เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขาย
แต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา
“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ
“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้น
เหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…
นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่
“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
“ช้าก่อน”
“เจ้าคะ”
“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริมพละกำลังได้ใช่หรือไม่”
“อื้อ”
“เช่นนั้นความเร็วเล่า เจ้าทำได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยิ้มกว้าง “เช่นนั้นเจ้าเอาขนมที่เสริมพละกำลังและความเร็วมาให้ข้า”
จากปิ่นปักผมก็แปรเปลี่ยนเป็นภูติตัวจิ๋ว ปากน้อย ๆ หาวหวอดออกมาพร้อมดวงตากลมโตที่ดูปริ่มปรือ “ท่านจะเอาไปทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าถามมาได้ หากข้าเดินเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับเต่าป่วยหรือ กว่าจะถึงตัวอำเภอได้หอบตายก่อนกระมัง หากข้ากินขนมของเจ้าไปก็จะถึงเร็วขึ้น”
ภูติน้อยเสี่ยวฮวาเบิกตากว้าง ร่างเล็กร่อนไปมาเริงร่า “เช่นนี้เอง”
พริบตาขนมดอกสาลี่ชิ้นพอดีคำก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือน้อย ๆ “นายท่านหลังจากกินแล้วพละกำลังของท่านจะแข็งแกร่งมาก เพียงแต่อยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยาม [1] เท่านั้น…”
ไม่ทันเอ่ยจบ มือเรียวก็คว้าหมับและยัดขนมเข้าปากทันใด “อือ…หวานอร่อยมาก”
“ข้ายังพูดไม่จบเลย ข้าจะบอกว่าการกินเพื่อเพิ่มพละกำลังในหนึ่งวันท่านกินได้ไม่เกินสองครั้ง เพราะหากมากกว่านั้นอาจทำให้ร่างกายของท่านอ่อนเพลียเนื่องจากรับไม่ไหว”
“อ้อ เช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว เราไปกันเถอะ”
พริบตาขาเสลาก็สลับขึ้นลงประหนึ่งลมกรด
“เหวอ…นายท่านรอข้าด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวฮวาร่อนตามไปติด ๆ
ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงที่หมายอย่างน่าอัศจรรย์ เรี่ยวแรงที่มีก็ไม่ถดถอยลงเลย
“โอ้โห เสี่ยวฮวา ขนมของเจ้าสุดยอดเกินไปแล้ว”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “เห็นหรือไม่ ว่าภูติเช่นข้าก็มีประโยชน์”
“รู้แล้ว ๆ เจ้าแปลงกายเป็นปิ่นเร็ว เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะแตกตื่นกันหมด”
“เจ้าค่ะ”
ปิ่นหยกลายบุปผาหลากสีปรากฏขึ้นอีกครั้ง เดิมทีเฉินอิ้งถงเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามอยู่แล้ว กระนั้นเมื่อมีภูตดอกไม้ประดับบนศีรษะกลับยิ่งเสริมความพริ้มเพราขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ดูโดดเด่นและสะดุดตาผู้คนที่ผ่านมาพบเห็น
“แม่นาง ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้าคงเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกกระมัง”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะระหว่างที่หญิงสาวกำลังสาละวนเพื่อตระเตรียมของสำหรับค้าขาย
เฉินอิ้งถงยืดกายเต็มความสูง นัยน์ตาจ้องมองบุรุษวัยใกล้เคียงกันด้วยท่าทีฉงน “คุณชาย ร้านข้ายังไม่เปิด หากท่านอยากซื้อของก็รอข้าอีกครู่เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงเตรียมจัดแจงขนมหลากรูปแบบต่อ และไม่ใส่ใจบุรุษตรงหน้าอีก ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตากะล่อนปลิ้นปล้อน แววตาก็แทะโลมนางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งที่นางเอ่ยปากเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมจากไปไหน เขายืนนิ่งพลางคลี่พัดในมือสะบัดไปมาหน้าตาเฉย เฉินอิ้งถงไม่สนใจท่าทางประหนึ่งนกยูงรำแพนของเขานางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเริ่มบังเกิดโทสะขึ้นมาหน่อยแล้ว ครั้นเห็นมือเรียวยื่นออกมาอีกหน ฝ่ามือหยาบระคายก็คว้าหมับข้อมือเล็กเอาไว้
เฉินอิ้งถงตวัดตามองเข้ม ทว่าเขากลับคลี่ยิ้มยียวนตอบ
“คุณชาย ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ลูกน้องที่ยืนขนาบซ้ายขวาก็ฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างกัน
“แม่นาง ข้าว่าเจ้าไม่ต้องตรากตรำทำงานเช่นนี้หรอก บ้านของข้ามีเงินทองมากมาย เจ้ามาเป็นฮูหยินข้าดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงขึงตามองอย่างนึกรังเกียจ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เริ่มทยอยตั้งแผงขายของต่างเมียงมองอย่างสนใจ แต่ก็หามีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าสอด เหตุเพราะชายหนุ่มที่กำลังก่อเรื่องเป็นถึงลูกเศรษฐีสกุลฝาน เขามักทำตัวเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้เสมอ ยิ่งพบเจอสตรีงดงามอ่อนแอไร้กำลังก็ยิ่งย่ามใจคิดข่มเหงหญิงสาวเหล่านั้นไม่สนถูกผิด
“ข้าบอกให้ปล่อย” เสียงใสกล่าวเย็นเยียบสาดประกายวาววับ
เสียงทุ้มของลูกน้องร่างใหญ่หัวเราะร่วนสวนขึ้นด้วยความสนุก ส่วนตัวก่อเรื่องยังคงยิ้มพรายเจ้าเล่ห์ มิหนำซ้ำมือที่จับแขนของนางไว้ก็เริ่มละลาบละล้วงเลื่อนไล้ไปตามท้องแขนขาวเนียนอย่างถือวิสาสะ
“แขนนุ่มนิ่มดีจริง หน้าตาก็งดงามเพียงนี้อย่าทำบูดบึ้งให้เสียของเลยแม่นางน้อย”
เฉินอิ้งถงสิ้นความอดทน หญิงสาวสะบัดแขนที่ถูกอีกฝ่ายกำลังเอาเปรียบสุดแรง ร่างสูงปลิวไปไกลประหนึ่งลูกหนัง ก้นของเขาหย่อนลงตรงตะกร้าผักเน่าเข้าพอดิบพอดี ผักใบเหี่ยวเฉาที่ลอยกระเด็นขึ้นกลางอากาศร่วงลงตรงกบาลชายหนุ่มเสียงดังแผละ เป็นภาพที่ชวนสะอิดสะเอียนและสุดอับอาย ความหยิ่งยโสของคุณชายจอมกะล่อนหายไปชั่วพริบตา
“นายน้อย!!”
ชายทั้งสองถลาเข้าหาผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเร่งประคองอีกฝ่ายให้ลุกออกจากตะกร้าใบใหญ่ด้วยความทุลักทุเล
บรรดาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตกอยู่ในอาการพรึงเพริด พริบตาก็ล้วนก้มหน้าลอบขบขันด้วยความสาแก่ใจ
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นได้ก็ขบฟันแน่นชี้นิ้วด่ากราด “พวกเจ้าหัวเราะข้ารึ” เสียงหัวเราะสงัดลง นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเฉินอิ้งถงเต็มเปี่ยมไปด้วยเพลิงอาฆาต “กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า คอยดูเถิดข้าจะให้ทางการลงโทษเจ้า”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากพลางยกมือขึ้นกอดอก วันนี้อยากหาเงินให้มากหน่อยจึงเลือกมาทำการค้าในตัวอำเภอ ไม่คิดเลยว่าจะดวงซวยปะเข้ากับพวกสุนัขขี้เรื้อน
ชายร่างสูงกระฟัดกระเฟียดใกล้เข้ามา
เฉินอิ้งถงกอดอกเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “ลงโทษรึ เมื่อครู่ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าทำเรื่องต่ำทรามกับข้าก่อน คนที่ควรถูกลงโทษต้องเป็นเจ้ามากกว่า”
ปลายนิ้วชายหนุ่มชี้ดะสั่นระรัว “นังผู้หญิงปากดี หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าอย่าเรียกข้าว่าฝานฟ่านเลย”
เฉินอิ้งถงขำพรืด “ฮ่า ฮ่า ฝานฟ่าน ข้าว่าหน้าอย่างเจ้าควรชื่อว่า ฝานโกว [2] คงเที่ยวกัดเที่ยวข่มเหงผู้อื่นไปเรื่อยใช่หรือไม่”
ฝานฟ่านได้ยินคำสบประมาทก็ควันออกหู “เจ้า! วันนี้อย่าคิดจะได้ก้าวเท้าไปจากที่นี่เลย” ชายหนุ่มออกคำสั่ง “จับนางเอาไว้!”
“ขอรับ”
ชายฉกรรจ์สองคนดาหน้าเข้าหาเฉินอิ้งถงหวังประชิดตัว ทว่ากลับถูกเท้าเรียวยกสวนจนร่างกระเด็นล้มคะมำจนรู้สึกจุก
ฝานฟ่านหงุดหงิด หน้าผากชายหนุ่มผุดพราวไปด้วยเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่ม
“ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พวกเจ้าก็สู้ไม่ได้รึ”
“นายน้อย นางแรงเยอะมาก พวกบ่าวเข้าใกล้นางแทบไม่ได้เลยขอรับ”
“เจ้าพวกโง่ นางจะแรงเยอะกว่าผู้ชายตัวเท่าควายเช่นพวกเจ้าได้อย่างไร” ฝานฟ่านยกเท้าถีบอกลูกน้องของตนซ้ำด้วยความเดือดดาล
ชายหนุ่มกระฟัดกระเฟียดหมายจัดการเฉินอิ้งถงด้วยตนเอง วันนี้นางก็ไม่คิดอ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น ใหญ่โตมาจากที่ใดก็อย่าหวังรังแกผู้อื่นเฉกเช่นสิ่งของไร้ค่าได้
พัดในมือชายหนุ่มถูกขว้างออกไปประหนึ่งลูกข่าง เฉินอิ้งถงปัดทิ้งฉับพลัน ก่อนที่ฝานฟ่านจะทันคว้าสาบเสื้อของเฉินอิ้งถงได้ ก็มีเสียงดังกึกก้องแว่วมาไม่ไกล
“เหยียนอ๋องเสด็จ”
ทุกคนที่ยืนมุงดูต่างแตกฮือดุจผึ้งแตกรัง ฝานฟ่านตกใจเบิกตาโพลง เขายืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งก้อนหิน
เฉินอิ้งถงที่ได้ยินนามเหยียนอ๋องก็ค้นหาความทรงจำในคลังสมองจ้าละหวั่น กระทั่งจำได้ว่าเขาคือพระเอกธงแดงของเรื่องนี้ อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวกะทันหัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง
เฉินอิ้งถงมองหน้าขาวซีดของฝานฟ่านก็คิดบางอย่างออก กระทั่งม้าตัวสูงใกล้เข้ามาทางนี้ มือเรียวแสร้งคว้าไปยังสาบเสื้อของชายหนุ่มแล้วทิ้งกายลงตรงหน้า
ฝานฟ่านเบิกตาโพลงท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาผู้คน เหตุการณ์เมื่อครู่คล้ายว่าเขาเป็นผู้ผลักนางล้มลงไป
เฉินอิ้งถงเหยียดยิ้มเย็นเยียบ ร่างระหงล้มพังพาบอยู่บนพื้นสกปรก ม้าตัวสูงจึงหยุดฝีเท้าลงและไม่ขยับต่อ
“หยุด…”
ทุกคนต่างใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า เฉินอิ้งถงเห็นเช่นนั้นก็เร่งทำตัวน่าสงสาร ขยับกายละล้าละลังเข้าไปหมอบตรงหน้าบุรุษผู้สูงศักดิ์
“ท่านอ๋องโปรดอภัยหม่อมฉันด้วย เมื่อครู่เขาข่มเหงรังแกหม่อมฉัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุล้มขวางขบวนเดินทางของพระองค์เพคะ”
“หา…” ฝานฟ่านอึ้งงันแทบหงายท้องตึง
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้มตามมือเรียวที่ชี้ไปยังชายร่างสูงซึ่งยืนหน้าถอดสีตัวสั่นสะท้านอยู่ด้านข้าง
ฝานฟ่านขาอ่อนยวบ ชายหนุ่มโขกศีรษะลงเดี๋ยวนั้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้ทำสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ นาง…เป็นนาง…”
“ท่านพี่เกิดเรื่องอันใดหรือ”
ไม่ทันจบประโยคเสียงทุ้มนุ่มก็ดังลอดมาจากด้านในรถม้า เฉินอิ้งถงหูกระดิก นัยน์ตาดอกท้อลอบมองไปยังม่านประตูที่เปิดออก ปรากฏร่างหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดผู้มีใบหน้าซีดขาวทว่ายังคงเค้าความหล่อเหลาให้ได้เห็น
นี่ต้องเป็นเขาไม่ผิดแน่ ดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ว่าที่สามีของข้า
ในที่สุดนางก็หาเขาพบจนได้ ริมฝีปากสีกุหลาบขยับยกเป็นรอยยิ้ม
เชิงอรรถ
^1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
^狗 Gǒu โกว หมายถึง สุนัข
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท
“องค์ชาย ทำเช่นนี้ดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกมากนักหรือ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของข้านอกจากท่านพี่ หากเสด็จพ่อทำตามข้อตกลงไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็มิอาจทำตามที่ท่านต้องการได้เช่นเดียวกัน”“แล้วท่านอ๋องจะยินยอมทำตามแผนการหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านพี่และข้าสนิทสนมและรู้ใจกันมากที่สุด สำหรับเจ้าแล้ว ท่านพี่หรือว่าข้าเด็ดเดี่ยวมากกว่ากันล่ะ”เผิงจิ้นเสียนผงะเมื่อเห็นแววตาที่เคยอบอุ่นแปรผันเป็นเย็นยะเยือกน่าเกรงขาม เมื่อใดที่จินชางหลงเผยด้านมืดออกมาผู้ใดก็อย่าหมายขัดขวางความตั้งใจของเขา “แน่นอนว่าทั้งสองพระองค์นิสัยใกล้เคียงกันพ่ะย่ะค่ะ”จินชางหลงยิ้มขันผ่านลำคอ นิสัยของจินเหยียนเข้มงวดเย็นชาจนน่าสะพรึง ผู้คนล้วนโจษจันว่าเขาเป็นอ๋องอำมหิตสังหารศัตรูไม่กะพริบตา ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เคยรู้ว่าน้องชายที่อ่อนแอดูอบอุ่นเช่นเขา นิสัยแท้จริงหนักข้อยิ่งกว่าพี่ชายตนเสียอีก พูดได้ว่าเขาคือจอมวางแผนผู้แสนร้ายกาจณ ตำหนักบรรทมเสิ่นกุ้ยเฟยฮ่องเต้จินข่ายลุกพรวด สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม โลหิตในกายเดือดพล่านเสียจนหน้
เช้าวันถัดมาจินชางหลงก็พาเฉินอิ้งถงกลับ เดิมทีเขาอยากยื้อเวลาอีกสักหน่อย ทว่าสถานการณ์คล้ายจะไม่เหมาะ ดังนั้นการบรรเทาทุกข์ครั้งนี้ต้องเร่งจัดการและกลับไปที่วังหลวงเพื่อเข้าพิธีอภิเษกโดยเร็วขึ้นเขาหนนี้นับว่าไม่เสียเปล่าเพราะเฉินอิ้งถงได้พบกับสมุนไพรชนิดร้อนที่สามารถชะล้างอาการหนาวปวดกระดูกได้ นางจึงคิดวิธีการปรุงเป็นยาบำรุงโดยเลือกผสมเข้ากับธัญพืช นอกจากสามารถช่วยรักษาอาการป่วย ยังสามารถใช้ทดแทนอาหารในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย“พี่หญิงท่านนี่เก่งจริง ๆ ทำเช่นนี้เราก็ไม่ต้องลำบากเรื่องต้มยาและอาหาร” อาจิ้นตาเป็นประกายเฉินอิ้งถงยิ้ม “เจ้าอย่ามาทำเยินยอข้า เรื่องครั้งก่อนอย่าคิดว่าข้าจะลืม”อาจิ้นสะดุ้งพลางยิ้มแหย “พี่หญิงเฉิน ข้าเองก็ลำบากใจ…” อาจิ้นเหลือบซ้ายแลขวา โน้มตัวกระซิบเบา “เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวนะเจ้าคะ หากข้าไม่ทำตามเกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า มือเรียวดีดปลายจมูกอาจิ้นเพื่อหยอกล้อ “นี่แน่ะ เด็กเลี้ยงแกะ พอกันทุกคน หากเป็นบ้านเมืองเดิมของข้าพวกเจ้าคงได้รางวัลตุ๊กตา
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามมีเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสองที่พ่นปะทะความเงียบสงัด ปลายนิ้วเรียวเริ่มขยับทีละน้อย เปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า“อื้อ…เจ็บจัง” เฉินอิ้งถงดันร่างขึ้น ทว่าต้องล้มพังพาบลงไปอีกครั้ง เพราะเรี่ยวแรงที่ถดถอยซ้ำยังถูกแขนแกร่งรัดไว้จนแน่น“องค์ชาย…”จินชางหลงยังไร้สติ เฉินอิ้งถงแหงนมองพลางร้องเรียก น้ำเสียงของนางแหบแห้งระคนร้อนรน“องค์ชายเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง”“…”เมื่อครู่เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้รับบาดเจ็บใดเลย มีเพียงความตกใจที่ทำให้นางสิ้นสติ ทว่าจินชางหลงไม่โชคดีเช่นนั้น เขาพยายามปกป้องนาง ใช้ตัวเองเป็นโล่จนร่างบอบช้ำเฉินอิ้งถงเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งก็รู้สึกใจคอไม่ดี “องค์ชาย องค์ชาย ตอบสิเพคะ”“…”เสียงเล็กสั่นเครือน้ำสีใสเอ่อคลอขึ้นตรงขอบตา นางเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจของเขา แต่มันกลับเต้นเบามาก ๆ จนนางไม่ทันได้ยิน เสื้อผ้าที่สวมก็หนาเสียจนบดบังทุกสิ่ง พยายามแนบหูอยู่นานนางก็ยังสัมผัสไม่ถึง เฉินอิ้งถงใจเสีย สติที่มีขาดผึงเดี๋ยวนั้น“ฮึกฮื่อ…องค์ชาย อย่าทำหม่อมฉันตกใจ ท่านฟื้นสิ ฟื้นขึ้นมา”“…
การบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านแดนเหนือเป็นไปอย่างยากลำบากมาร่วมเดือนแล้ว แม้ว่ามีเสี่ยวฮวาคอยใช้พลังรักษาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้มาก วันดีคืนดีเจ้าภูติน้อยก็หมดแรงหลับไปเสียหลายวัน ส่วนปัจจัยทั้งห้าที่เหอหย่งเซาหอบมาก็ใช้ประทังชีวิตได้อีกไม่นาน สักวันย่อมมีวันหมด“ถงเอ๋อร์ไปพักบ้างเถิด ข้าเห็นเจ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ไม่สบายใจเอาเสียเลย”มือเรียวหยิบรากสมุนไพรใส่ลงในหม้อดินเผา ส่วนอีกด้านก็พัดเพิ่มแรงให้กับเชื้อเพลิง “ท่านพ่อ ข้าไหวเจ้าค่ะ ชาวบ้านล้มป่วยเป็นจำนวนมากเช่นนี้ข้าไม่อาจนิ่งนอนใจได้”“แต่เจ้าต้องต้มยาอีกกี่หม้อ หักโหมอีกกี่วันคนเหล่านั้นจะหาย รักษาได้หนึ่งอีกคนหนึ่งก็จะป่วยขึ้นมาอีก”“เช่นนั้นจะให้ทำเช่นไรเจ้าคะ ปล่อยพวกเขาล้มตายไม่ไยดีหรือ”“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”เหอหย่งเซาผ่อนเสียงเมื่อเห็นว่าเฉินอิ้งถงเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว“ท่านเองก็เหนื่อยมามาก ไปพักเถิดเจ้าค่ะ” เฉินอิ้งถงเลิกสนใจคนตรงหน้าและตั้งตาต้มยายื่นให้ชาวบ้านที่รอรับยาจากตนต่อเหอหย่งเซายืนมองด้วยแววตาสิ้นหวังพลางหมุนกายเดินจากไปเงียบ ๆ“พี่หญิ
ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงที่หมาย ทว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าใดอากาศก็ยิ่งลดต่ำจนเหน็บหนาวเข้ากระดูกเฉินอิ้งถงแหงนมองบุรุษที่นั่งกอดเอวของตนอยู่บนหลังม้าด้วยแววตาเป็นห่วง แม้เสี่ยวฮวาจะบอกว่าเขาหายแล้ว ทว่าท่าทีและสีหน้าของจินชางหลงดูจะไม่เป็นเช่นนั้น “องค์ชายไหวหรือไม่เพคะ”“ไหว เจ้าอย่าห่วงแต่ผู้อื่นจนลืมห่วงตัวเจ้าเอง” จากอ้อมแขนที่กอดเอวคอดเอาไว้ ก็เลื่อนไปจับบังเหียนเบื้องหน้า เสื้อคลุมขนสัตว์ถูกนำมาห่อคนทั้งสองดุจร่างเดียวกัน“องค์ชายปล่อยมือเพคะ มือพระองค์ยังไม่หายดี”“ข้าไม่เป็นไร” จินชางหลงปลดมือขาวเนียนออกแช่มช้าพลางลูบเบา ๆ หวังคลายความเจ็บให้อีกฝ่าย ฝ่ามืออันเนียนนุ่มของหญิงสาวบัดนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งยังเริ่มถลอก“เจ็บหรือไม่”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า “ไม่เพคะ”“โกหกตาใส เจ้าพักเสียบ้าง อีกไม่กี่ลี้ [1] ก็จะถึงแล้ว”“พระองค์นั่นแหละ อย่าดื้อสิเพคะ” เฉินอิ้งถงคิดแย่งบังเหียนกลับ“เจ้าสิที่ดื้อ” จินชางหลงใช้มือหนึ่งฝั่งดึงร่างระหงเข้ามาแนบตัวเฉินอิ้งถงถูกแรงชายหนุ่มลากมาปะทะแผ่นอกกว้างก็ตกใจหน้าตื่น อ