เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขาย
แต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา
“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ
“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้น
เหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…
นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่
“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
“ช้าก่อน”
“เจ้าคะ”
“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริมพละกำลังได้ใช่หรือไม่”
“อื้อ”
“เช่นนั้นความเร็วเล่า เจ้าทำได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยิ้มกว้าง “เช่นนั้นเจ้าเอาขนมที่เสริมพละกำลังและความเร็วมาให้ข้า”
จากปิ่นปักผมก็แปรเปลี่ยนเป็นภูติตัวจิ๋ว ปากน้อย ๆ หาวหวอดออกมาพร้อมดวงตากลมโตที่ดูปริ่มปรือ “ท่านจะเอาไปทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าถามมาได้ หากข้าเดินเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับเต่าป่วยหรือ กว่าจะถึงตัวอำเภอได้หอบตายก่อนกระมัง หากข้ากินขนมของเจ้าไปก็จะถึงเร็วขึ้น”
ภูติน้อยเสี่ยวฮวาเบิกตากว้าง ร่างเล็กร่อนไปมาเริงร่า “เช่นนี้เอง”
พริบตาขนมดอกสาลี่ชิ้นพอดีคำก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือน้อย ๆ “นายท่านหลังจากกินแล้วพละกำลังของท่านจะแข็งแกร่งมาก เพียงแต่อยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยาม [1] เท่านั้น…”
ไม่ทันเอ่ยจบ มือเรียวก็คว้าหมับและยัดขนมเข้าปากทันใด “อือ…หวานอร่อยมาก”
“ข้ายังพูดไม่จบเลย ข้าจะบอกว่าการกินเพื่อเพิ่มพละกำลังในหนึ่งวันท่านกินได้ไม่เกินสองครั้ง เพราะหากมากกว่านั้นอาจทำให้ร่างกายของท่านอ่อนเพลียเนื่องจากรับไม่ไหว”
“อ้อ เช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว เราไปกันเถอะ”
พริบตาขาเสลาก็สลับขึ้นลงประหนึ่งลมกรด
“เหวอ…นายท่านรอข้าด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวฮวาร่อนตามไปติด ๆ
ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงที่หมายอย่างน่าอัศจรรย์ เรี่ยวแรงที่มีก็ไม่ถดถอยลงเลย
“โอ้โห เสี่ยวฮวา ขนมของเจ้าสุดยอดเกินไปแล้ว”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “เห็นหรือไม่ ว่าภูติเช่นข้าก็มีประโยชน์”
“รู้แล้ว ๆ เจ้าแปลงกายเป็นปิ่นเร็ว เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะแตกตื่นกันหมด”
“เจ้าค่ะ”
ปิ่นหยกลายบุปผาหลากสีปรากฏขึ้นอีกครั้ง เดิมทีเฉินอิ้งถงเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามอยู่แล้ว กระนั้นเมื่อมีภูตดอกไม้ประดับบนศีรษะกลับยิ่งเสริมความพริ้มเพราขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ดูโดดเด่นและสะดุดตาผู้คนที่ผ่านมาพบเห็น
“แม่นาง ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้าคงเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกกระมัง”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะระหว่างที่หญิงสาวกำลังสาละวนเพื่อตระเตรียมของสำหรับค้าขาย
เฉินอิ้งถงยืดกายเต็มความสูง นัยน์ตาจ้องมองบุรุษวัยใกล้เคียงกันด้วยท่าทีฉงน “คุณชาย ร้านข้ายังไม่เปิด หากท่านอยากซื้อของก็รอข้าอีกครู่เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงเตรียมจัดแจงขนมหลากรูปแบบต่อ และไม่ใส่ใจบุรุษตรงหน้าอีก ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตากะล่อนปลิ้นปล้อน แววตาก็แทะโลมนางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งที่นางเอ่ยปากเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมจากไปไหน เขายืนนิ่งพลางคลี่พัดในมือสะบัดไปมาหน้าตาเฉย เฉินอิ้งถงไม่สนใจท่าทางประหนึ่งนกยูงรำแพนของเขานางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเริ่มบังเกิดโทสะขึ้นมาหน่อยแล้ว ครั้นเห็นมือเรียวยื่นออกมาอีกหน ฝ่ามือหยาบระคายก็คว้าหมับข้อมือเล็กเอาไว้
เฉินอิ้งถงตวัดตามองเข้ม ทว่าเขากลับคลี่ยิ้มยียวนตอบ
“คุณชาย ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ลูกน้องที่ยืนขนาบซ้ายขวาก็ฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างกัน
“แม่นาง ข้าว่าเจ้าไม่ต้องตรากตรำทำงานเช่นนี้หรอก บ้านของข้ามีเงินทองมากมาย เจ้ามาเป็นฮูหยินข้าดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงขึงตามองอย่างนึกรังเกียจ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เริ่มทยอยตั้งแผงขายของต่างเมียงมองอย่างสนใจ แต่ก็หามีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าสอด เหตุเพราะชายหนุ่มที่กำลังก่อเรื่องเป็นถึงลูกเศรษฐีสกุลฝาน เขามักทำตัวเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้เสมอ ยิ่งพบเจอสตรีงดงามอ่อนแอไร้กำลังก็ยิ่งย่ามใจคิดข่มเหงหญิงสาวเหล่านั้นไม่สนถูกผิด
“ข้าบอกให้ปล่อย” เสียงใสกล่าวเย็นเยียบสาดประกายวาววับ
เสียงทุ้มของลูกน้องร่างใหญ่หัวเราะร่วนสวนขึ้นด้วยความสนุก ส่วนตัวก่อเรื่องยังคงยิ้มพรายเจ้าเล่ห์ มิหนำซ้ำมือที่จับแขนของนางไว้ก็เริ่มละลาบละล้วงเลื่อนไล้ไปตามท้องแขนขาวเนียนอย่างถือวิสาสะ
“แขนนุ่มนิ่มดีจริง หน้าตาก็งดงามเพียงนี้อย่าทำบูดบึ้งให้เสียของเลยแม่นางน้อย”
เฉินอิ้งถงสิ้นความอดทน หญิงสาวสะบัดแขนที่ถูกอีกฝ่ายกำลังเอาเปรียบสุดแรง ร่างสูงปลิวไปไกลประหนึ่งลูกหนัง ก้นของเขาหย่อนลงตรงตะกร้าผักเน่าเข้าพอดิบพอดี ผักใบเหี่ยวเฉาที่ลอยกระเด็นขึ้นกลางอากาศร่วงลงตรงกบาลชายหนุ่มเสียงดังแผละ เป็นภาพที่ชวนสะอิดสะเอียนและสุดอับอาย ความหยิ่งยโสของคุณชายจอมกะล่อนหายไปชั่วพริบตา
“นายน้อย!!”
ชายทั้งสองถลาเข้าหาผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเร่งประคองอีกฝ่ายให้ลุกออกจากตะกร้าใบใหญ่ด้วยความทุลักทุเล
บรรดาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตกอยู่ในอาการพรึงเพริด พริบตาก็ล้วนก้มหน้าลอบขบขันด้วยความสาแก่ใจ
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นได้ก็ขบฟันแน่นชี้นิ้วด่ากราด “พวกเจ้าหัวเราะข้ารึ” เสียงหัวเราะสงัดลง นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเฉินอิ้งถงเต็มเปี่ยมไปด้วยเพลิงอาฆาต “กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า คอยดูเถิดข้าจะให้ทางการลงโทษเจ้า”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากพลางยกมือขึ้นกอดอก วันนี้อยากหาเงินให้มากหน่อยจึงเลือกมาทำการค้าในตัวอำเภอ ไม่คิดเลยว่าจะดวงซวยปะเข้ากับพวกสุนัขขี้เรื้อน
ชายร่างสูงกระฟัดกระเฟียดใกล้เข้ามา
เฉินอิ้งถงกอดอกเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “ลงโทษรึ เมื่อครู่ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าทำเรื่องต่ำทรามกับข้าก่อน คนที่ควรถูกลงโทษต้องเป็นเจ้ามากกว่า”
ปลายนิ้วชายหนุ่มชี้ดะสั่นระรัว “นังผู้หญิงปากดี หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าอย่าเรียกข้าว่าฝานฟ่านเลย”
เฉินอิ้งถงขำพรืด “ฮ่า ฮ่า ฝานฟ่าน ข้าว่าหน้าอย่างเจ้าควรชื่อว่า ฝานโกว [2] คงเที่ยวกัดเที่ยวข่มเหงผู้อื่นไปเรื่อยใช่หรือไม่”
ฝานฟ่านได้ยินคำสบประมาทก็ควันออกหู “เจ้า! วันนี้อย่าคิดจะได้ก้าวเท้าไปจากที่นี่เลย” ชายหนุ่มออกคำสั่ง “จับนางเอาไว้!”
“ขอรับ”
ชายฉกรรจ์สองคนดาหน้าเข้าหาเฉินอิ้งถงหวังประชิดตัว ทว่ากลับถูกเท้าเรียวยกสวนจนร่างกระเด็นล้มคะมำจนรู้สึกจุก
ฝานฟ่านหงุดหงิด หน้าผากชายหนุ่มผุดพราวไปด้วยเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่ม
“ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พวกเจ้าก็สู้ไม่ได้รึ”
“นายน้อย นางแรงเยอะมาก พวกบ่าวเข้าใกล้นางแทบไม่ได้เลยขอรับ”
“เจ้าพวกโง่ นางจะแรงเยอะกว่าผู้ชายตัวเท่าควายเช่นพวกเจ้าได้อย่างไร” ฝานฟ่านยกเท้าถีบอกลูกน้องของตนซ้ำด้วยความเดือดดาล
ชายหนุ่มกระฟัดกระเฟียดหมายจัดการเฉินอิ้งถงด้วยตนเอง วันนี้นางก็ไม่คิดอ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น ใหญ่โตมาจากที่ใดก็อย่าหวังรังแกผู้อื่นเฉกเช่นสิ่งของไร้ค่าได้
พัดในมือชายหนุ่มถูกขว้างออกไปประหนึ่งลูกข่าง เฉินอิ้งถงปัดทิ้งฉับพลัน ก่อนที่ฝานฟ่านจะทันคว้าสาบเสื้อของเฉินอิ้งถงได้ ก็มีเสียงดังกึกก้องแว่วมาไม่ไกล
“เหยียนอ๋องเสด็จ”
ทุกคนที่ยืนมุงดูต่างแตกฮือดุจผึ้งแตกรัง ฝานฟ่านตกใจเบิกตาโพลง เขายืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งก้อนหิน
เฉินอิ้งถงที่ได้ยินนามเหยียนอ๋องก็ค้นหาความทรงจำในคลังสมองจ้าละหวั่น กระทั่งจำได้ว่าเขาคือพระเอกธงแดงของเรื่องนี้ อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวกะทันหัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง
เฉินอิ้งถงมองหน้าขาวซีดของฝานฟ่านก็คิดบางอย่างออก กระทั่งม้าตัวสูงใกล้เข้ามาทางนี้ มือเรียวแสร้งคว้าไปยังสาบเสื้อของชายหนุ่มแล้วทิ้งกายลงตรงหน้า
ฝานฟ่านเบิกตาโพลงท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาผู้คน เหตุการณ์เมื่อครู่คล้ายว่าเขาเป็นผู้ผลักนางล้มลงไป
เฉินอิ้งถงเหยียดยิ้มเย็นเยียบ ร่างระหงล้มพังพาบอยู่บนพื้นสกปรก ม้าตัวสูงจึงหยุดฝีเท้าลงและไม่ขยับต่อ
“หยุด…”
ทุกคนต่างใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า เฉินอิ้งถงเห็นเช่นนั้นก็เร่งทำตัวน่าสงสาร ขยับกายละล้าละลังเข้าไปหมอบตรงหน้าบุรุษผู้สูงศักดิ์
“ท่านอ๋องโปรดอภัยหม่อมฉันด้วย เมื่อครู่เขาข่มเหงรังแกหม่อมฉัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุล้มขวางขบวนเดินทางของพระองค์เพคะ”
“หา…” ฝานฟ่านอึ้งงันแทบหงายท้องตึง
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้มตามมือเรียวที่ชี้ไปยังชายร่างสูงซึ่งยืนหน้าถอดสีตัวสั่นสะท้านอยู่ด้านข้าง
ฝานฟ่านขาอ่อนยวบ ชายหนุ่มโขกศีรษะลงเดี๋ยวนั้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้ทำสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ นาง…เป็นนาง…”
“ท่านพี่เกิดเรื่องอันใดหรือ”
ไม่ทันจบประโยคเสียงทุ้มนุ่มก็ดังลอดมาจากด้านในรถม้า เฉินอิ้งถงหูกระดิก นัยน์ตาดอกท้อลอบมองไปยังม่านประตูที่เปิดออก ปรากฏร่างหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดผู้มีใบหน้าซีดขาวทว่ายังคงเค้าความหล่อเหลาให้ได้เห็น
นี่ต้องเป็นเขาไม่ผิดแน่ ดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ว่าที่สามีของข้า
ในที่สุดนางก็หาเขาพบจนได้ ริมฝีปากสีกุหลาบขยับยกเป็นรอยยิ้ม
เชิงอรรถ
^1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
^狗 Gǒu โกว หมายถึง สุนัข
จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ“ข้าได้ยินแล้ว”เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพ
นัยน์ตาคมเข้มเหลียวมองต้นเสียง “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”“อ้อ” จินชางหลงลดสายตามองสตรีที่นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางจับจ้องเขาแทบไม่วางตาแววตาหวานเชื่อมเช่นนี้เป็นเหตุให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งปล่อยม่านลงด้วยความรวดเร็ว มือถูกย้ายมาวางบนตักพร้อมกับขยำผ้าเนื้อดีจนเกิดรอยยับย่น“องค์ชาย เกิดประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงที่คอยปรนนิบัติองค์ชายห้าจินชางหลงอย่างใกล้ชิดมองสีหน้าแปลกประหลาดของเขาด้วยความเป็นห่วง“เปล่า”ได้ยินเช่นนี้กงกงก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกเสียงจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง“จะทะเลาะกันข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องมาขวางทางข้า หากเกิดเรื่องกับน้องชายข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้าทุกคน”ฝานฟ่านที่กำลังคิดแก้ต่างพลันหมอบกายลงอีกครั้ง “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จผ่านทางนี้ ก็เลย…”นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “…เจ้าก็เลยรังแกสตรีไร้ทางสู้ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ”เฉินอิ้งถงที่แสร้งค้อมศีรษะกายสั่นสะท้านลอบอมยิ้มเหยียนอ๋องผู้นี้แม้จะเป็นพระเอกธงแดงทว่ากลับไม่ไร้ศีลธรรมเสียทีเดียว แน่น
เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขายแต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้นเหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”“ช้าก่อน”“เจ้าคะ”“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริ
เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลยงานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นเฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำล
ปัง!ปัง!ปัง!เสียงฝ่ามือทุบประตูไม้จนแทบหลุดกระเด็น ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจนแสบแก้วหู“นังตัวขี้เกียจ ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด”หญิงสาววัยสิบห้าดีดเด้งร่างขึ้นพลันนั่งเหยียดตรง ผ้าห่มผืนเก่าถูกเลิกออกไปกองตรงเอว เส้นผมสีดำเงาดุจดั่งน้ำหมึกพันกันยุ่งเหยิง“รู้แล้ว ท่านมองท้องฟ้าบ้างหรือไม่นี่มันเพิ่งยามอิ๋น [1] จะเร่งให้ข้าตื่นหาสวรรค์วิมานใดมิทราบ” เสียงใสโต้กลับผู้ที่ยืนเท้าเอวอีกด้านก็ไม่ยอมกัน “นังเด็กปากดี หากไม่เพราะแม่ของเจ้าสำส่อนไม่รักดีจะให้กำเนิดมารร้ายเช่นเจ้าได้อย่างไร”ผัวะ!ประตูที่งับเมื่อครู่ถูกเปิดออกไม่ทันตั้งตัว หญิงร่างท้วมถึงกับเบิกตาค้างตระหนกตื่น เพราะเมื่อครู่นางลงแรงไปกับการเคาะบานประตูอย่างหนัก เป็นเหตุให้ร่างที่กลมดั่งอึ่งอ่างแม่ไข่กลิ้งหลุน ๆ ไปนอนหงายท้องพังพาบที่พื้นเย็นเยียบหญิงสาวยกมือปิดปาก เสียงใสหัวเราะคิกคักด้วยความสาแก่ใจ“เจ้า! นังตัวดี กล้าทำร้ายข้ารึ ข้าจะไปฟ้องลุงของเจ้า”นัยน์ตากลมโตกลอกมองบนไม่แยแส “เชิญท่านขี่ม้าสามศอกไปฟ้องท่านลุงของข้าได้เลย ข้าถูกทำโทษจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จะให้ข้าทำอะไรอีกเล่า คุกเข่าสองชั่วยาม
“เห็นกงกงบอกว่าอาหารพวกนี้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”“เพคะ หม่อมฉันทำเอง รสชาติไม่ถูกปากองค์ชายหรือเพคะ”“แม่นางเฉินเข้าใจผิดแล้ว รสชาติที่เจ้าทำถูกปากข้ามาก แต่เดิมข้าคิดว่าเป็นพ่อครัวของทางโรงเตี๊ยม เสด็จย่าของข้าชื่นชอบการชิมอาหารและขนมหวานเป็นที่สุด เดิมทีหากเสร็จเรื่องข้าคิดจะเชิญพ่อครัวเดินทางไปวังหลวงด้วยกัน แต่ในเมื่อเป็นเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากรบกวน เพียงแต่สูตรอาหารเหล่านี้สามารถขายให้ข้าได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ อาหารที่หม่อมฉันทำไม่มีสูตรตายตัว จึงไม่อาจทำตามพระประสงค์ของท่านได้”กงกงได้ฟังก็หน้าถอดสี “เจ้านี่ช่างเหิมเกริมนัก องค์ชายอุตส่าห์ลดตัวออกปากตรัสกับเจ้า แต่เจ้ากลับ…”“กงกง” จินชางหลงปรามกงกงค้อมศีรษะพลางหลุบเปลือกตาลงหน้าสลดเฉินอิ้งถงยิ้มไปจนถึงดวงตา “ข้าน้อยยังพูดไม่จบ กงกงก็เร่งตัดสินเสียแล้ว”เหยียนอ๋องที่นั่งเงียบมานานพลันเอ่ย “เจ้าช่างลูกไม้เยอะจริงเชียว เรื่องขวางขบวนวันก่อนอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าเจ้าจงใจ”เฉินอิ้งถงไม่ได้ตกใจที่เหยียนอ๋องมองออก นางทราบอยู่แล้วว่าเขาเป็นพระเอกธงแดงที่มองผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง“อย่างไรหม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไม่ละเลยช