เสี่ยวจิ่วสลัดเรื่องความฝันเมื่อครู่ของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทำภารกิจที่ได้รับมาเมื่อวานนี้จากองค์กร
คนที่เธอต้องไปจัดการลงมือปลิดชีพในครั้งนี้ เป็นถึงนายตำรวจใหญ่ ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องคดีความของนักการเมือง เธอรู้ข้อมูลมาว่าเขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่ง แต่มีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
“น่าเสียดาย” เธอโยนเอกสารประวัติในมือทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปจัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ปลิดชีพเขาในครั้งนี้
ความเห็นใจมีเพียงให้หน่อยนิดเท่านั้นสำหรับเธอ คนที่เสี่ยวจิ่วฆ่ามาไม่น้อยกว่าร้อยชีวิตแล้ว เธอจะมาเห็นใจเขามากมายได้อย่างไร สายตาของเสี่ยวจิ่วมีแต่ความเฉยชาเช่นเดียวกับหัวใจของเธอที่มองคนอื่นเป็นเพียงมดปลวก
ตั้งแต่ที่จำความได้ เธอก็ถูกฝึกมาอย่างหนัก ความรู้สึกที่ได้เล่นสนุกเช่นเด็กในวัยเดียวกัน เธอลืมไปนานแล้ว
งานเล็กที่เธอได้รับให้ฆ่าคน ตั้งแต่เมื่อสิบขวบเห็นจะได้ เธอยังจำความรู้สึกจับมีดสั้นพุ่งเข้าไปฆ่าคนได้ดี หากเธอไม่ฆ่าเขา ก็ต้องเป็นเธอที่ตายในวันนั้น
ทางองค์กรปล่อยให้เด็กที่ถูกฝึกมาด้วยกันสังหารกันอย่างเลือดเย็น แล้วเหลือผู้รอดชีวิตไว้เพียงห้าคนเท่านั้นจากสามสิบกว่าคน เพื่อต้องการคัดเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดไว้ใช้งาน
หลังจากการทดสอบจบสิ้นลง เสี่ยวจิ่วต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บนานถึงสามเดือน หมอขององค์กรที่รักษาเธอ ในตอนแรกเขายังไม่เชื่อว่าเธอจะรอดมาได้ แต่อาจจะเป็นเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ในโชคชะตา ทำให้เธออยู่รอดมาจนทุกวันนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือให้องค์กรใช้งาน
ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเป็นนักฆ่า แต่เพราะไม่มีหนทางให้ถอยหนีต่างหาก ภายในร่างกายเธอถูกฝังชิปติดตาม และระเบิดเวลาที่ติดตั้งจากองค์กรอีกด้วย
เรื่องนี้เธอรู้ตอนอายุได้สิบสอง เมื่อหนึ่งในเด็กฝึกต้องการที่จะหนีออกจากองค์กร เพื่อไปแจ้งความให้เขามาช่วยเหลือคนที่เหลือด้านใน เธอเห็นเพื่อนของเธอถูกองค์กรพากลับตัวมา ก่อนจะซ้อมเสียเกือบตาย
แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคงเป็นตอนที่องค์กรกดปุ่มชิปที่ฝังอยู่ในร่างกายให้ทำงาน แรงระเบิดด้านในที่ถูกฝังไว้ ทำให้ร่างกายของเพื่อนเธอแหลกเหลวจนไม่เหลือสิ่งใดเป็นชิ้น
“ผู้ที่ทรยศต่อองค์กร นี่คือสิ่งที่ผู้ถูกเลือกต้องพบเจอ” เสี่ยวจิ่วมองกองเลือดด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ก่อนจะเดินตามกลุ่มคนกลับเข้าไปฝึกเช่นเดิม
เสี่ยวจิ่วแบกกระเป๋าใบโตที่ด้านในมีปืนพกขนาดต่างๆ ทั้งยังมีดสั้นที่เก็บไว้ที่สายรัดที่ขาอ่อน ข้อเท้า หรือแม้แต่ในร่มผ้าก็ยังมีอาวุธลับ เพื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินมากมาย
“ฉันไม่ต้องไปด้วยใช่ไหม” เสี่ยวซานกัดผลไม้ในมือ แล้วมองเพื่อนสาวของเธออย่างกังวล
เธอไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเตือนเสี่ยวจิ่วหรือไม่ เพราะเมื่อเธอฝันไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็พอจะรู้นิสัยของเพื่อนสาวที่ไม่ค่อยจะเชื่อในเรื่องพวกนี้เท่าไหร่
“เตรียมมื้อใหญ่รอฉันก็พอ” เสี่ยวจิ่วยกยิ้มที่มุมปากเช่นทุกที ก่อนจะโบกมือแล้วเดินหายออกไปจากห้องพัก
“เธอต้องกลับมากินอาหารฝีมือฉันด้วยนะ” เสี่ยวซานวิ่งตามออกมาร้องตะโกนบอก แต่เธอก็ได้ตอบรับเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ เช่นทุกทีกลับมา
ค่าตอบแทนสำหรับงานที่เสี่ยวจิ่วทำ ในแต่ละครั้งไม่น้อยเลย เธอสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงปักกิ่งได้ แต่เธอก็ไม่ทำ เงินที่ได้มาทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นทองแท่งแล้วเก็บไว้ภายในตู้เซฟที่ห้องพักของเธอ
ถึงจะมีวันหยุดให้ได้ไปเที่ยวเล่นบ้าง แต่เสี่ยวจิ่วก็ไม่ค่อยได้เดินทางไปเที่ยวเล่นเช่นเพื่อนคนอื่น เธอเก็บตัวอยู่แต่ในห้องพักที่ทางองค์กรจัดเตรียมไว้ให้
ด้านในมีทุกสิ่งโดยที่เธอไม่ต้องไปแสวงหาจากด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นห้องออกกำลังกาย ห้องครัวที่ครบครัน หรือแม้แต่ห้องหนังสือ เธอเลือกให้ทางองค์กรทำห้องหนังสือ มากกว่าที่จะเลือกห้องคาราโอเกะเช่นเสี่ยวซานเพื่อนของเธอ
ถึงแม้ในตอนนี้จะมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลที่เธออยากรู้ได้มากมายแล้ว แต่เสี่ยวจิ่วก็ยังคิดว่าการอ่านหนังสือ ช่วยให้ใจของเธอสงบมากกว่าอยู่ดี
ยิ่งห้องคลังอาวุธของเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากจะบอกว่าขาดสิ่งใดก็คงเป็นเพียงรถถังเท่านั้น ที่ไม่มีอยู่ด้านใน
เสี่ยวจิ่วขับรถหรูคันงามของเธอไปที่ตึกสรรพสินค้าฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมใจกลางกรุงปักกิ่ง ที่วันนี้จะมีการจัดงานแถลงข่าวเรื่องของนักการเมืองที่พัวพันกับเครือข่ายมาเฟียกลุ่มใหญ่ของประเทศ
เธอมาถึงก่อนเวลาจึงพอที่จะจัดเตรียมการสถานที่และสำรวจตำแหน่งที่เป้าหมายของเธอยืนแถลงข่าว
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เป้าหมายของเธอก็มาถึงหน้าโรงแรม จากมุมที่เธออยู่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน
เสี่ยวจิ่วยกปืนคู่ใจขึ้นประทับบ่า ก่อนจะเล็งไปที่เป้าหมาย เพื่อติดตามเขาไม่ให้คาดสายตา เธอรอจังหวะอย่างใจเย็น นิ้วมือของเธอแตะที่ไกปืนอย่างแผ่วเบา
จากกล้องที่ติดอยู่ที่กระบอกปืนทำให้เห็นใบหน้าของตำรวจหนุ่มอย่างชัดเจน
“จุ๊ๆ น่าเสียดาย” เธอพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อใบหน้าของตำรวจหนุ่มรูปงามไม่ใช่น้อย เสียดายที่เข้ามาวุ่นวายกับคดีนี้
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าถูกเพ่งเล็งจึงได้หันมามองทางที่เสี่ยวจิ่วเธอซ่อนตัวอยู่ สายตาของเขาทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย คิดว่าถูกพบตัวเข้าเสียแล้ว
นิ้วมือที่วางอยู่ที่ไกปืน ถูกเหนี่ยวออกไปโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ ฟิ้ว!!!พลาด...ไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
แต่สำหรับเสี่ยวจิ่วแล้ว ครั้งนี้เรียกได้ว่า ฉิบหาย ได้เลย เธอรีบเล็งเป้าหมายอีกครั้ง ก่อนจะลั่นไกติดๆ กันสามนัด แต่เพราะเป้าหมายรู้ตัวเสียแล้ว จึงไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
เมื่อกลุ่มคนเริ่มจะพุ่งเป้ามาทางเธอ ทำให้เสี่ยวจิ่วไม่มีเวลาจัดการเป้าหมายได้ต่อ เธอเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหลบกระสุนที่สาดมาทางเธอไปด้วย
“อึก!!!” เสี่ยวจิ่วโดนกระสุนปืนเข้าที่แขนของเธอ แต่ไม่มีเวลาให้ตรวจสอบ เธอต้องหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้เสียก่อน
แต่หากทำภารกิจไม่สำเร็จสิ่งที่รอเธออยู่ที่องค์กรคงมีเพียงความตายเช่นกัน เธอยังไม่อาจจะกลับองค์กรได้ในตอนนี้ ทั้งยังไม่สามารถลงไปเอารถที่จอดไว้ในตึกได้อีกด้วย
เสี่ยวจิ่วใช้ผ้าพันที่แขนเพื่อห้ามเลือดอย่างลวกๆ ก่อนจะหาที่ซ่อนตัวภายในตึก เสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังค้นหาตัวเธอ
เธอได้แต่กัดฟันแน่น เพื่อไม่ให้เสียงลมหายใจเล็ดลอดออกไปจนเรียกกลุ่มคนมาทางเธอ
“หึ คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ เสี่ยวจิ่ว นักฆ่าหมายเลขเก้า” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นไม่ไกลจากตัวเธอ
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้รู้ตัวตนของเธอได้อย่างไร ทั้งยังเรียกชื่อ ตำแหน่งหมายเลขของเธอได้อย่างแม่นยำ
การทำงานในครั้งนี้ มีเพียงคนในองค์กรของเธอเท่านั้นที่รู้เรื่อง หากไม่มีสายข่าวในองค์กรคอยแจ้งเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะหลุดออกมาได้อย่างแน่นอน
“ผมเพียงทำตามหน้าที่ คุณคิดจะเอาชีวิตกันเลยเหรอ” ครั้งนี้เสี่ยวจิ่วรู้ได้ทันทีว่าเป็นนายตำรวจหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่าทำไม เขาถึงได้หาตัวเธอได้ง่ายแท้ ระหว่างที่เธอคิดจะหาทางหนีออกไปจากตรงนี้ ตำรวจหนุ่มก็เดินมาหยุดที่หน้าตัวเธอแล้ว
เสี่ยวจิ่วหยิบมีดสั้นที่ข้อเท้าของเธอออกมาปาไปทางเขาโดยไม่ต้องหยุดคิด อาวุธลับที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของเธอถูกนำออกมาใช้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เสียทีที่เป็นถึงนักฆ่าระดับเพชร” ตำรวจหนุ่มดึงมีดสั้นออกจากหัวไหล่ของเขาข้าๆ แล้วถือเล่นไว้ในมืออย่างใจเย็น
ตู้หยวนที่ยืนรอน้องสาวอยู่ภายในโรงพักม้า พอเห็นนางเดินเข้ามาจึงได้เอ่ยถามนางเรื่องที่เหตุใดถึงไม่ยอมเข้ามาเสียที“เจ้าทำสิ่งใดอยู่”“ข้าเอ่ยถามทหารเรื่องจะกลับเข้าเมืองเจ้าค่ะ”“เจ้าจะเข้าเมืองไปเพื่ออันใดอวี้เออร์!!!” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยความตกใจด้วยเรื่องภายในจวนตระกูลเซี่ยที่เกิดขึ้น หากพิจารณาดีๆ แล้ว คงไม่แคล้วน้องสาวตัวดีของตนเป็นแน่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายไว้"ข้าจะกลับไปเอาของอย่างไรเล่าท่านพี่”“เจ้าลืมสิ่งใด” ตู้หยวนมองน้องสาวอย่างระแวง“ข้าลืมของไว้ที่จวนตระกูลสวี” นางกระซิบบอกที่ข้างหูของตู้หยวน ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินขึ้นที่พักไปจ้าวลู่ฉือที่เดินมาทันเห็นแผ่นหลังของหรูอวี้เพิ่งจากไป พอเห็นใบหน้าที่ยังตกตะลึงของตู้หยวน เขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา“น้องสาวเจ้าจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่ออันใด”“เอ่อ...นางลืมของขอรับ” เขาจะบอกได้อย่างไรว่าของที่นางลืมไว้ อยู่ที่จวนตระกูลสวี“เตือนนางด้วย ว่าอย่าได้กลับไป มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้” ในยามนี้ภายในเมืองหลวงวุ่นวายไม่น้อยจ้าวลู่ฉือรู้มาจากเจ้าหน้าที่ทางการ จวนตระกูลเซี่ยโดนโจรเข้าปล้นคลังเก็บสมบัติ ทั้งฮูหยินและบุตรสา
คำถามของจ้าวลู่ฉือ ทำให้ตู้เหลียนใบหน้าหมองเศร้าลง นางยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาได้รู้ นับตั้งแต่ออกเรือนก็ไม่เคยได้รับข่าวจากผู้เป็นบิดามารดาอีกเลย แม้จะส่งจดหมายไปขอขมาหลายครั้งแล้วก็ตาม“ยังเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ตอบจดหมายข้าเลยสักครั้ง” นางเอ่ยเสียงเบาราวกับยุงบินผ่านออกมา“เจ้าอย่าได้กังวล ท่านอาจารย์ตู้มิได้โกรธเคืองเจ้าแล้ว”“ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” ตู้เหลียนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวลู่ฉืออย่างสงสัย“ข้าหาเวลาแวะไปดูพวกท่านเสมอ เจ้าควรจะเขียนจดหมายส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวพวกท่านเสียหน่อย”“ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” นางมองเขาอย่างซาบซึ้งใจหรูอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักล้วนได้ยินทุกสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน หากมารดานางจะเปิดใจให้ท่านแม่ทัพจ้าวอีกครั้ง นางก็ไม่ขัดข้องด้วยเขาดูจะปักใจกับมารดาของนางไม่น้อย ถึงขั้นยังมิได้แต่งฮูหยินเข้าจวน“เอ่อ...ข้าเสียมารยาทแล้ว นี่บุตรสาวของข้าหรูอวี้ ส่วนนั้นบุตรชายข้าอาหยวนเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนเห็นสายตาของจ้าวลู่ฉือที่มองไปทางหรูอวี้หลายหนจึงได้เอ่ยแนะนำนางขึ้นมา“คารวะท่านแม่ทัพจ้าวเจ้าค่ะ” นางย่อกายเล็กน้อย“อืม ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็เหมือนกับพี่ชายของแม่เจ้า เรีย
ชาวบ้านที่เห็นต่างมองดูด้วยความสงสาร หรูอวี้เห็นเช่นนั้น นางก็ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม“ทะ ท่านดู สินเดิมของท่านแม่เหลือติดตัวไปเพียงน้อยนิด ที่ผ่านมาข้ากับท่านพี่ล้มป่วยก็เป็นท่านแม่ที่นำสินเดิมออกมาใช้จ่าย เงินเดือนที่สมควรได้ก็มิได้เช่นผู้อื่น แล้วพวกข้าจะขโมยของท่านได้อย่างไร”“ท่านตรองดูสักนิดเถิด ข้าถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในจวน เหตุใดเรื่องความร้ายกาจของข้าและท่านแม่ถึงได้ถูกชาวเมืองเอาไปนินทากันจนสนุกปาก ข้ากับท่านแม่เคยร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่”“วันนี้ที่ต้องออกจากจวนตระกูลเซี่ย กลับเข้าตระกูลตู้ ก็ด้วยข้าถูกรังแกจนเกือบจะรักษาชีวิตไม่ได้ ท่านแม่เห็นใจข้า กลัวว่าหากมีครั้งหน้าข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณจึงได้ขอร้องท่านให้ปล่อยพวกเราสามแม่ลูกไป” หรูอวี้ยังเล่นงิ้วของนางไม่เลิก ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น นางก็ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเซี่ยหรูอวี้คนเดิมออกมาทั้งหมดภายในของหรูอวี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่เคยแสดงด้านนี้ออกมาให้ผู้ใดได้เห็น เมื่อลองทำแล้วจึงรู้สึกแปลกใหม่และสนุกไม่น้อยเซี่ยหยวนแทบจะไปดึงน้องสาวกลับขึ้นรถม้า แม้รู้ดีว่านางกำลังเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมทั้งทิ้งปัญหาก้อ
หลังจากที่กลับมาจากเรือนของเซี่ยหรันเซียนแล้ว นางก็มิได้กลับเข้าเรือนในทันที หรูอวี้กระโดดออกจากกำแพงจวน มุ่งหน้าไปยังจวนของบรรดาคุณหนูที่มาร่วมงานกันในวันนั้นตามความทรงจำเดิมของนาง มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้ามาช่วยเซี่ยหรันเซียนผลักเซี่ยหรูอวี้ตกน้ำ นางเพียงแค่คิดจะไปเอาคืนให้เซี่ยหรันเซียนเล็กๆ น้อยๆ พอให้หายแค้นใจบ้างจวนทั้งสามแม้มีองครักษ์เช่นจวนตระกูลเซี่ยแต่ก็มิได้มีมากมายเท่า ทำให้นางเข้าไปด้านในได้อย่างสะดวก แต่กว่าจะหาเรือนของคุณหนูแต่ละคนพบก็เล่นเอาเวลาของหรูอวี้ไปไม่น้อยภายในห้องพักล้วนมีสาวใช้เข้ามานอนเฝ้าคุณหนูด้วย หรูอวี้กลัวว่าพวกนางจะตื่นขึ้นมาพบเสียก่อน จึงได้ทำเพียงใส่ยาเสียโฉม ที่นางมีในห้องเก็บของของนาง โรยไปที่ใบหน้าเท่านั้นยาตัวนี้มิได้รุนแรงมากนัก เพียงจะทำให้เกิดสิวหนองบนใบหน้า นางขอให้ห้องทดลองทำขึ้น เพื่อไว้เปลี่ยนรูปลักษณ์ยามที่ออกไปด้านนอก แต่ก็ยังไม่เคยได้ทดลองใช้จึงไม่รู้ว่าจะเกิดสิวหนองเพิ่มมากเพียงใดกว่าจะจัดการคุณหนูทั้งสามเสร็จ หรูอวี้ก็ไม่อาจไปที่จวนตระกูลสวีได้ แต่ละจวนมิได้อยู่ใกล้กัน ร่างกายของนางในร่างนี้ก็เพิ่งจะฟื้นตัว นางยังหมดเรี่ยวแรงที
หรูอวี้นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนของมารดา เพราะนางหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว“คุณหนูท่านตื่นแล้ว รับอาหารเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” หรูอวี้มองสาวใช้ที่ดวงตาบวมเบ่ง เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาอย่างสงสัยแต่เมื่อนางเห็นหีบของที่อยู่ภายในห้องนอนของนาง จึงได้รู้ทันทีว่ามารดาตัดสินใจเช่นใด“ท่านแม่ จะออกเดินทางเมื่อใด” นางยังไม่ได้จัดการเรื่องของนางเลย“พรุ่งนี้เจ้าค่ะ คุณหนูท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่” เสี่ยวซีเอ่ยถามอย่างคาดหวัง แต่นางเป็นบ่าวของตระกูลเซี่ยจึงไม่รู้ว่าจะติดตามเซี่ยหรูอวี้ไปได้หรือไม่“เจ้าอยากไปกับข้ารึ รู้หรือไม่ข้าอาจจะพาเจ้าไปลำบากก็ได้” นางเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย“บ่าวไม่กลัวเจ้าค่ะ บ่าวยินดีติดตามคุณหนู ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากเพียงใด” เสี่ยวซีคุกเข่าลงอย่างอ้อนวอน“ได้ เจ้าพูดเอง ต่อไปหากลำบากเจ้าจะกล่าวโทษข้าไม่ได้เล่า” จากความทรงจำเดิมเสี่ยวซีซื่อสัตย์กับเซี่ยหรูอวี้ไม่น้อย มีเพียงนางที่ออกรับหน้าแทนแทบจะทุกเรื่อง แม้จะถูกเฆี่ยนตีนางก็ไม่ปริปากตำหนิเซี่ยหรูอวี้เลยสักครั้ง“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู” ที่นางร้องไห้จนตาปูดบวม
“ตามที่ท่านเขียนไว้ ข้าขอชีวิตข้าคืน ในเมื่อท่านมิอาจปกป้องข้ากับลูกตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้” เซี่ยถงวู่สะดุ้งตกใจกับแววตาของตู้เหลียนไม่น้อย ครั้งนี้ดูนางมิได้พูดเล่นเสียแล้ว ด้วยนางไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง“อาเหลียน เจ้าใจเย็นก่อนดีหรือไม่” เขาเดินเข้ามาจะจับแขนของนางไว้ แต่ก็ถูกนางเบี่ยงตัวหนี“ไม่ ข้าเกือบเสียอวี้เออร์ไปแล้ว!!! ผู้ใดจะบอกได้ว่าครั้งหน้านางจะยังอยู่เป็นบุตรของข้าได้อีกหรือไม่” นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง พร้อมทั้งร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจแม้จะรักผู้เป็นสามีมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเท่ากับความรักที่มีให้กับบุตรไปได้ หากนางต้องเลือกเสียใครไป ขอเลือกเสียผู้เป็นสามีเสียยังจะดีกว่า“แต่อวี้เออร์ก็ปลอดภัยแล้วมิใช่รึ” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทุกครั้งนางจะยอมอยู่เงียบๆ แต่เหตุใดครั้งนี้ถึงได้คิดจะพาบุตรออกจากตระกูลเขาไปได้“ท่านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มเยาะความโง่เขลาของตนที่เลือกบุรุษเช่นเซี่ยถงวู่“เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นที่หน้าประตูห้องโถงเรือนของตู้เหลียน เป็นสวีเหมยลี่ที่รู้เรื่องว่าทั้งสองคนมีปากเสียงกันจากบ่าวก