ตอนนั้นเธอยังหัวเราะอย่างขบขัน มันจะมีก็เพียงแค่ในนิยาย ที่นักเขียนสรรค์สร้างเอาไว้เอาใจนักอ่านก็เท่านั้น
“เหอะ ไม่มี ข้าไม่มี” เทพชะตาถลึงตามองเสี่ยวจิ่วที่คิดจะขอของจากเขา
“งั้นก็ไม่ไป” เธอนอนหลับตาลงอย่างไม่รีบร้อน หากต้องการให้เธอกลับไปก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนจะยอมเสียเปรียบได้ไง
“จะ เจ้า!!! ดื้อรั้นเกินไปแล้ว” เทพชะตาจะส่งเสี่ยวจิ่วไปเลยก็ยังได้ แต่เขาอยากจะพูดคุยกับเธอให้นานเสียหน่อย หลังจากที่ลูกศิษย์ลงมาโลกมนุษย์ตัวเขาก็เหงาปากอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ได้ตอบโต้กับศิษย์รัก
“อืม” เธอส่งเสียงตอบรับออกมา
เซี่ยหรูอวี้มองทั้งสองโต้เถียงกันอย่างชอบใจ นางที่เป็นเสี้ยวจิตวิญญาณย่อมต้องถวิลหาอีกเสี้ยวของนางเช่นกัน
“ได้ ได้ เจ้าอยากได้สิ่งใด” เหตุที่ยอมง่ายดายเพียงนี้ เพราะไม่อาจยื้อเวลาให้ล่วงไปนานมากกว่าตตนี้ได้แล้ว จึงได้แต่เลิกเล่นสนุก ยอมตามใจเสี่ยวจิ่วให้เธอได้ของติดตัวไปบ้าง
เสี่ยวจิ่วลุกขึ้นยืนมองตาเทพชะตา ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ
“ฉันอยากได้มิติแห่งนี้ กับห้องพักในองค์กร” ในนั้นมิทุกสิ่งที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก หรืออาวุธ
“มากเกินไป” เทพชะตาเอ่ยเสียงแข็งออกมา ด้วยอาวุธที่เสี่ยวจิ่วมีครอบครอง สามารถทำให้มิติที่เธอจะไปสั่นสะเทือนได้เลย
เสี่ยวจิ่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างตั้งคำถาม เธอทำท่าจะนั่งกลับไปที่เดิมก็ถูกเสียงของเทพชะตาร้องห้ามไว้เสียก่อน
“ดะ เดี๋ยว!!! ข้ายอมให้เจ้าก็ได้ แต่ว่าอาวุธของเจ้าไม่อาจนำไปได้ทั้งหมด”
“ท่านคิดว่าข้าประกอบปืนกับระเบิดไม่ได้เหรอ” เธอถูกฝึกมาไม่น้อยคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอหรือไง
“เหอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่สิ่งที่เจ้านำไปจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
“เอาติดตัวไปเฉยๆ ไม่เอาออกมาขายหรอกไม่ต้องห่วง” เทพชะตาได้แต่ถลึงตามองเธออย่างไม่พอใจ
“เจ้าห้ามนำออกให้ผู้ใดได้เห็น เข้าใจหรือไม่”
“ถ้าไม่เห็นก็คงนำออกมาได้” เธอพึมพำเบาๆ พร้อมทั้งพยักหน้ารับ
“ข้าได้ยิน” เขาส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเธออย่างจนใจ
เทพชะตาโบกมือเพียงครั้งเดียว บ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาภายในห้วงมิติ
เสี่ยวจิ่วกำลังจะอ้าปากถาม เพราะมันไม่ใช่ห้องพักของเธอ แต่ก็ถูกเขายกมือขึ้นห้ามเสียก่อน
“เข้าไปดูเสียก่อน ค่อยตำหนิข้า” เสี่ยวจิ่วรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปสำรวจบ้านพักทันที
ด้านในไม่ต่างจากห้องพักที่ห้ององค์กรของนางจัดไว้ให้ เพียงแต่ด้านนอกเท่านั้นที่สร้างไว้ตบตาผู้อื่น (แล้วต้องตบตาใคร ในเมื่อไม่มีใครเข้ามานอกจากเธอ)
“เอ๊ะ” เธอเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะภายในห้องทำงานของเธอ จึงหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ตัวละครด้านในมีชื่อบุคคลไม่ต่างจากที่เธอฝันเห็น “เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายเรื่องหนึ่งเหรอ” นางหันไปมองเทพชะตาอย่างไม่เข้าใจ
ด้านในเนื้อหา ยังเขียนบรรยายถึงความร้ายกาจของเซี่ยหรูอวี้ไว้มากมาย ทั้งชะตาชีวิตของนางตามนิยายก็ไม่เหมือนที่ฝันเลยสักนิด เมื่อสุดท้ายแล้วตู้เหลียนกับเซี่ยหรูอวี้ไม่ได้ตกตายด้วยมือโจรป่า แต่ถูกพ่อบ้านเซี่ยพาไปขายที่หอนางโลม ตามคำสั่งของสวีเหมยลี่
ส่วนเซี่ยหยวนถูกหักขาจนกลายเป็นคนพิการ แม้แต่จะลุกขึ้นช่วยมารดาและน้องสาวก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ตายลงข้างถนน โดยไร้คนเหลียวแล
เสี่ยวจิ่วกัดฟันแน่น หากชะตาชีวิตที่เธอต้องไปเจอ ไม่ได้เป็นเช่นความฝัน แต่เป็นไปตามนิยายเธอจะทำเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เธอจะสังหารพวกมันเสียให้หมดก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเทพชะตาถึงความจริง ก็ถูกเขาเอ่ยไล่เสียก่อน
“ไปได้แล้ว” เทพชะตาโบกมืออีกครั้งวิญญาณของเสี่ยวจิ่วและเซี่ยหรูอวี้ก็หายไปจากที่ทั้งสองยืนเมื่อครู่ทันที “เล่นสนุกให้เต็มที่เล่า เจ้าเด็กดื้อ” เทพชะตาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะอันตรธานหายไปจากมิติเช่นกัน
เสียงร้องไห้แผ่วเบาของสตรีที่เสี่ยวจิ่วได้ยินอยู่ข้างหู เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ว่าตอนนี้เธอข้ามมิติมาแล้วใช่หรือไม่
ความรู้สึกที่เสี้ยวจิตวิญญาณของทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เสี่ยวจิ่วในตอนนี้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงแค่ความเย็นชา ไร้ความรู้สึกเช่นเดิมที่เคยเป็นนักฆ่าอีกแล้ว
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาอย่างร้อนใจ พร้อมทั้งเสียงของบุรุษทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“ท่านแม่ อวี้เออร์นางเป็นเช่นใดบ้างขอรับ”
“อาหยวน เจ้ารู้ได้อย่างไร” น้ำเสียงที่ทั้งตกใจ ทั้งยินดีของผู้ที่ถูกเรียกว่ามารดาเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนขอรับ เหตุใดน้องถึงได้ตกน้ำได้เล่าท่านแม่” เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมทั้งจับมือหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนไว้อย่างแผ่วเบา
“สาวใช้ของอวี้เออร์มิได้อยู่ด้วยกันกับนาง มีเพียงสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ นางว่าน้องสาวเจ้าจะแย่งปิ่นของคุณหนูใหญ่ จึงได้พลาดพลั้งตกลงบ่อน้ำ” ตู้เหลียนสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ
สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในคำพูดของสาวใช้ ด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวและน้องสาวของตนเป็นคนเช่นไร นางไม่มีทางไปแย่งของจากเซี่ยหรันเซียนได้แน่นอน
วันนี้ที่จวนตระกูลเซี่ยจัดงานเลี้ยงน้ำชา มีคุณหนูจากจวนตระกูลใหญ่มาเที่ยวเล่นกันไม่น้อย เซี่ยหรูอวี้ที่เป็นเพียงบุตรอนุ นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วนางจะเข้าไปอยู่ภายในงานได้อย่างไร
“รอน้องตื่นขึ้นมาถามให้รู้ความเถิด ท่านแม่ก็อย่าได้เสียใจไปเลย น้องต้องไม่เป็นอันใดมากขอรับ” เซี่ยหยวนเอ่ยปลอบโยนมารดา
สามแม่ลูกมิได้มีชีวิตที่สุขสบายมากนัก แม้มารดาของตนจะเป็นถึงคนโปรดของเซี่ยถงวู่ แต่ด้วยสวีเหมยลี่ฮูหยินเอก ที่เป็นผู้กุมอำนาจในจวน เงินเดือนที่สมควรจะได้รับในทุกเดือนก็มิได้ตกมาถึงมือของทั้งสามคนตามจำนวนที่ควรจะได้
หากตู้เหลียนไม่มีสินเดิมที่ติดตัวมาด้วยจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร แม้แต่ยามที่บุตรทั้งสองเจ็บป่วย เงินส่วนกลางที่ควรจะจ่ายให้ก็ไม่เคยจะได้รับ
เรื่องนี้มิใช่ว่าเซี่ยถงวู่จะไม่รู้ หากเขาสอบถามสวีเหมยลี่เมื่อใด ไม่แคล้วก็จะเกิดเรื่องตามมา ตระกูลสวีที่มีอำนาจมากมายในเมืองหลวง กลับยื่นมือเข้ามายุ่งยากในจวนหลังของผู้อื่นอย่างไม่ละอายใจ
เขาเพียงตำหนิสวีเหมยลี่ไปไม่กี่คำ วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องที่เขาให้ท้ายอนุและบุตรของอนุในจวนก็ถูกชาวเมืองหลวงนินทาเสียแล้ว
ตู้เหลียนแม้จะเป็นถึงบุตรีของอาจารย์ตู้ ที่เป็นถึงอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ด้วยนางถูกผู้เป็นบิดามารดาตัดขาดตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนตระกูลเซี่ย อาจารย์ตู้เมื่อตู้เหลียนแต่งเข้าไปเป็นอนุแล้ว เขาก็พาภรรยาคู่ใจเดินทางกลับเป่ยหานทันที ทำให้นางไม่อาจจะแก้ต่างในเรื่องที่คนเข้าใจผิดกัน
ทั้งนางยังยินยอมที่จะแต่งเข้ามาเป็นเพียงอนุในจวนตระกูลเซี่ยอย่างเต็มใจ จึงไม่มีผู้ใดมองว่านางเป็นสตรีที่ดีมากนัก
นางต้องอยู่เจียมตัวภายในจวน เลี้ยงดูบุตร ปรนนิบัติผู้เป็นสามี ทนยอมให้สวีเหมยลี่กดนางให้อยู่ใต้ฝ่าเท้ามาเสียหลายปี
เสี่ยวจิ่วนอนฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างตัดพ้อ เห็นทีว่าครั้งนี้ที่เซี่ยหรูอวี้เจ็บตัว คงไม่อาจจะหาตัวคนทำมาลงโทษได้อีกตามเคย ทั้งยังต้องแบกรับคำครหาเรื่องที่นางคิดจะแย่งของจากบุตรีฮูหยินเอกไว้อีกด้วย
“ทนได้ไง” นางได้แต่คิดในใจ
ตู้หยวนที่ยืนรอน้องสาวอยู่ภายในโรงพักม้า พอเห็นนางเดินเข้ามาจึงได้เอ่ยถามนางเรื่องที่เหตุใดถึงไม่ยอมเข้ามาเสียที“เจ้าทำสิ่งใดอยู่”“ข้าเอ่ยถามทหารเรื่องจะกลับเข้าเมืองเจ้าค่ะ”“เจ้าจะเข้าเมืองไปเพื่ออันใดอวี้เออร์!!!” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยความตกใจด้วยเรื่องภายในจวนตระกูลเซี่ยที่เกิดขึ้น หากพิจารณาดีๆ แล้ว คงไม่แคล้วน้องสาวตัวดีของตนเป็นแน่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายไว้"ข้าจะกลับไปเอาของอย่างไรเล่าท่านพี่”“เจ้าลืมสิ่งใด” ตู้หยวนมองน้องสาวอย่างระแวง“ข้าลืมของไว้ที่จวนตระกูลสวี” นางกระซิบบอกที่ข้างหูของตู้หยวน ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินขึ้นที่พักไปจ้าวลู่ฉือที่เดินมาทันเห็นแผ่นหลังของหรูอวี้เพิ่งจากไป พอเห็นใบหน้าที่ยังตกตะลึงของตู้หยวน เขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา“น้องสาวเจ้าจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่ออันใด”“เอ่อ...นางลืมของขอรับ” เขาจะบอกได้อย่างไรว่าของที่นางลืมไว้ อยู่ที่จวนตระกูลสวี“เตือนนางด้วย ว่าอย่าได้กลับไป มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้” ในยามนี้ภายในเมืองหลวงวุ่นวายไม่น้อยจ้าวลู่ฉือรู้มาจากเจ้าหน้าที่ทางการ จวนตระกูลเซี่ยโดนโจรเข้าปล้นคลังเก็บสมบัติ ทั้งฮูหยินและบุตรสา
คำถามของจ้าวลู่ฉือ ทำให้ตู้เหลียนใบหน้าหมองเศร้าลง นางยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาได้รู้ นับตั้งแต่ออกเรือนก็ไม่เคยได้รับข่าวจากผู้เป็นบิดามารดาอีกเลย แม้จะส่งจดหมายไปขอขมาหลายครั้งแล้วก็ตาม“ยังเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ตอบจดหมายข้าเลยสักครั้ง” นางเอ่ยเสียงเบาราวกับยุงบินผ่านออกมา“เจ้าอย่าได้กังวล ท่านอาจารย์ตู้มิได้โกรธเคืองเจ้าแล้ว”“ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” ตู้เหลียนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวลู่ฉืออย่างสงสัย“ข้าหาเวลาแวะไปดูพวกท่านเสมอ เจ้าควรจะเขียนจดหมายส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวพวกท่านเสียหน่อย”“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจหรูอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักล้วนได้ยินทุกสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน หากมารดานางจะเปิดใจให้ท่านแม่ทัพจ้าวอีกครั้ง นางก็ไม่ขัดข้องด้วยเขาดูจะปักใจกับมารดาของนางไม่น้อย ถึงขั้นยังมิได้แต่งฮูหยินเข้าจวน“เอ่อ...ข้าเสียมารยาทแล้ว นี่บุตรสาวของข้าหรูอวี้ ส่วนนั้นบุตรชายข้าอาหยวนเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนเห็นสายตาของจ้าวลู่ฉือที่มองไปทางหรูอวี้หลายหนจึงได้เอ่ยแนะนำนางขึ้นมา“คารวะท่านแม่ทัพจ้าวเจ้าค่ะ” นางย่อกายเล็กน้อย“อืม ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็เหมือนกับพี่ชายของแม่เจ้า เรีย
ชาวบ้านที่เห็นต่างมองดูด้วยความสงสาร หรูอวี้เห็นเช่นนั้น นางก็ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม“ทะ ท่านดู สินเดิมของท่านแม่เหลือติดตัวไปเพียงน้อยนิด ที่ผ่านมาข้ากับท่านพี่ล้มป่วยก็เป็นท่านแม่ที่นำสินเดิมออกมาใช้จ่าย เงินเดือนที่สมควรได้ก็มิได้เช่นผู้อื่น แล้วพวกข้าจะขโมยของท่านได้อย่างไร”“ท่านตรองดูสักนิดเถิด ข้าถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในจวน เหตุใดเรื่องความร้ายกาจของข้าและท่านแม่ถึงได้ถูกชาวเมืองเอาไปนินทากันจนสนุกปาก ข้ากับท่านแม่เคยร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่”“วันนี้ที่ต้องออกจากจวนตระกูลเซี่ย กลับเข้าตระกูลตู้ ก็ด้วยข้าถูกรังแกจนเกือบจะรักษาชีวิตไม่ได้ ท่านแม่เห็นใจข้า กลัวว่าหากมีครั้งหน้าข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณจึงได้ขอร้องท่านให้ปล่อยพวกเราสามแม่ลูกไป” หรูอวี้ยังเล่นงิ้วของนางไม่เลิก ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น นางก็ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเซี่ยหรูอวี้คนเดิมออกมาทั้งหมดภายในของหรูอวี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่เคยแสดงด้านนี้ออกมาให้ผู้ใดได้เห็น เมื่อลองทำแล้วจึงรู้สึกแปลกใหม่และสนุกไม่น้อยเซี่ยหยวนแทบจะไปดึงน้องสาวกลับขึ้นรถม้า แม้รู้ดีว่านางกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมทั้งทิ้งปัญหาก้อ
หลังจากที่กลับมาจากเรือนของเซี่ยหรันเซียนแล้ว นางก็มิได้กลับเข้าเรือนในทันที หรูอวี้กระโดดออกจากกำแพงจวน มุ่งหน้าไปยังจวนของบรรดาคุณหนูที่มาร่วมงานกันในวันนั้นตามความทรงจำเดิมของนาง มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้ามาช่วยเซี่ยหรันเซียนผลักเซี่ยหรูอวี้ตกน้ำ นางเพียงแค่คิดจะไปเอาคืนให้เซี่ยหรันเซียนเล็กๆ น้อยๆ พอให้หายแค้นใจบ้างจวนทั้งสามแม้มีองครักษ์เช่นจวนตระกูลเซี่ยแต่ก็มิได้มีมากมายเท่า ทำให้นางเข้าไปด้านในได้อย่างสะดวก แต่กว่าจะหาเรือนของคุณหนูแต่ละคนพบก็เล่นเอาเวลาของหรูอวี้ไปไม่น้อยภายในห้องพักล้วนมีสาวใช้เข้ามานอนเฝ้าคุณหนูด้วย หรูอวี้กลัวว่าพวกนางจะตื่นขึ้นมาพบเสียก่อน จึงได้ทำเพียงใส่ยาเสียโฉม ที่นางมีในห้องเก็บของของนาง โรยไปที่ใบหน้าเท่านั้นยาตัวนี้มิได้รุนแรงมากนัก เพียงจะทำให้เกิดสิวหนองบนใบหน้า นางขอให้ห้องทดลองทำขึ้น เพื่อไว้เปลี่ยนรูปลักษณ์ยามที่ออกไปด้านนอก แต่ก็ยังไม่เคยได้ทดลองใช้จึงไม่รู้ว่าจะเกิดสิวหนองเพิ่มมากเพียงใดกว่าจะจัดการคุณหนูทั้งสามเสร็จ หรูอวี้ก็ไม่อาจไปที่จวนตระกูลสวีได้ แต่ละจวนมิได้อยู่ใกล้กัน ร่างกายของนางในร่างนี้ก็เพิ่งจะฟื้นตัว นางยังหมดเรี่ยวแรงที
หรูอวี้นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนของมารดา เพราะนางหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว“คุณหนูท่านตื่นแล้ว รับอาหารเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” หรูอวี้มองสาวใช้ที่ดวงตาบวมเบ่ง เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาอย่างสงสัยแต่เมื่อนางเห็นหีบของที่อยู่ภายในห้องนอนของนาง จึงได้รู้ทันทีว่ามารดาตัดสินใจเช่นใด“ท่านแม่ จะออกเดินทางเมื่อใด” นางยังไม่ได้จัดการเรื่องของนางเลย“พรุ่งนี้เจ้าค่ะ คุณหนูท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่” เสี่ยวซีเอ่ยถามอย่างคาดหวัง แต่นางเป็นบ่าวของตระกูลเซี่ยจึงไม่รู้ว่าจะติดตามเซี่ยหรูอวี้ไปได้หรือไม่“เจ้าอยากไปกับข้ารึ รู้หรือไม่ข้าอาจจะพาเจ้าไปลำบากก็ได้” นางเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย“บ่าวไม่กลัวเจ้าค่ะ บ่าวยินดีติดตามคุณหนู ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากเพียงใด” เสี่ยวซีคุกเข่าลงอย่างอ้อนวอน“ได้ เจ้าพูดเอง ต่อไปหากลำบากเจ้าจะกล่าวโทษข้าไม่ได้เล่า” จากความทรงจำเดิมเสี่ยวซีซื่อสัตย์กับเซี่ยหรูอวี้ไม่น้อย มีเพียงนางที่ออกรับหน้าแทนแทบจะทุกเรื่อง แม้จะถูกเฆี่ยนตีนางก็ไม่ปริปากตำหนิเซี่ยหรูอวี้เลยสักครั้ง“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู” ที่นางร้องไห้จนตาปูดบวม
“ตามที่ท่านเขียนไว้ ข้าขอชีวิตข้าคืน ในเมื่อท่านมิอาจปกป้องข้ากับลูกตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้” เซี่ยถงวู่สะดุ้งตกใจกับแววตาของตู้เหลียนไม่น้อย ครั้งนี้ดูนางมิได้พูดเล่นเสียแล้ว ด้วยนางไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง“อาเหลียน เจ้าใจเย็นก่อนดีหรือไม่” เขาเดินเข้ามาจะจับแขนของนางไว้ แต่ก็ถูกนางเบี่ยงตัวหนี“ไม่ ข้าเกือบเสียอวี้เออร์ไปแล้ว!!! ผู้ใดจะบอกได้ว่าครั้งหน้านางจะยังอยู่เป็นบุตรของข้าได้อีกหรือไม่” นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง พร้อมทั้งร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจแม้จะรักผู้เป็นสามีมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเท่ากับความรักที่มีให้กับบุตรไปได้ หากนางต้องเลือกเสียใครไป ขอเลือกเสียผู้เป็นสามีเสียยังจะดีกว่า“แต่อวี้เออร์ก็ปลอดภัยแล้วมิใช่รึ” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทุกครั้งนางจะยอมอยู่เงียบๆ แต่เหตุใดครั้งนี้ถึงได้คิดจะพาบุตรออกจากตระกูลเขาไปได้“ท่านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มเยาะความโง่เขลาของตนที่เลือกบุรุษเช่นเซี่ยถงวู่“เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นที่หน้าประตูห้องโถงเรือนของตู้เหลียน เป็นสวีเหมยลี่ที่รู้เรื่องว่าทั้งสองคนมีปากเสียงกันจากบ่าวก