เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลย
งานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”
วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน
“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”
“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”
เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว
“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น
เฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำลังจะขึ้นเขาเจ้าค่ะท่านป้า”
“เช่นนั้นก็ระวังด้วยเล่า แต่ว่าตอนนี้อำเภอของเราแทบไม่เหลือของป่าอะไรแล้ว เจ้าจะเข้าไปทำอันใด”
เฉินอิ้งถงรู้ดีว่าอำเภอฉีหลินแร้นแค้นมานาน ทุกคนล้วนอาศัยอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบ “ข้าแค่เบื่อหน่ายเท่านั้นออกไปสูดอากาศดี ๆ เข้าปอดเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
หญิงวัยกลางคนขบขัน “ดูเจ้าพูดเข้า”
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าเมื่อก่อนเฉินอิ้งถงมักถูกสองแม่ลูกรังแกกดหัว ทว่าไม่กี่เดือนมานี้เฉินอิ้งถงกลายเป็นคนพูดเก่ง เข้ากับคนง่าย ทำให้ยามไปที่ใดก็มีแต่ผู้คนรู้จัก
ระหว่างทางพบปะหน้าใครก็ล้วนถูกทักทายไม่ขาดสาย
“อาถงวันนี้ไม่ขายหมั่นโถวหรือ”
“อาถงเจ้าขึ้นเขาระวังด้วยเล่า”
ตลอดเส้นทางเฉินอิ้งถงฉีกยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตาและตอบกลับทุกคนจนคอแห้ง เรียกว่ายิ้มธุรกิจไม่เกินจริง
ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย แท้จริงแล้วที่เฉินอิ้งถงมักขึ้นเขามาเพียงลำพังบ่อยครั้งก็เพื่อหาทางกลับไปยังโลกใบเดิมของตน แม้นานวันเข้าจะรู้สึกว่ามันริบหรี่ก็ตาม
ในเมื่อนางปรากฏกายที่กลางหุบเขาหนิงอัน เช่นนั้นบริเวณนี้จะต้องมีที่มาที่ไปแน่ หญิงสาวเดินวนไปเรื่อย ๆ เพื่อลองหาช่องทางเดินข้ามกาลเวลา กระทั่งบริเวณต้นไผ่ที่ยืนต้นตายจนกลายเป็นสีน้ำตาลเกิดขยับ
เฉินอิ้งถงนิ่งงันเพราะเกรงว่าอาจเป็นสัตว์ร้าย ทว่าเขาหนิงอันแทบไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดแล้ว ตั้งแต่อุทกภัยหนนั้นก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก
“เสียงอะไร ลมก็ไม่มี”
ขาเสลาค่อย ๆ ยื่นไปเบื้องหน้าทีละข้าง หัวใจของหญิงสาวสั่นกระเพื่อมแทบกระดอนออกมาโลดแล่น
“สวัสดีนายท่าน”
“เย้ย…ผีหลอก” เฉินอิ้งถงชักเท้ากลับ
เสียงแหลมเล็กเมื่อครู่ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของตัวประหลาดสุดน่ารัก ดวงตากลมโตเปล่งประกายสีมรกต บนศีรษะประดับปิ่นรูปดอกไม้สะท้อนแสง กระโปรงตัวจิ๋วสีรุ้งยาวคลุมเข่าบานสะพรั่งน่าเอ็นดู
เฉินอิ้งถงติดอ่าง “จะ…เจ้าเป็นตัวอะไร”
เจ้าตัวเล็กเอียงหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่นานก็ยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา จากนั้นร่างจิ๋วก็ลอยเข้ามาใกล้เฉินอิ้งถง หญิงสาวแทบตกใจตายดวงตาเบิกค้างตะลึงลาน
เสียงใสหัวเราะคิกคัก “ข้าก็คือภูติดอกไม้”
“ภูตินี่คล้ายผีหรือเปล่า” เฉินอิ้งถงหวาดระแวง
เจ้าตัวน้อยก็พลันโฉบไปมารอบกายของนาง พลางส่งเสียงขบขันประหนึ่งได้เล่นสนุก “ภูติกับผีจะคล้ายกันได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าคือภูติที่หมายถึงความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง มิใช่ภูตผีเฉกเช่นที่ท่านคิด หากไม่เชื่อท่านก็มองตาข้าสิ ข้าน่ารักใช่หรือไม่”
เจ้าตัวเล็กลอยขยับเข้าไปเบื้องหน้าเฉินอิ้งถง หญิงสาวหลับตาแน่นไม่กล้ากระดิก กระทั่งรู้สึกว่ามีบางอย่างจิ้ม ๆ บริเวณปลายจมูก อกซ้ายที่กระเพื่อมขึ้นลงก็ยิ่งทำงานอย่างหนัก
เฉินอิ้งถงพยายามรวบรวมสติ จากนั้นแง้มเปลือกตาขึ้นทีละฝั่ง มือเรียวยกขึ้นแช่มช้าปลายนิ้วชี้จิ้มแก้มนุ่มฟูไปหนหนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่ผีจริงด้วย เหตุใดจึงมีตัวประหลาดอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ได้”
เจ้าตัวเล็กยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก “ก็ท่านสร้างข้าขึ้นมาอย่างไรเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงชี้นิ้วเข้าหาตน “ข้าน่ะหรือ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า ข้าเป็นคนธรรมดา จะมีพลังพิเศษสร้างภูติตัวจิ๋วอย่างเจ้าได้อย่างไร”
เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า “ไม่ผิดแน่นอนเจ้าค่ะ ทุกวันที่ท่านขึ้นเขาท่านจะช่วยรดน้ำให้ข้า แล้วพูดเสมอว่าหากข้าเป็นคนพูดคุยกับท่านได้ก็คงดี”
เฉินอิ้งถงตาโต ที่แท้เจ้าตัวเล็กก็คือดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยวตายต้นนั้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เจ้าภูติตัวจิ๋วพยักหน้าหงึกหงัก “เดิมทีพลังวิญญาณของข้าอ่อนแอ ทว่าได้ท่านช่วยเหลือจนมีแรงแปลงกายอีกหนข้าซาบซึ้งยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะขอฝากตัวเป็นภูติรับใช้ของท่านตลอดไป”
“หา…” เฉินอิ้งถงกะพริบตาปริบ ๆ “มีอย่างนี้ด้วย”
เจ้าตัวเล็กร่อนลงบนพื้น “เอาล่ะ เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากัน”
“ทำอย่างไร”
เจ้าตัวเล็กยิ้มแฉ่ง ปลายนิ้วชี้จิ้มไปยังหน้าผากนูนเด่นของเฉินอิ้งถงจนเกิดประกายสีรุ้งวูบหนึ่ง รอยบุปผาปรากฏขึ้นกลางหน้าผากไม่นานก็จางหายไป
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงกะพริบตาถี่ หญิงสาวสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ “เจ้าทำอะไรข้า”
“ก็ทำพันธสัญญาอย่างไรเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นข้ารับใช้ของนายท่านแล้ว”
เฉินอิ้งถงยังอึ้งไม่หาย แต่ในเมื่อนางยังหลุดเข้ามาเป็นนางร้ายในซีรีส์ได้ สิ่งอื่นใดก็คงไม่ประหลาดไปมากกว่านี้แล้ว
“เช่นนั้นภูติอย่างเจ้าทำสิ่งใดได้บ้าง”
เจ้าตัวเล็กเอียงคอไปมา “อืม…รักษา เพิ่มพละกำลัง แล้วก็…” ระหว่างขบคิดร่างเล็กก็บินร่อนไปมาดุจผีเสื้อถลาลม จากนั้นก็มาหยุดตรงหน้าเฉินอิ้งถง “ข้าเนรมิตขนมจากบุปผาได้ทุกชนิด”
“เท่านี้รึ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเป็นภูติตัวเล็ก ๆ พลังวิญญาณไม่กล้าแกร่ง แต่ก็พอใช้ประโยชน์ได้นะเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงขบขัน “ข้าก็คิดว่าเจ้าเนรมิตเงินทอง หรือช่วยเปิดประตูมิติให้ได้เสียอีก แต่ไม่เป็นไร เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทำขนมได้ใช่หรือไม่”
ภูติน้อยพยักหน้ารัวเร็ว “เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงหรี่ตาจนแคบ โซนสมองกำลังใคร่ครวญบางอย่าง “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดออกแล้วว่าจะใช้งานเจ้าอย่างไร”
เจ้าภูติน้อยยิ้มกว้าง “จริงหรือเจ้าคะ”
“แต่ก่อนอื่น เจ้าชื่ออะไร”
“ชื่อหรือ…” เจ้าตัวเล็กเอียงคอ ใบหน้าของนางน่ารักจิ้มหลินจนเฉินอิ้งถงยั้งมือไม่อยู่เผลอบีบแก้มนุ่มนิ่มให้เสียเลย
“เจ้าตัวเล็กแก้มนุ่มดุจซาลาเปา ดูท่าเจ้าจะยังไม่มีชื่อ เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่”
ภูติตัวน้อยยิ้มกว้าง พยักหน้ากระตือรือร้น “ดีเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงครุ่นคิด ไม่นานริมฝีปากก็ยกโค้งบางเบา “เจ้าเป็นดอกไม้ เช่นนั้นชื่อ เสี่ยวฮวา ชอบหรือไม่”
เจ้าตัวเล็กยิ้มตาปิด “เสี่ยวฮวาหรือ ข้าชอบมาก”
“แต่เจ้าจะตามข้ากลับอย่างนี้หรือ หากผู้อื่นเห็นเข้า มีหวังตกใจกันหมด”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามีวิธี”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็หายวับประหนึ่งอากาศ เฉินอิ้งถงหันรีหันขวาง
“เสี่ยวฮวา เจ้าอยู่ไหน”
“…”
“เสี่ยวฮวา”
“นายท่านข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
เสียงเล็กร้องเรียกอยู่ไม่ไกล ทว่าเฉินอิ้งถงหาอย่างไรก็หานางไม่พบ
“ไหน ข้าไม่เห็นเจ้าเลย”
“บนนี้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยกมือคลำศีรษะก็พบว่ามีบางอย่างประดับผมอยู่ หญิงสาวหยิบของสิ่งนั้นลงมาก็พบว่าเป็นปิ่นหยกรูปบุปผาลวดลายงดงามแปลกตา “นี่เจ้าหรือ”
“เสี่ยวฮวาเองเจ้าค่ะ”
“อัศจรรย์เกินไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็อยู่บนนี้ดี ๆ เล่า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้เฉินอิ้งถงจึงลงจากเขาด้วยสีหน้าเริงร่า ตลอดเส้นทางทักทายผู้คนไม่หยุดปาก ครั้นกลับถึงเรือนก็ไม่ปริปากคุยกับใคร จากนั้นหญิงสาวก็ปิดประตูเงียบอยู่เพียงลำพัง ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้ผู้ใดก็ห้ามรบกวน
“เสี่ยวฮวา” เสียงใสกระซิบ
ฉับพลันเจ้าภูติน้อยก็ปรากฏกายอีกครั้ง “นายท่านมีสิ่งใดให้เสี่ยวฮวารับใช้หรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้าเจ้าบอกว่าสามารถรักษา และเพิ่มพละกำลัง เช่นนั้นต้องทำอย่างไรหรือ”
เสี่ยวฮวาอมยิ้ม ฝ่ามือเล็กกางออกไม่นานก็ปรากฏลำแสงสีรุ้ง พริบตาขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมกรุ่นก็ลอยวนเหนือฝ่ามือ “ท่านลองกินดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงประหลาดใจ แต่ก็ยอมหยิบขนมเข้าปาก เพียงสัมผัสลงตรงปลายลิ้นก็รู้สึกได้ถึงรสชาติอันหวานละมุน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อยประหนึ่งวิญญาณใกล้หลุดจากร่างปีนขึ้นสรวงสวรรค์
“อื้อฮือ…อร่อยมาก…รสชาติเช่นนี้หากข้าทำขายต้องได้กำไรมหาศาลแน่”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “หากท่านจะขายทำให้รสชาติอร่อยก็พอได้เจ้าค่ะ แต่จะให้ข้าเสริมเรื่องพละกำลังหรือการรักษาเข้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ เพราะหากข้าใช้พลังวิญญาณพร่ำเพรื่อไปจะต้องพักผ่อนยาวหลายวัน เผลอ ๆ อาจเป็นเดือนเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้เอง ขึ้นชื่อว่าพลังก็ต้องมีวันหมดสินะ ถ้างั้นเวลาทำขายแค่เพิ่มรสอร่อยก็พอ แต่ยามนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าอย่างไรไม่รู้สิ”
“ท่านลองขยับตู้หลังนั้นดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงยู่หน้า “ตู้นั่นหนักจะตาย อย่างน้อยก็ต้องช่วยกันยกสองสามคน”
“เอาน่า ท่านเชื่อข้า”
“ก็ได้” เฉินอิ้งถงยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด กระทั่งนางวางเพียงฝ่ามือลงไปเท่านั้นตู้ไม้หลังเก่าก็ขยับไปไกล เฉินอิ้งถงเบิกตากว้างตะลึงลาน
“นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท
“องค์ชาย ทำเช่นนี้ดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกมากนักหรือ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของข้านอกจากท่านพี่ หากเสด็จพ่อทำตามข้อตกลงไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็มิอาจทำตามที่ท่านต้องการได้เช่นเดียวกัน”“แล้วท่านอ๋องจะยินยอมทำตามแผนการหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านพี่และข้าสนิทสนมและรู้ใจกันมากที่สุด สำหรับเจ้าแล้ว ท่านพี่หรือว่าข้าเด็ดเดี่ยวมากกว่ากันล่ะ”เผิงจิ้นเสียนผงะเมื่อเห็นแววตาที่เคยอบอุ่นแปรผันเป็นเย็นยะเยือกน่าเกรงขาม เมื่อใดที่จินชางหลงเผยด้านมืดออกมาผู้ใดก็อย่าหมายขัดขวางความตั้งใจของเขา “แน่นอนว่าทั้งสองพระองค์นิสัยใกล้เคียงกันพ่ะย่ะค่ะ”จินชางหลงยิ้มขันผ่านลำคอ นิสัยของจินเหยียนเข้มงวดเย็นชาจนน่าสะพรึง ผู้คนล้วนโจษจันว่าเขาเป็นอ๋องอำมหิตสังหารศัตรูไม่กะพริบตา ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เคยรู้ว่าน้องชายที่อ่อนแอดูอบอุ่นเช่นเขา นิสัยแท้จริงหนักข้อยิ่งกว่าพี่ชายตนเสียอีก พูดได้ว่าเขาคือจอมวางแผนผู้แสนร้ายกาจณ ตำหนักบรรทมเสิ่นกุ้ยเฟยฮ่องเต้จินข่ายลุกพรวด สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม โลหิตในกายเดือดพล่านเสียจนหน้
เช้าวันถัดมาจินชางหลงก็พาเฉินอิ้งถงกลับ เดิมทีเขาอยากยื้อเวลาอีกสักหน่อย ทว่าสถานการณ์คล้ายจะไม่เหมาะ ดังนั้นการบรรเทาทุกข์ครั้งนี้ต้องเร่งจัดการและกลับไปที่วังหลวงเพื่อเข้าพิธีอภิเษกโดยเร็วขึ้นเขาหนนี้นับว่าไม่เสียเปล่าเพราะเฉินอิ้งถงได้พบกับสมุนไพรชนิดร้อนที่สามารถชะล้างอาการหนาวปวดกระดูกได้ นางจึงคิดวิธีการปรุงเป็นยาบำรุงโดยเลือกผสมเข้ากับธัญพืช นอกจากสามารถช่วยรักษาอาการป่วย ยังสามารถใช้ทดแทนอาหารในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย“พี่หญิงท่านนี่เก่งจริง ๆ ทำเช่นนี้เราก็ไม่ต้องลำบากเรื่องต้มยาและอาหาร” อาจิ้นตาเป็นประกายเฉินอิ้งถงยิ้ม “เจ้าอย่ามาทำเยินยอข้า เรื่องครั้งก่อนอย่าคิดว่าข้าจะลืม”อาจิ้นสะดุ้งพลางยิ้มแหย “พี่หญิงเฉิน ข้าเองก็ลำบากใจ…” อาจิ้นเหลือบซ้ายแลขวา โน้มตัวกระซิบเบา “เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวนะเจ้าคะ หากข้าไม่ทำตามเกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า มือเรียวดีดปลายจมูกอาจิ้นเพื่อหยอกล้อ “นี่แน่ะ เด็กเลี้ยงแกะ พอกันทุกคน หากเป็นบ้านเมืองเดิมของข้าพวกเจ้าคงได้รางวัลตุ๊กตา
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามมีเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสองที่พ่นปะทะความเงียบสงัด ปลายนิ้วเรียวเริ่มขยับทีละน้อย เปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า“อื้อ…เจ็บจัง” เฉินอิ้งถงดันร่างขึ้น ทว่าต้องล้มพังพาบลงไปอีกครั้ง เพราะเรี่ยวแรงที่ถดถอยซ้ำยังถูกแขนแกร่งรัดไว้จนแน่น“องค์ชาย…”จินชางหลงยังไร้สติ เฉินอิ้งถงแหงนมองพลางร้องเรียก น้ำเสียงของนางแหบแห้งระคนร้อนรน“องค์ชายเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง”“…”เมื่อครู่เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้รับบาดเจ็บใดเลย มีเพียงความตกใจที่ทำให้นางสิ้นสติ ทว่าจินชางหลงไม่โชคดีเช่นนั้น เขาพยายามปกป้องนาง ใช้ตัวเองเป็นโล่จนร่างบอบช้ำเฉินอิ้งถงเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งก็รู้สึกใจคอไม่ดี “องค์ชาย องค์ชาย ตอบสิเพคะ”“…”เสียงเล็กสั่นเครือน้ำสีใสเอ่อคลอขึ้นตรงขอบตา นางเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจของเขา แต่มันกลับเต้นเบามาก ๆ จนนางไม่ทันได้ยิน เสื้อผ้าที่สวมก็หนาเสียจนบดบังทุกสิ่ง พยายามแนบหูอยู่นานนางก็ยังสัมผัสไม่ถึง เฉินอิ้งถงใจเสีย สติที่มีขาดผึงเดี๋ยวนั้น“ฮึกฮื่อ…องค์ชาย อย่าทำหม่อมฉันตกใจ ท่านฟื้นสิ ฟื้นขึ้นมา”“…
การบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านแดนเหนือเป็นไปอย่างยากลำบากมาร่วมเดือนแล้ว แม้ว่ามีเสี่ยวฮวาคอยใช้พลังรักษาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้มาก วันดีคืนดีเจ้าภูติน้อยก็หมดแรงหลับไปเสียหลายวัน ส่วนปัจจัยทั้งห้าที่เหอหย่งเซาหอบมาก็ใช้ประทังชีวิตได้อีกไม่นาน สักวันย่อมมีวันหมด“ถงเอ๋อร์ไปพักบ้างเถิด ข้าเห็นเจ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ไม่สบายใจเอาเสียเลย”มือเรียวหยิบรากสมุนไพรใส่ลงในหม้อดินเผา ส่วนอีกด้านก็พัดเพิ่มแรงให้กับเชื้อเพลิง “ท่านพ่อ ข้าไหวเจ้าค่ะ ชาวบ้านล้มป่วยเป็นจำนวนมากเช่นนี้ข้าไม่อาจนิ่งนอนใจได้”“แต่เจ้าต้องต้มยาอีกกี่หม้อ หักโหมอีกกี่วันคนเหล่านั้นจะหาย รักษาได้หนึ่งอีกคนหนึ่งก็จะป่วยขึ้นมาอีก”“เช่นนั้นจะให้ทำเช่นไรเจ้าคะ ปล่อยพวกเขาล้มตายไม่ไยดีหรือ”“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”เหอหย่งเซาผ่อนเสียงเมื่อเห็นว่าเฉินอิ้งถงเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว“ท่านเองก็เหนื่อยมามาก ไปพักเถิดเจ้าค่ะ” เฉินอิ้งถงเลิกสนใจคนตรงหน้าและตั้งตาต้มยายื่นให้ชาวบ้านที่รอรับยาจากตนต่อเหอหย่งเซายืนมองด้วยแววตาสิ้นหวังพลางหมุนกายเดินจากไปเงียบ ๆ“พี่หญิ
ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงที่หมาย ทว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าใดอากาศก็ยิ่งลดต่ำจนเหน็บหนาวเข้ากระดูกเฉินอิ้งถงแหงนมองบุรุษที่นั่งกอดเอวของตนอยู่บนหลังม้าด้วยแววตาเป็นห่วง แม้เสี่ยวฮวาจะบอกว่าเขาหายแล้ว ทว่าท่าทีและสีหน้าของจินชางหลงดูจะไม่เป็นเช่นนั้น “องค์ชายไหวหรือไม่เพคะ”“ไหว เจ้าอย่าห่วงแต่ผู้อื่นจนลืมห่วงตัวเจ้าเอง” จากอ้อมแขนที่กอดเอวคอดเอาไว้ ก็เลื่อนไปจับบังเหียนเบื้องหน้า เสื้อคลุมขนสัตว์ถูกนำมาห่อคนทั้งสองดุจร่างเดียวกัน“องค์ชายปล่อยมือเพคะ มือพระองค์ยังไม่หายดี”“ข้าไม่เป็นไร” จินชางหลงปลดมือขาวเนียนออกแช่มช้าพลางลูบเบา ๆ หวังคลายความเจ็บให้อีกฝ่าย ฝ่ามืออันเนียนนุ่มของหญิงสาวบัดนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งยังเริ่มถลอก“เจ็บหรือไม่”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า “ไม่เพคะ”“โกหกตาใส เจ้าพักเสียบ้าง อีกไม่กี่ลี้ [1] ก็จะถึงแล้ว”“พระองค์นั่นแหละ อย่าดื้อสิเพคะ” เฉินอิ้งถงคิดแย่งบังเหียนกลับ“เจ้าสิที่ดื้อ” จินชางหลงใช้มือหนึ่งฝั่งดึงร่างระหงเข้ามาแนบตัวเฉินอิ้งถงถูกแรงชายหนุ่มลากมาปะทะแผ่นอกกว้างก็ตกใจหน้าตื่น อ