เช้าวันต่อมาเยว่ซือมาดูอาการของเป่ยเปียนเขานั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง ในมือถือวรรณกรรมจีนเปิดอ่านไปด้วยภายในห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงพลิกหน้ากระดาษของเยว่ซือเท่านั้น
“ตื่นแล้วจะแกล้งหลับทำไมลู่เป่ยเปียน” สิ้นเสียงเยว่ซือเปลือกตาของเป่ยเปียนก็เปิดขึ้น คนเจ็บไม่หันมามองหน้าเขาสักนิดนอนมองเพียงแต่เพดานสีขาว เยว่ซือคิดว่าเป่ยเปียนคงเจ็บอยู่ถึงไม่หันหรือขยับตัวมากเยว่ซือจัดการรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ เป่ยเปียนเริ่มหันมามองเขาแต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา พยุงตัวขึ้นด้วยแขนซ้ายที่ไม่หักรับแก้วน้ำมาแล้วดื่ม ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้นความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเยว่ซือ ปกติคนอย่างลู่ เป่ยเปียนต้องพูดอะไรเยอะแยะแล้วสินี่มันไม่ปกติชัดๆ “นายไม่คิดจะขอบคุณฉันที่เก็บนายมาจากกองขยะหรือยังไงเป่ยเปียน” “อืม” “แค่อืม?” เยว่ซือเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายอารมณ์ กรอกตาไปมาทำไมคนที่มักจะพูดมากเสมอกลับกลายเป็นคนพูดนับคำได้กัน มันไม่เหมือนเป่ยเปียนที่เขารู้จักสักนิด หรือไม่ใช่เป่ยเปียนจริงๆ ...ข้อนั้นปัดตกไปได้เลยเพราะมองยังไงคนตรงหน้าก็คือลู่เป่ยเปียน “แล้วจะให้พูดอะไร” “คำว่าขอบคุณนะสวีเยว่ซือ” พูดดังนั้นเยว่ซือก็เอนหลังพิงเก้าอี้ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างแล้วกระดิกอย่างสบายอารมณ์ “ขอบคุณนะสวีเยว่ซือ” เป่ยเปียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากสีหน้าของเขาเท่าไรนัก ความร้อนรุ่มในอกของเยว่ซือเริ่มทวีคูณขึ้นมา ไม่เจอนานนับสิบปีเลิกไร้สาระแล้วกวนตีนเขามากขึ้นเป็นกองเลยนะ “นายไม่จริงใจเลยเป่ยเปียน” “ฉันไม่นึกว่าคนอย่างสวีเยว่ซือจะสนใจเรื่องไร้สาระ” คำพูดทิ่มแทงออกมาจากปากเป่ยเปียน คนที่มักจะทำหน้านิ่งเสมออย่างเยว่ซือคิ้วขมวดทันที ลู่เป่ยเปียนอาจจะท่าทางและคำพูดเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคงจะเป็นการที่ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่แบบนี้ เยว่ซือปิดหนังสือลงบนโต๊ะแล้วยืนเต็มความสูง ก้าวขาเข้าไปใกล้เตียงที่มีคนเจ็บนอนอยู่โน้มหน้าเข้าไปใกล้เป่ยเปียนก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “อย่าปากดีนะลู่เป่ยเปียนนายก็รู้นี่ถิ่นใคร” ผละออกจากคนเจ็บ เดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมได้พัด แสงแดดจากภายนอกสาดส่องเข้ามาภายในห้อง “เก็บฉันมาจากข้างขยะ คงจะมีจุดประสงค์สินะ” “ฉลาดดีนี่” ยืนพิงขอบหน้าต่างหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบ ใช่สิคนอย่างสวีเยว่ซือทำอะไรมักจะมีเหตุผลเสมอ “ว่ามาเลยดีกว่า” “ได้ข่าวว่าไปเป็นนักฆ่าให้ฝ่ายรัฐบาลเหรอเป่ยเปียน” พูดจบก็พ่นควันบุหรี่ เป่ยเปียนไอออกมาเล็กน้อยหลังจากสูดดมกลิ่นควันเข้าไป ไม่เคยมีใครสอนสวีเยว่ซืองั้นเหรอว่าไม่ควรพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคนอื่น ไม่สิถึงสอนไปคนอย่างเยว่ซือคงไม่สนใจเท่าไรนัก “แล้วมันยังไง” “มาทำงานให้ฉันแทนสิลู่เป่ยเปียน” เยว่ซือสบสายตากับเป่ยเปียนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทสื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น เป่ยเปียนไม่ตอบรับเพียงแต่หัวเราะในลำคอ “อะไรที่ทำให้นายคิดว่าฉันจะทำ” “หรือนายยังอยากจะทำงานกับพวกรัฐบาลหน้าโง่กันล่ะหืม ลู่เป่ยเปียนนายก็รู้ว่าพวกโง่นั่นปกป้องนายไม่ได้เหมือนฉัน” “ฉันปกป้องตัวเองได้” “ถ้านายทำมันได้นายจะไม่ไปนอนกองอยู่ข้างถังขยะเลย” “…” “เอาเถอะมาทำงานกับฉันซะ ยังไงฉันก็คุ้มกะลาหัวนายได้มากกว่า แถมนายก็รู้นี่ว่าพวกรัฐบาลยังหวั่นเกรงฉันถ้านายมาทำงานกับฉันยังไงพวกรัฐบาลคงไม่ขัดอะไร” “เชื่อมั่นในตัวเองจังนะเยว่ซือ” “เพราะฉันเชื่อมั่นในอำนาจของซีห่าว” “ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน” “ฉันเตือนนายแล้วนะลู่เป่ยเปียนว่าอย่าปากดี” “ข้อเสนอของนายมันไม่ใช่ตัวเลือก ฉันว่ามันคือการบังคับ” “พูดยาวๆ ได้แล้วเหรอเป่ยเปียน และแน่นอนใช่มันคือการบังคับ” “…” “ฉันจะให้หมอรักษานายจนหายดีแล้วก็เริ่มทำงานกับฉันซะ ฉันจะไปคุยกับทางรัฐบาลเอง” “ตัวก็นิดเดียว ทำไมเก่งจังเหรอเยว่ซือ” เพี๊ยะ ลู่เป่ยเปียนหันไปตามแรงตบเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากข้างมุมปาก เขาเพียงใช้นิ้วปาดมันทิ้งอย่างไม่ไยดีเยว่ซือจ้องเขาเขม็งอย่างกับจะกินหัวเขาเข้าไปอย่างนั้นแหละ ทำไมกันนะทั้งๆ ที่ตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะทำไมเรี่ยวแรงมันถึงมหาศาลขนาดนี้แต่เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก หัวหน้าแก๊งมาเฟียแรงมากมายขนาดนี้ก็คงไม่แปลก “ฉันเคยเตือนนายไปแล้วนะเป่ยเปียนว่าอย่าปากดี” เป่ยเปียนไม่ต่อล้อต่อเถียงมากเขาไม่ได้เกรงกลัวสวีเยว่ซือเลยสักนิดตัวก็เล็กกว่าเขาตั้งเยอะ ท่าทางที่ขู่ให้ดูน่ากลัวดันเหมือนลูกแมวน้อยขู่ฟ่อๆ กางเล็บด้วยอุ้งมือนุ่มนิ่มด้วยซ้ำไป “แล้วก็อย่ามาเรียกชื่อฉันห้วนๆ ว่า เยว่ซือให้เรียกคุณเยว่และแทนตัวเองว่าผม” “ครับคุณเยว่ซือ” “อะไรนะครับนายท่าน” เบลโล่ถามด้วยเสียงงุนงงอย่างไม่อยากจะเชื่อ เยว่ซือละสายตาจากเอกสารจ้องมองไปที่ลูกน้องคนสนิทนิ่งๆ เขาถอนหายใจออกมา “ฉันไม่ชอบพูดซ้ำนะเบลโล่” “ผมถามจริงนะครับนายท่าน เอาลู่เป่ยเปียนมาทำงานด้วยน่ะนะ” “นายไม่เชื่อการตัดสินใจของฉันงั้นเหรอ เบลโล่ เดลโช” เขาเรียกชื่อเต็มของลูกน้องคนสนิท เบลโล่โค้งหัวขอโทษเขา เบลโล่สัมผัสได้ถึงรังสีอัมหิตแผ่นซ่านออกมาจากสวีเยว่ซือ เขาโบกมือไล่เบลโล่ก่อนจะก้มลงทำเอกสารต่อไป“ฮึ่มมมม” เสียงครางแผ่วบ่งบอกถึงความพอใจของเจ้านาย เป่ยเปียนขยับริมฝีปากให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งอารมณ์เยว่ซือให้ได้ถึงฝั่งฝัน เร่งจังหวะสักพักน้ำรักสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา เป่ยเปียนกลืนกินเข้าไปทั้งหมดลิ้นอุ่นตวัดเลียคราบน้ำที่เกาะไปทั่วแก่นกลางกาย จูบซับไปทั่วลำท่อน เขาข่มอารมณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่นานนักสติก็ขาดผึ่งเพราะเสียงครางหวานหูที่น่าฟัง เขากระชากกางเกงเจ้านายออกจับถอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้วยความที่สูงกว่าและร่างกายใหญ่กว่ายกตัวเยว่ซือลอยหวือขึ้นบนบ่าเดินไปยังเตียงแล้วโยนเจ้านายที่รักลงบนที่นอนแสนนุ่มนิ่ม “อ้ะ..ไอ้เหี้ยจะทำอะไร” “ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ก้าวขาขึ้นไปบนเตียงคล่อมทับร่างคนที่ตัวเล็กกว่า กระซิบเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกาย แต่มีเหรอที่คนอย่างสวี เยว่ซือจะยอมให้อีกฝ่ายอยู่ข้างบน เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักคนร่างหนากว่าออก เป่ยเปียนรำคาญมือที่พยายามดันเขา ใช้ร่างกายที่ได้เปรียบกว่ากดทับขาของเยว่ซือเพื่อไม่ให้ใช้ขาถีบเขาออกได้ มือข้างหนึ่งรวบมือทั้งสองข้างของเยว่ซือชูขึ้นเหนือหัวกดข้อมืออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ทำร้ายร่างกายเขา มืออีกข้างที่
ผ่านมาสองเดือนเยว่ซือได้เจรจากับฝ่ายรัฐบาลเรียบร้อย เขาจ่ายค่าเสียหายห้าร้อยล้านให้ทางรัฐบาลจากการเอาตัวนักฆ่ามือฉมังอย่างลู่ เป่ยเปียนมา อาการของเป่ยเปียนดีขึ้นทุกวันแขนที่หักก็รักษาจนหายซึ่งไม่แปลกสำหรับร่างกายที่แข็งแรง หลังจากวันนั้นเยว่ซือก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเป่ยเปียนอีก เยว่ซือให้คนรับใช้และพยาบาลดูแลเป่ยเปียนอย่างดี เขารอเวลาที่ลู่ เป่ยเปียนจะหายดีเป็นปกติ ถึงตอนนั้นเขาคงจะใช้งานเป่ยเปียนอย่างหนักให้สมกับห้าร้อยล้านที่เสียไป“นายท่านวันนี้อาวุธจากคลังเขตเหนือมาส่งที่คลังอาวุธหลักของเรา นายท่านจะไปดูด้วยตัวเองไหมครับ”“อืม”“กี่โมงดีครับ”“บ่ายโมง” ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า เยว่ซือขยับแว่นเล็กน้อยเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน เขาอ่านเอกสารเกี่ยวกับอาวุธที่ส่งออกไปอิตาลีตั้งแต่เช้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนที่ผิดพลาดหรือแปลกไป หยิบกาแฟขึ้นมาจิบสักหน่อยร่างกายเขาคงต้องการคาเฟอีนมาช่วยให้ร่างกายปราศจากความง่วงหลังจากที่พักผ่อนไม่เพียงพอมาเป็นเวลาหลายวัน เขาไปดูบ่อนคาสิโนเมื่อหลายวันก่อนทำให้เวลาพักผ่อนของเขาลดลง ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องติดตามว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งคนมาเป็น
เช้าวันต่อมาเยว่ซือมาดูอาการของเป่ยเปียนเขานั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง ในมือถือวรรณกรรมจีนเปิดอ่านไปด้วยภายในห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงพลิกหน้ากระดาษของเยว่ซือเท่านั้น“ตื่นแล้วจะแกล้งหลับทำไมลู่เป่ยเปียน” สิ้นเสียงเยว่ซือเปลือกตาของเป่ยเปียนก็เปิดขึ้น คนเจ็บไม่หันมามองหน้าเขาสักนิดนอนมองเพียงแต่เพดานสีขาว เยว่ซือคิดว่าเป่ยเปียนคงเจ็บอยู่ถึงไม่หันหรือขยับตัวมากเยว่ซือจัดการรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ เป่ยเปียนเริ่มหันมามองเขาแต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา พยุงตัวขึ้นด้วยแขนซ้ายที่ไม่หักรับแก้วน้ำมาแล้วดื่ม ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้นความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเยว่ซือ ปกติคนอย่างลู่ เป่ยเปียนต้องพูดอะไรเยอะแยะแล้วสินี่มันไม่ปกติชัดๆ“นายไม่คิดจะขอบคุณฉันที่เก็บนายมาจากกองขยะหรือยังไงเป่ยเปียน”“อืม”“แค่อืม?” เยว่ซือเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายอารมณ์ กรอกตาไปมาทำไมคนที่มักจะพูดมากเสมอกลับกลายเป็นคนพูดนับคำได้กัน มันไม่เหมือนเป่ยเปียนที่เขารู้จักสักนิด หรือไม่ใช่เป่ยเปียนจริงๆ ...ข้อนั้นปัดตกไปได้เลยเพราะมองยังไงคนตรงหน้าก็คือลู่เป่ยเปียน“แล้วจะให้พูดอะไร”“คำว่าขอบคุ
ปัง ปัง ปัง!เสียงของปืนดังขึ้น กลิ่นเขม่าดินปืนลอยมาแตะจมูก เยว่ซือในวัยสิบหกปีชักมือกลับจากการเล็งปืนไปที่เป้าหลังจากเจ้าตัวนั้นยิงเข้าเป้าตรงกลางสามนัด พ่นลมหายใจออกมาทางปากเบา ๆ ก่อนที่ปากเรียวสวยจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เป็นอย่างที่คาดมันต้องออกมาเพอร์เฟค เรื่องปืนนี่เขาถนัดนัก เพราะเนื่องจากเขาถูกเลี้ยงท่ามกลางแก๊งมาเฟียที่มีชื่อเสียงในจีน และแน่นอนเขาถูกเลี้ยงเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำมาเฟียในภายภาคหน้า ที่น่าเห็นใจคือ เยว่ซือไม่ค่อยมีช่วงเวลาวัยเด็กมากนัก เวลาในการใช้ชีวิตของเขาส่วนมากมักจะถูกทุ่มเทไปกับการฝึกที่แสนจะยากลำบาก การมีลมหายใจแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากชีวิตที่เสี่ยงอันตราย“นายน้อยสวี ทำได้ดีอีกแล้วนะครับ”“อืม ลองทำได้ห่วยแตกสิคงไม่ใช่ฉัน แล้วนี่เป่ยไปไหน”“คุณเป่ยเปียนรอนายน้อยอยู่ที่สวนครับ”เยว่ซือไม่ตอบอะไรกลับ กรอกตาไปมา ทำไมเพื่อนสนิทเขาอย่าง ลู่เป่ยเปียน ถึงโปรดปรานสวนดอกไม้หลังบ้านเขานักหนา เข้าใจว่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่วนตัวและกว้างขวาง แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้พวกดอกไม้ที่สีสันสดใสมันจะทำให้เป่ยคอยจ้องมองมันเสมอ ว่าแล้วก็ส่งปืนพกให้ลูกน้องข้างตัว เข