง” เทพชะตาได้แต่ถลึงตามองเธออย่างไม่พอใจ
“เจ้าห้ามนำออกให้ผู้ใดได้เห็น เข้าใจหรือไม่”
“ถ้าไม่เห็นก็คงนำออกมาได้” เธอพึมพำเบาๆ พร้อมทั้งพยักหน้ารับ
“ข้าได้ยิน” เขาส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเธออย่างจนใจ
เทพชะตาโบกมือเพียงครั้งเดียว บ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาภายในห้วงมิติ
เสี่ยวจิ่วกำลังจะอ้าปากถาม เพราะมันไม่ใช่ห้องพักของเธอ แต่ก็ถูกเขายกมือขึ้นห้ามเสียก่อน
“เข้าไปดูเสียก่อน ค่อยตำหนิข้า” เสี่ยวจิ่วรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปสำรวจบ้านพักทันที
ด้านในไม่ต่างจากห้องพักที่ห้ององค์กรของนางจัดไว้ให้ เพียงแต่ด้านนอกเท่านั้นที่สร้างไว้ตบตาผู้อื่น (แล้วต้องตบตาใคร ในเมื่อไม่มีใครเข้ามานอกจากเธอ)
“เอ๊ะ” เธอเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะภายในห้องทำงานของเธอ จึงหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ตัวละครด้านในมีชื่อบุคคลไม่ต่างจากที่เธอฝันเห็น “เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายเรื่องหนึ่งเหรอ” นางหันไปมองเทพชะตาอย่างไม่เข้าใจ
ด้านในเนื้อหา ยังเขียนบรรยายถึงความร้ายกาจของเซี่ยหรูอวี้ไว้มากมาย ทั้งชะตาชีวิตของนางตามนิยายก็ไม่เหมือนที่ฝันเลยสักนิด เมื่อสุดท้ายแล้วตู้เหลียนกับเซี่ยหรูอวี้ไม่ได้ตกตายด้วยมือโจรป่า แต่ถูกพ่อบ้านเซี่ยพาไปขายที่หอนางโลม ตามคำสั่งของสวีเหมยลี่
ส่วนเซี่ยหยวนถูกหักขาจนกลายเป็นคนพิการ แม้แต่จะลุกขึ้นช่วยมารดาและน้องสาวก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ตายลงข้างถนน โดยไร้คนเหลียวแล
เสี่ยวจิ่วกัดฟันแน่น หากชะตาชีวิตที่เธอต้องไปเจอ ไม่ได้เป็นเช่นความฝัน แต่เป็นไปตามนิยายเธอจะทำเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เธอจะสังหารพวกมันเสียให้หมดก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเทพชะตาถึงความจริง ก็ถูกเขาเอ่ยไล่เสียก่อน
“ไปได้แล้ว” เทพชะตาโบกมืออีกครั้งวิญญาณของเสี่ยวจิ่วและเซี่ยหรูอวี้ก็หายไปจากที่ทั้งสองยืนเมื่อครู่ทันที “เล่นสนุกให้เต็มที่เล่า เจ้าเด็กดื้อ” เทพชะตาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะอันตรธานหายไปจากมิติเช่นกัน
เสียงร้องไห้แผ่วเบาของสตรีที่เสี่ยวจิ่วได้ยินอยู่ข้างหู เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ว่าตอนนี้เธอข้ามมิติมาแล้วใช่หรือไม่
ความรู้สึกที่เสี้ยวจิตวิญญาณของทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เสี่ยวจิ่วในตอนนี้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงแค่ความเย็นชา ไร้ความรู้สึกเช่นเดิมที่เคยเป็นนักฆ่าอีกแล้ว
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาอย่างร้อนใจ พร้อมทั้งเสียงของบุรุษทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“ท่านแม่ อวี้เออร์นางเป็นเช่นใดบ้างขอรับ”
“อาหยวน เจ้ารู้ได้อย่างไร” น้ำเสียงที่ทั้งตกใจ ทั้งยินดีของผู้ที่ถูกเรียกว่ามารดาเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนขอรับ เหตุใดน้องถึงได้ตกน้ำได้เล่าท่านแม่” เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมทั้งจับมือหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนไว้อย่างแผ่วเบา
“สาวใช้ของอวี้เออร์มิได้อยู่ด้วยกันกับนาง มีเพียงสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ นางว่าน้องสาวเจ้าจะแย่งปิ่นของคุณหนูใหญ่ จึงได้พลาดพลั้งตกลงบ่อน้ำ” ตู้เหลียนสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ
สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในคำพูดของสาวใช้ ด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวและน้องสาวของตนเป็นคนเช่นไร นางไม่มีทางไปแย่งของจากเซี่ยหรันเซียนได้แน่นอน
วันนี้ที่จวนตระกูลเซี่ยจัดงานเลี้ยงน้ำชา มีคุณหนูจากจวนตระกูลใหญ่มาเที่ยวเล่นกันไม่น้อย เซี่ยหรูอวี้ที่เป็นเพียงบุตรอนุ นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วนางจะเข้าไปอยู่ภายในงานได้อย่างไร
“รอน้องตื่นขึ้นมาถามให้รู้ความเถิด ท่านแม่ก็อย่าได้เสียใจไปเลย น้องต้องไม่เป็นอันใดมากขอรับ” เซี่ยหยวนเอ่ยปลอบโยนมารดา
สามแม่ลูกมิได้มีชีวิตที่สุขสบายมากนัก แม้มารดาของตนจะเป็นถึงคนโปรดของเซี่ยถงวู่ แต่ด้วยสวีเหมยลี่ฮูหยินเอก ที่เป็นผู้กุมอำนาจในจวน เงินเดือนที่สมควรจะได้รับในทุกเดือนก็มิได้ตกมาถึงมือของทั้งสามคนตามจำนวนที่ควรจะได้
หากตู้เหลียนไม่มีสินเดิมที่ติดตัวมาด้วยจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร แม้แต่ยามที่บุตรทั้งสองเจ็บป่วย เงินส่วนกลางที่ควรจะจ่ายให้ก็ไม่เคยจะได้รับ
เรื่องนี้มิใช่ว่าเซี่ยถงวู่จะไม่รู้ หากเขาสอบถามสวีเหมยลี่เมื่อใด ไม่แคล้วก็จะเกิดเรื่องตามมา ตระกูลสวีที่มีอำนาจมากมายในเมืองหลวง กลับยื่นมือเข้ามายุ่งยากในจวนหลังของผู้อื่นอย่างไม่ละอายใจ
เขาเพียงตำหนิสวีเหมยลี่ไปไม่กี่คำ วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องที่เขาให้ท้ายอนุและบุตรของอนุในจวนก็ถูกชาวเมืองหลวงนินทาเสียแล้ว
ตู้เหลียนแม้จะเป็นถึงบุตรีของอาจารย์ตู้ ที่เป็นถึงอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ด้วยนางถูกผู้เป็นบิดามารดาตัดขาดตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนตระกูลเซี่ย อาจารย์ตู้เมื่อตู้เหลียนแต่งเข้าไปเป็นอนุแล้ว เขาก็พาภรรยาคู่ใจเดินทางกลับเป่ยหานทันที ทำให้นางไม่อาจจะแก้ต่างในเรื่องที่คนเข้าใจผิดกัน
ทั้งนางยังยินยอมที่จะแต่งเข้ามาเป็นเพียงอนุในจวนตระกูลเซี่ยอย่างเต็มใจ จึงไม่มีผู้ใดมองว่านางเป็นสตรีที่ดีมากนัก
นางต้องอยู่เจียมตัวภายในจวน เลี้ยงดูบุตร ปรนนิบัติผู้เป็นสามี ทนยอมให้สวีเหมยลี่กดนางให้อยู่ใต้ฝ่าเท้ามาเสียหลายปี
เสี่ยวจิ่วนอนฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างตัดพ้อ เห็นทีว่าครั้งนี้ที่เซี่ยหรูอวี้เจ็บตัว คงไม่อาจจะหาตัวคนทำมาลงโทษได้อีกตามเคย ทั้งยังต้องแบกรับคำครหาเรื่องที่นางคิดจะแย่งของจากบุตรีฮูหยินเอกไว้อีกด้วย
“ทนได้ไง” นางได้แต่คิดในใจ
อันอ๋อง ยอมเข้าไปอยู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลู่ฉือตั้งแต่วัยสิบสองหนาว แม้เขาจะมิได้แสดงออกว่าพึงใจในตัวของซูซินมากนัก แต่ก็ลอบหาทางพบนางอยู่เสมอ“หึ อันอ๋องร้ายนัก ข้ารึก็มัวแต่ระวังเจ้าลูกเต่าจวนอื่น” จ้าวลู่ฉือสบถออกอย่างหัวเสียเมื่อเขารู้เรื่องจากหรูอวี้ว่า ทั้งสองเหมือนจะมีใจให้กัน“ท่านพี่ ซินซินนางถึงวัยออกเรือนแล้ว อันอ๋องเองก็อยู่ในสายตาของท่านมาตลอด ท่านยังมิวางใจอีกรึ”“พี่ยังอยากให้ซินซินอยู่กับพี่และเจ้าไปอีกหลายปี”“เหอะ ท่านจะให้นางแก่ตายคาจวนหรืออย่างไร ข้าตัดสินใจแล้ว หากซินซินนางเลือกอันอ๋องข้าก็ไม่ขัดขวาง ท่านก็ปล่อยวางได้แล้ว” หรูอวี้มองสามีที่ผมเริ่มจะขาว ของนางอย่างมีโทสะนางอยากจะถามเขาเสียเหลือเกินว่าจะต้องรอให้เขาลงหลุมก่อนรึ ถึงจะยอมให้บุตรสาวออกเรือนได้เมื่อคำเด็ดขาดหลุดออกมาจากปากของหรูอวี้ จ้าวลู่ฉือก็ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ พออันอ๋องมาเอ่ยเรื่องทาบทามที่จวน จ้าวลู่ฉือจึงบังคับให้เขาสาบานต่อฟ้าดินว่าจะมีเพียงบุตรสาวของตนเพียงหนึ่งเดียวในตำหนัก“เปิ่นหวางสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงซินซินหนึ่งเดียว และจะไม่ทำให้นางต้องช้ำใจเป็นอันขาด”สามเดือนต
หรูอวี้นางคิดว่า มีเพียงฝาแฝดทั้งสองเป็นบุตรก็เพียงพอแล้ว เพียงเลี้ยงเขาน้องก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอันใดได้ จึงมิได้คิดเรื่องที่จะมีบุตรอีกเลย“ท่านแม่จะมีน้องสาวให้ข้ารึขอรับ” จ้าวหลิงฮุ่ยเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อจ้าวหลิงเทียนก็มองมาทางหรูอวี้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็รู้ว่าเขาอยากจะมีน้องสาวตัวน้อยเช่นเดียวกัน“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” นางลูบหัวบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่“มีน้องชายก็ได้ขอรับ ข้าชอบทั้งหมดที่เป็นน้องของข้า” จ้าวหลิงฮุ่ยฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู“ยินดีด้วยขอรับท่านแม่ทัพ” ตลอดทางนับตั้งแต่เดินเข้าจวนมา เขาอดจะสงสัยไม่น้อยที่บ่าวไพร่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดี ราวกับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเสียอย่างงั้นแต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่อาจจะมีตำแหน่งใดสูงได้มากกว่านี้อีกแล้ว“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถามบ่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่บอกให้เขากลับไปฟังเรื่องราวที่เรือนของฮูหยินเองเสียงพูดคุยหัวเราะของคนในเรือนของหรูอวี้ ทำให้จ้าวลู่ฉือที่เดินทางกลับมาจากค่ายทหารนอกเมืองยืนยิ้มตามไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ของเขา ม
เรื่องนี้ทำให้ตู้เหลี่ยงพอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตัวเขาเองก็เตรียมชื่อไว้ให้เหลนชายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวลู่ฉืออยากจะตั้งเองหรือไม่“จ้าวหลิงเทียน จ้าวหลิงฮุ่ย ชอบหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเรียกเหลนชายทั้งสอง พร้อมทั้งมองอย่างรักใคร่จ้าวหลิงเทียนผู้พี่ จ้าวหลิงฮุ่ยผู้น้อง หัวเราะจนเห็นเหงือกของตน สร้างความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนในห้องโถงจนมีรอยยิ้มไปตามๆ กันแต่แล้วความครื้นเครงก็หยุดลง เมื่อพ่อบ้านจ้าว เข้ามาแจ้งเรื่องที่เซี่ยถงวู่มาขอพบตู้เหลี่ยงและตู้เหลียนที่หน้าจวนตู้เหลี่ยงส่งฝาแฝดให้แม่นมพาออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังอย่างมีโทสะ“เดรัจฉาน!!! ยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ”“ท่านตา อย่าได้มีโทสะเจ้าค่ะ หากท่านไม่ต้องการพบหน้าก็เพียงแค่ให้บ่าวหน้าจวนไล่ไปก็เท่านั้น ไยจะต้องทำให้ตนเองขุ่นใจด้วย” หรูอวี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเหลือบมองมารดาก่อนจะพูด ก็เห็นว่านางไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่เซี่ยถงวู่มาขอพบ จึงได้เบาใจลง“เป็นเช่นที่อวี้เออร์นางว่า หากท่านอาจารย์ไม่ต้องการจะพบ ข้าจะออกไปจัดการให้ท่านเองขอรับ”“อืม...ลำบากเจ้าแล้ว” เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตู้เหลี่
“สวรรค์” บ่าวไพร่และเสี่ยวฟ่านที่ได้พบเห็นคุณชายน้อยของตนก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างแปลกใจนี่มันเด็กเพียงคลอดเสียที่ไหน ทั้งสองราวกับเด็กครบเดือนแล้ว ดวงตาที่กวาดมองไปทั่ว ราวกับรู้เรื่องราวและรับรู้สิ่งที่พวกเขาเอ่ยพูดกัน“พาไปให้อวี้เออร์นางดูก่อนเถิด” จ้าวลู่ฉือเขี่ยแก้มบุตรชายทั้งสอง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ที่สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายของหรูอวี้เรียบร้อยแล้ว“ฮูหยินช่างมีบุญนัก แม้แต่กลิ่นน้ำคลอดของนางก็ไม่เหม็นเช่นที่ข้าเคยพบเจอ ดูเหมือนว่าจะคลายกลิ่นดอกบัวเสียด้วยซ้ำ” หมอตำแยเอ่ยพูดคุยถึงเรื่องความน่าอัศจรรย์นี้กันจ้าวลู่ฉือ เห็นหรูอวี้นั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองมาทางประตูก็อมยิ้มมองนาง“เจ้าอยากเห็นลูกใช่หรือไม่” เขารับเด็กทั้งสองคนมาจากป้าจิ้นและเสี่ยวซี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหรูอวี้ที่เตียงหรูอวี้เม้มปากแน่น มองเด็กน้อยที่อยู่ในห่อผ้าที่แขนของจ้าวลู่ฉือ“ลูกข้า...ช่างตัวเล็กนัก” นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรไม่คิดด้วยว่าในชีวิตนางจะให้กำเนิดเด็กน้อยออกมาได้ หรูอวี้มองเด็กทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นกับนาง จนนางไม่อาจจะอธิบายได้ความรัก ความหวงแหน ห
“อันใดกัน มีเรื่องที่เจ้าจัดการไม่ได้ด้วยรึ” ฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสหายรักจะจัดการเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไม่ได้“มีเพียงเรื่องของนางที่ไม่อาจจัดการได้” เขาไม่เคยเอาชนะนางได้เลย นับตั้งแต่ที่พบเจอนางในครั้งแรก“เพ้ย สตรี อย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของสามี เจ้าตามใจนางเกินไปแล้ว”“พูดไป พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัย กระหม่อมกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวลู่ฉือลุกขึ้นจะเดินออกจากวังหลวง“ให้เจิ้นช่วยพูดดีหรือไม่” สตรีในวังนับร้อย เขายังจัดการได้“นางไม่ได้อยู่ให้พระองค์พูด พระองค์จะช่วยได้อย่างไร”“ห๊ะ!!! ถึงกลับหนีไปเลยรึ”จ้าวลู่ฉือส่ายหัวอย่างปลงตก แล้วเดินออกจากห้องตำราของฮ่องเต้กลับจวน หากนางหนีไปเช่นผู้อื่น เขายังตามกลับมาได้ แต่นี่ นางเล่นหายไปในมิติ เขาจะตามนางได้อย่างไรหรูอวี้ที่เก็บน้ำหวานจากดอกบัวจนเบื่อแล้ว นางจึงได้ออกมาด้านนอก พอออกมาถึงก็ถูกจ้าวลู่ฉือที่นั่งรอนางอยู่รวบตัวกอดรัดไว้แน่น“อวี้เออร์ อย่าได้ทำกับข้าเช่นนี้อีก อย่าได้หายไปโดยไม่บอกข้า เรื่องคุณหนูที่มากวนใจเจ้าวันนั้นข้าจัดการให้ตระกูลของพวกนางจับนางแต่งออกไปแล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเจ้าอีกแล้ว” เขาซุกใบหน้าลงก
หรูอวี้ตบไปที่ใบหน้าของคุณหนูหั่วเต็มแรง มีดสั้นถูกวางจ่ออยู่ที่คอของคุณหนูหั่ว หากนางขยับตัวเล็กน้อยคงได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะใช้มารยาเพื่อได้เข้าตระกูลจ้าว แต่ในเมื่อเจ้าปากกล้ากับข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้เสียแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร” หรูอวี้ขยับข้อมือเพียงเล็กน้อย คมมีดก็บาดเข้าคอของนางจนเลือดซึมออกมา“ขะ ข้ากลัวแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขอร้องอย่างลนลาน“อวี้เออร์ ข้าจัดการเอง” จ้าวลู่ฉือเดินเข้ามาจับข้อมือของนางไว้“หึ” นางสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปามีดสั้นไปตรงกลางโต๊ะที่พวกคุณหนูคนอื่นนั่งอยู่ แล้วเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่สบอารมณ์จะเรียกว่านางหึงหวงเขาเสียจนหน้ามืดก็ได้ที่ลงมือเช่นนั้น แต่คุณหนูหั่วก็ปากดีเสียจนนางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หรูอวี้ไล่ป้าจิ้นกับเสี่ยวซีที่ตามนางมาที่เรือนอย่างเป็นห่วงออกไป ก่อนจะเข้าไปสงบอารมณ์ในมิติของนางจ้าวลู่ฉือยืนมองคุณหนูที่รอพบเขาที่ละคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา“เป็นบิดาของพวกเจ้า หรือตัวพวกเจ้าที่ใจกล้าทาเยือนจวนของข้ากัน” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเหยียบเย็นบางคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็โยนเรื่องราวทั้งหมดไปให้ผู้เป