เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลย
งานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”
วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน
“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”
“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”
เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว
“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น
เฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำลังจะขึ้นเขาเจ้าค่ะท่านป้า”
“เช่นนั้นก็ระวังด้วยเล่า แต่ว่าตอนนี้อำเภอของเราแทบไม่เหลือของป่าอะไรแล้ว เจ้าจะเข้าไปทำอันใด”
เฉินอิ้งถงรู้ดีว่าอำเภอฉีหลินแร้นแค้นมานาน ทุกคนล้วนอาศัยอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบ “ข้าแค่เบื่อหน่ายเท่านั้นออกไปสูดอากาศดี ๆ เข้าปอดเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
หญิงวัยกลางคนขบขัน “ดูเจ้าพูดเข้า”
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าเมื่อก่อนเฉินอิ้งถงมักถูกสองแม่ลูกรังแกกดหัว ทว่าไม่กี่เดือนมานี้เฉินอิ้งถงกลายเป็นคนพูดเก่ง เข้ากับคนง่าย ทำให้ยามไปที่ใดก็มีแต่ผู้คนรู้จัก
ระหว่างทางพบปะหน้าใครก็ล้วนถูกทักทายไม่ขาดสาย
“อาถงวันนี้ไม่ขายหมั่นโถวหรือ”
“อาถงเจ้าขึ้นเขาระวังด้วยเล่า”
ตลอดเส้นทางเฉินอิ้งถงฉีกยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตาและตอบกลับทุกคนจนคอแห้ง เรียกว่ายิ้มธุรกิจไม่เกินจริง
ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย แท้จริงแล้วที่เฉินอิ้งถงมักขึ้นเขามาเพียงลำพังบ่อยครั้งก็เพื่อหาทางกลับไปยังโลกใบเดิมของตน แม้นานวันเข้าจะรู้สึกว่ามันริบหรี่ก็ตาม
ในเมื่อนางปรากฏกายที่กลางหุบเขาหนิงอัน เช่นนั้นบริเวณนี้จะต้องมีที่มาที่ไปแน่ หญิงสาวเดินวนไปเรื่อย ๆ เพื่อลองหาช่องทางเดินข้ามกาลเวลา กระทั่งบริเวณต้นไผ่ที่ยืนต้นตายจนกลายเป็นสีน้ำตาลเกิดขยับ
เฉินอิ้งถงนิ่งงันเพราะเกรงว่าอาจเป็นสัตว์ร้าย ทว่าเขาหนิงอันแทบไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดแล้ว ตั้งแต่อุทกภัยหนนั้นก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก
“เสียงอะไร ลมก็ไม่มี”
ขาเสลาค่อย ๆ ยื่นไปเบื้องหน้าทีละข้าง หัวใจของหญิงสาวสั่นกระเพื่อมแทบกระดอนออกมาโลดแล่น
“สวัสดีนายท่าน”
“เย้ย…ผีหลอก” เฉินอิ้งถงชักเท้ากลับ
เสียงแหลมเล็กเมื่อครู่ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของตัวประหลาดสุดน่ารัก ดวงตากลมโตเปล่งประกายสีมรกต บนศีรษะประดับปิ่นรูปดอกไม้สะท้อนแสง กระโปรงตัวจิ๋วสีรุ้งยาวคลุมเข่าบานสะพรั่งน่าเอ็นดู
เฉินอิ้งถงติดอ่าง “จะ…เจ้าเป็นตัวอะไร”
เจ้าตัวเล็กเอียงหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่นานก็ยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา จากนั้นร่างจิ๋วก็ลอยเข้ามาใกล้เฉินอิ้งถง หญิงสาวแทบตกใจตายดวงตาเบิกค้างตะลึงลาน
เสียงใสหัวเราะคิกคัก “ข้าก็คือภูติดอกไม้”
“ภูตินี่คล้ายผีหรือเปล่า” เฉินอิ้งถงหวาดระแวง
เจ้าตัวน้อยก็พลันโฉบไปมารอบกายของนาง พลางส่งเสียงขบขันประหนึ่งได้เล่นสนุก “ภูติกับผีจะคล้ายกันได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าคือภูติที่หมายถึงความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรือง มิใช่ภูตผีเฉกเช่นที่ท่านคิด หากไม่เชื่อท่านก็มองตาข้าสิ ข้าน่ารักใช่หรือไม่”
เจ้าตัวเล็กลอยขยับเข้าไปเบื้องหน้าเฉินอิ้งถง หญิงสาวหลับตาแน่นไม่กล้ากระดิก กระทั่งรู้สึกว่ามีบางอย่างจิ้ม ๆ บริเวณปลายจมูก อกซ้ายที่กระเพื่อมขึ้นลงก็ยิ่งทำงานอย่างหนัก
เฉินอิ้งถงพยายามรวบรวมสติ จากนั้นแง้มเปลือกตาขึ้นทีละฝั่ง มือเรียวยกขึ้นแช่มช้าปลายนิ้วชี้จิ้มแก้มนุ่มฟูไปหนหนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่ผีจริงด้วย เหตุใดจึงมีตัวประหลาดอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ได้”
เจ้าตัวเล็กยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก “ก็ท่านสร้างข้าขึ้นมาอย่างไรเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงชี้นิ้วเข้าหาตน “ข้าน่ะหรือ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า ข้าเป็นคนธรรมดา จะมีพลังพิเศษสร้างภูติตัวจิ๋วอย่างเจ้าได้อย่างไร”
เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า “ไม่ผิดแน่นอนเจ้าค่ะ ทุกวันที่ท่านขึ้นเขาท่านจะช่วยรดน้ำให้ข้า แล้วพูดเสมอว่าหากข้าเป็นคนพูดคุยกับท่านได้ก็คงดี”
เฉินอิ้งถงตาโต ที่แท้เจ้าตัวเล็กก็คือดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยวตายต้นนั้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เจ้าภูติตัวจิ๋วพยักหน้าหงึกหงัก “เดิมทีพลังวิญญาณของข้าอ่อนแอ ทว่าได้ท่านช่วยเหลือจนมีแรงแปลงกายอีกหนข้าซาบซึ้งยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะขอฝากตัวเป็นภูติรับใช้ของท่านตลอดไป”
“หา…” เฉินอิ้งถงกะพริบตาปริบ ๆ “มีอย่างนี้ด้วย”
เจ้าตัวเล็กร่อนลงบนพื้น “เอาล่ะ เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากัน”
“ทำอย่างไร”
เจ้าตัวเล็กยิ้มแฉ่ง ปลายนิ้วชี้จิ้มไปยังหน้าผากนูนเด่นของเฉินอิ้งถงจนเกิดประกายสีรุ้งวูบหนึ่ง รอยบุปผาปรากฏขึ้นกลางหน้าผากไม่นานก็จางหายไป
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงกะพริบตาถี่ หญิงสาวสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ “เจ้าทำอะไรข้า”
“ก็ทำพันธสัญญาอย่างไรเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นข้ารับใช้ของนายท่านแล้ว”
เฉินอิ้งถงยังอึ้งไม่หาย แต่ในเมื่อนางยังหลุดเข้ามาเป็นนางร้ายในซีรีส์ได้ สิ่งอื่นใดก็คงไม่ประหลาดไปมากกว่านี้แล้ว
“เช่นนั้นภูติอย่างเจ้าทำสิ่งใดได้บ้าง”
เจ้าตัวเล็กเอียงคอไปมา “อืม…รักษา เพิ่มพละกำลัง แล้วก็…” ระหว่างขบคิดร่างเล็กก็บินร่อนไปมาดุจผีเสื้อถลาลม จากนั้นก็มาหยุดตรงหน้าเฉินอิ้งถง “ข้าเนรมิตขนมจากบุปผาได้ทุกชนิด”
“เท่านี้รึ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเป็นภูติตัวเล็ก ๆ พลังวิญญาณไม่กล้าแกร่ง แต่ก็พอใช้ประโยชน์ได้นะเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงขบขัน “ข้าก็คิดว่าเจ้าเนรมิตเงินทอง หรือช่วยเปิดประตูมิติให้ได้เสียอีก แต่ไม่เป็นไร เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทำขนมได้ใช่หรือไม่”
ภูติน้อยพยักหน้ารัวเร็ว “เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงหรี่ตาจนแคบ โซนสมองกำลังใคร่ครวญบางอย่าง “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดออกแล้วว่าจะใช้งานเจ้าอย่างไร”
เจ้าภูติน้อยยิ้มกว้าง “จริงหรือเจ้าคะ”
“แต่ก่อนอื่น เจ้าชื่ออะไร”
“ชื่อหรือ…” เจ้าตัวเล็กเอียงคอ ใบหน้าของนางน่ารักจิ้มหลินจนเฉินอิ้งถงยั้งมือไม่อยู่เผลอบีบแก้มนุ่มนิ่มให้เสียเลย
“เจ้าตัวเล็กแก้มนุ่มดุจซาลาเปา ดูท่าเจ้าจะยังไม่มีชื่อ เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่”
ภูติตัวน้อยยิ้มกว้าง พยักหน้ากระตือรือร้น “ดีเจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงครุ่นคิด ไม่นานริมฝีปากก็ยกโค้งบางเบา “เจ้าเป็นดอกไม้ เช่นนั้นชื่อ เสี่ยวฮวา ชอบหรือไม่”
เจ้าตัวเล็กยิ้มตาปิด “เสี่ยวฮวาหรือ ข้าชอบมาก”
“แต่เจ้าจะตามข้ากลับอย่างนี้หรือ หากผู้อื่นเห็นเข้า มีหวังตกใจกันหมด”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามีวิธี”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็หายวับประหนึ่งอากาศ เฉินอิ้งถงหันรีหันขวาง
“เสี่ยวฮวา เจ้าอยู่ไหน”
“…”
“เสี่ยวฮวา”
“นายท่านข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
เสียงเล็กร้องเรียกอยู่ไม่ไกล ทว่าเฉินอิ้งถงหาอย่างไรก็หานางไม่พบ
“ไหน ข้าไม่เห็นเจ้าเลย”
“บนนี้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยกมือคลำศีรษะก็พบว่ามีบางอย่างประดับผมอยู่ หญิงสาวหยิบของสิ่งนั้นลงมาก็พบว่าเป็นปิ่นหยกรูปบุปผาลวดลายงดงามแปลกตา “นี่เจ้าหรือ”
“เสี่ยวฮวาเองเจ้าค่ะ”
“อัศจรรย์เกินไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็อยู่บนนี้ดี ๆ เล่า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้เฉินอิ้งถงจึงลงจากเขาด้วยสีหน้าเริงร่า ตลอดเส้นทางทักทายผู้คนไม่หยุดปาก ครั้นกลับถึงเรือนก็ไม่ปริปากคุยกับใคร จากนั้นหญิงสาวก็ปิดประตูเงียบอยู่เพียงลำพัง ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้ผู้ใดก็ห้ามรบกวน
“เสี่ยวฮวา” เสียงใสกระซิบ
ฉับพลันเจ้าภูติน้อยก็ปรากฏกายอีกครั้ง “นายท่านมีสิ่งใดให้เสี่ยวฮวารับใช้หรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้าเจ้าบอกว่าสามารถรักษา และเพิ่มพละกำลัง เช่นนั้นต้องทำอย่างไรหรือ”
เสี่ยวฮวาอมยิ้ม ฝ่ามือเล็กกางออกไม่นานก็ปรากฏลำแสงสีรุ้ง พริบตาขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมกรุ่นก็ลอยวนเหนือฝ่ามือ “ท่านลองกินดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงประหลาดใจ แต่ก็ยอมหยิบขนมเข้าปาก เพียงสัมผัสลงตรงปลายลิ้นก็รู้สึกได้ถึงรสชาติอันหวานละมุน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อยประหนึ่งวิญญาณใกล้หลุดจากร่างปีนขึ้นสรวงสวรรค์
“อื้อฮือ…อร่อยมาก…รสชาติเช่นนี้หากข้าทำขายต้องได้กำไรมหาศาลแน่”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “หากท่านจะขายทำให้รสชาติอร่อยก็พอได้เจ้าค่ะ แต่จะให้ข้าเสริมเรื่องพละกำลังหรือการรักษาเข้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ เพราะหากข้าใช้พลังวิญญาณพร่ำเพรื่อไปจะต้องพักผ่อนยาวหลายวัน เผลอ ๆ อาจเป็นเดือนเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้เอง ขึ้นชื่อว่าพลังก็ต้องมีวันหมดสินะ ถ้างั้นเวลาทำขายแค่เพิ่มรสอร่อยก็พอ แต่ยามนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าอย่างไรไม่รู้สิ”
“ท่านลองขยับตู้หลังนั้นดูสิเจ้าคะ”
เฉินอิ้งถงยู่หน้า “ตู้นั่นหนักจะตาย อย่างน้อยก็ต้องช่วยกันยกสองสามคน”
“เอาน่า ท่านเชื่อข้า”
“ก็ได้” เฉินอิ้งถงยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด กระทั่งนางวางเพียงฝ่ามือลงไปเท่านั้นตู้ไม้หลังเก่าก็ขยับไปไกล เฉินอิ้งถงเบิกตากว้างตะลึงลาน
“นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”
จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ“ข้าได้ยินแล้ว”เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพ
นัยน์ตาคมเข้มเหลียวมองต้นเสียง “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”“อ้อ” จินชางหลงลดสายตามองสตรีที่นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางจับจ้องเขาแทบไม่วางตาแววตาหวานเชื่อมเช่นนี้เป็นเหตุให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งปล่อยม่านลงด้วยความรวดเร็ว มือถูกย้ายมาวางบนตักพร้อมกับขยำผ้าเนื้อดีจนเกิดรอยยับย่น“องค์ชาย เกิดประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงที่คอยปรนนิบัติองค์ชายห้าจินชางหลงอย่างใกล้ชิดมองสีหน้าแปลกประหลาดของเขาด้วยความเป็นห่วง“เปล่า”ได้ยินเช่นนี้กงกงก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกเสียงจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง“จะทะเลาะกันข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องมาขวางทางข้า หากเกิดเรื่องกับน้องชายข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้าทุกคน”ฝานฟ่านที่กำลังคิดแก้ต่างพลันหมอบกายลงอีกครั้ง “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จผ่านทางนี้ ก็เลย…”นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “…เจ้าก็เลยรังแกสตรีไร้ทางสู้ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ”เฉินอิ้งถงที่แสร้งค้อมศีรษะกายสั่นสะท้านลอบอมยิ้มเหยียนอ๋องผู้นี้แม้จะเป็นพระเอกธงแดงทว่ากลับไม่ไร้ศีลธรรมเสียทีเดียว แน่น
เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขายแต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้นเหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”“ช้าก่อน”“เจ้าคะ”“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริ
เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลยงานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นเฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำล
ปัง!ปัง!ปัง!เสียงฝ่ามือทุบประตูไม้จนแทบหลุดกระเด็น ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจนแสบแก้วหู“นังตัวขี้เกียจ ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด”หญิงสาววัยสิบห้าดีดเด้งร่างขึ้นพลันนั่งเหยียดตรง ผ้าห่มผืนเก่าถูกเลิกออกไปกองตรงเอว เส้นผมสีดำเงาดุจดั่งน้ำหมึกพันกันยุ่งเหยิง“รู้แล้ว ท่านมองท้องฟ้าบ้างหรือไม่นี่มันเพิ่งยามอิ๋น [1] จะเร่งให้ข้าตื่นหาสวรรค์วิมานใดมิทราบ” เสียงใสโต้กลับผู้ที่ยืนเท้าเอวอีกด้านก็ไม่ยอมกัน “นังเด็กปากดี หากไม่เพราะแม่ของเจ้าสำส่อนไม่รักดีจะให้กำเนิดมารร้ายเช่นเจ้าได้อย่างไร”ผัวะ!ประตูที่งับเมื่อครู่ถูกเปิดออกไม่ทันตั้งตัว หญิงร่างท้วมถึงกับเบิกตาค้างตระหนกตื่น เพราะเมื่อครู่นางลงแรงไปกับการเคาะบานประตูอย่างหนัก เป็นเหตุให้ร่างที่กลมดั่งอึ่งอ่างแม่ไข่กลิ้งหลุน ๆ ไปนอนหงายท้องพังพาบที่พื้นเย็นเยียบหญิงสาวยกมือปิดปาก เสียงใสหัวเราะคิกคักด้วยความสาแก่ใจ“เจ้า! นังตัวดี กล้าทำร้ายข้ารึ ข้าจะไปฟ้องลุงของเจ้า”นัยน์ตากลมโตกลอกมองบนไม่แยแส “เชิญท่านขี่ม้าสามศอกไปฟ้องท่านลุงของข้าได้เลย ข้าถูกทำโทษจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จะให้ข้าทำอะไรอีกเล่า คุกเข่าสองชั่วยาม
“เห็นกงกงบอกว่าอาหารพวกนี้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”“เพคะ หม่อมฉันทำเอง รสชาติไม่ถูกปากองค์ชายหรือเพคะ”“แม่นางเฉินเข้าใจผิดแล้ว รสชาติที่เจ้าทำถูกปากข้ามาก แต่เดิมข้าคิดว่าเป็นพ่อครัวของทางโรงเตี๊ยม เสด็จย่าของข้าชื่นชอบการชิมอาหารและขนมหวานเป็นที่สุด เดิมทีหากเสร็จเรื่องข้าคิดจะเชิญพ่อครัวเดินทางไปวังหลวงด้วยกัน แต่ในเมื่อเป็นเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากรบกวน เพียงแต่สูตรอาหารเหล่านี้สามารถขายให้ข้าได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ อาหารที่หม่อมฉันทำไม่มีสูตรตายตัว จึงไม่อาจทำตามพระประสงค์ของท่านได้”กงกงได้ฟังก็หน้าถอดสี “เจ้านี่ช่างเหิมเกริมนัก องค์ชายอุตส่าห์ลดตัวออกปากตรัสกับเจ้า แต่เจ้ากลับ…”“กงกง” จินชางหลงปรามกงกงค้อมศีรษะพลางหลุบเปลือกตาลงหน้าสลดเฉินอิ้งถงยิ้มไปจนถึงดวงตา “ข้าน้อยยังพูดไม่จบ กงกงก็เร่งตัดสินเสียแล้ว”เหยียนอ๋องที่นั่งเงียบมานานพลันเอ่ย “เจ้าช่างลูกไม้เยอะจริงเชียว เรื่องขวางขบวนวันก่อนอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าเจ้าจงใจ”เฉินอิ้งถงไม่ได้ตกใจที่เหยียนอ๋องมองออก นางทราบอยู่แล้วว่าเขาเป็นพระเอกธงแดงที่มองผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง“อย่างไรหม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไม่ละเลยช