“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ เจ้าหันหน้าไม้ไปทางน้องของเจ้า หากผิดพลาดไปโดนนางเจ้าจะทำเช่นไร” เขายังคงตะคอกใส่เธอ
“ฉันมั่นใจว่าไม่มีทางโดนเธอ” ไป๋หลันยืนยันทั้งที่ยังก้มหน้า เธอค่อยๆยกมือขึ้นมาลูบข้างแก้มที่โดนตบ มันทั้งเจ็บทั้งแสบ
“มั่นใจหรือ ฝีมืออย่างเจ้า เอาอะไรมามั่นใจ ข้าจะไม่เอาความเรื่องที่ไปหยิบหน้าไม้พระราชทานส่งเดช แต่เรื่องที่เจ้าคิดจะฆ่าพี่น้อง ต่อให้ข้ารักเจ้าเพียงใดก็ไม่อาจเข้าข้างเปลี่ยนผิดเป็นถูกให้เจ้าได้ เด็กๆ พานางลูกไม่รักดีไปขัง พรุ่งนี้ให้นำตัวไปส่งที่ศาล” ชายคนนั้นพูด
“พูดเรื่องอะไร งงไปหมดแล้วนะ” ไป๋หลันยังคงกุมแก้มไว้ รู้สึกแสบชา เหมือนด้านในกระพุ้งแก้มจะแตก เพราะกลิ่นคาวเลือดกำลังคลุ้งในปาก ไป๋หลันรู้สึกถึงความเค็มคาวของเลือด ความงุนงงไม่เข้าใจสถานการณ์ทำให้เธอได้แต่มองกลับไปอย่างโง่งม
“สุนัขตัวเดียว เจ้าถึงขั้นหยิบอาวุธอันตรายมาฆ่า ทั้งที่แค่ให้บ่าวมาจับก็สิ้นเรื่อง แม้แต่คนโง่ก็ต้องคิดว่าเจ้าตั้งใจฆ่าน้องสาว ยังจะแก้ตัวอีก”
“หมาตัวนั้นมันป่วย ถ้าถูกกัด อาจต้องฉีดยา ถ้าไม่มีเงินไปฉีดยาแพงๆ คนที่ถูกกัดก็จะป่วยตายไปด้วย ฉันตั้งใจช่วยจริงๆ นะ” ไป๋หลันพูดเสียงสั่น
ไป๋หลันยังคงถูกพาไปอยู่ในสถานที่ที่คล้ายกับคุกโบราณสมัยก่อนอยู่ดี ไม่ว่าเธอจะบอกชายวัยกลางคนคนนั้นแบบไหน พูดไปสองสามครั้งก็ยังไม่รู้เรื่อง ไป๋หลันจึงเลือกจะเงียบ คนพวกนั้นพาไปไหนเธอก็ไป แต่ไม่นึกว่าจะเอาเธอมาขังในคุกโบราณจริงๆ
ตอนแรกไป๋หลันคิดว่าคงกำลังถ่ายทำฉากซีรีส์ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีกล้อง สุดท้ายพอคนที่พาเธอมาขังกลับไปหมดแล้ว ไป๋หลันถึงจะมีเวลาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านั้น เธอทำอะไรอยู่นะ ทำไมถึงมาลงเอยที่นี่ รู้สึกเหมือนกำลังตกจากไหนสักแห่ง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ยิ่งนึกก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ระหว่างที่มึนๆ ใกล้จะอ้วกออกมา ภาพความทรงจำต่างๆ ก็ปรากฏในหัว
ที่แท้ชายวัยกลางคนที่ตบเธอ ไป๋หลันถึงกับเรียกเขาว่าท่านพ่อ!! นี่เขาเป็นพ่อของเธอเหรอ? แล้วหมาตัวนั้นเป็นเธอเองที่ปล่อยออกมา มุ่งหวังจะให้ไปกัดใครสักคนที่เป็นน้องสาวของเธอด้วย
ที่แย่กว่านั้น เหมือนเธอจะไปทำเรื่องที่เลวร้ายมากๆ มา น้องสาวของเธอไม่รู้อะไรด้วย แต่เพราะเธออิจฉาน้อง จึงต้องการฆ่าทิ้ง
‘นี่ตัวฉันเลวร้ายขนาดนี้เลย!!’ ไป๋หลันตกใจ
หรือเธอจะความจำเสื่อม จึงนึกได้แค่บางส่วนเท่านั้น ทำไมทุกอย่างดูไม่เข้าร่องเข้ารอย เธอรู้ว่าตัวเองชื่อ ไป๋หลัน แต่เหมือนว่าปกติเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้หรือเปล่านะ หรือเธอจะเกิดอุบัติเหตุ
แต่เอ๊ะ..เท่าที่จำได้ไป๋หลันไม่มีพี่น้องนี่ พ่อแม่ก็ไม่มี เธอชอบเสื้อผ้าแบบโบราณก็จริง แต่คงไม่ถึงขนาดกล้าหาญมาแสดงซีรีส์หรอกมั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน คนใจร้ายนั่นเป็นพ่อของเธอจริงๆ ใช่ไหม
ไป๋หลันคิดเยอะจนลืมทุกสิ่ง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท้องของตัวเองร้อง
โครกกกกครากกกก!
เธอถึงได้รู้สึกตัวเองว่าหิวมาก หิวจนมือสั่น เหมือนว่าตั้งแต่เมื่อวานเธอถูกขังอยู่ในห้องตลอด ไม่ได้กินข้าวสักมื้อเดียว วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตอนนี้เธอจึงหิวมาก
ไป๋หลันก้มหน้ามองท้องตัวเอง แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอกภูเขา เธอไม่แน่ใจจึงพยายามก้มมากขึ้นแต่ก็ยังติดอกสะบึ้มนี่อยู่ดี ไป๋หลันค่อยๆ ยกมือมาคลำก้อนเนื้อใหญ่โตตรงอก จับเขย่าเบาๆ เธอรู้สึกว่าหนักมาก
นี่เป็นหน้าอกของเธอจริงๆ ใช่ไหม!!! ทำไมเธอถึงจำได้ว่าตัวเองอกเล็กมาก แฟนของเธอยังเคยแซวว่าหน้าอกของเธอเหมือนองค์หญิงไท่ผิง[1]เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นบิ๊กแมค[2] ไปแล้ว!!!
“พี่ซู่หราน เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงสาวน้อยคนหนึ่งเรียกไป๋หลัน
‘ซู่หรานเหรอ ชื่อของฉันนี่’ ไป๋หลันคิดและเงยหน้าขึ้นมอง
สาวน้อยคนที่ถูกหมาไล่กัดกำลังยืนร้องไห้น้ำตานอง ในมือถือห่อผ้าเล็กๆ มีกลิ่นหอมของอาหารโชยมา ไป๋หลันสูดลมหายใจและรู้สึกว่าท้องของเธอกำลังเผาไหม้ เธอหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว
“ฉันไม่เป็นไร เธอไม่ต้องห่วง” ไป๋หลันพูด
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร พี่มีเลือดออกที่ไหล่นะเจ้าคะ”
“อ้อ มันเจ็บปกติอยู่แล้ว แผลถลอกนิดเดียวไม่เป็นไร”
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษด้วยเจ้าค่ะ พี่ซู่หรานอย่าโกรธข้าเลย ข้าจะไม่ออกไปข้างนอกอีก ส่วนเรื่องของอิงเถา ข้าจะรักษานางอย่างดี พี่สบายใจได้ ข้าจะปกป้องพี่เอง” หญิงสาวคนนั้นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“ไม่ต้องคิดมาก เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว” ไป๋หลันพูดไปแบบนั้น
แต่พอเธอตั้งท่าจะลุกขึ้น ความทรงจำมากมายก็ไหลเข้ามาในหัวจนเธอรับไม่ไหว ปวดหัวอย่างรุนแรงจนเธอทรงตัวไม่อยู่
“พี่ซู่หราน พี่เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ ข้าจะรีบไปตามคนมา” หญิงสาวพูดแล้วตั้งท่าจะออกไปจริงๆ
“ไม่ต้อง” ไป๋หลันนึกออกแล้ว เรื่องของอิงเถาและเรื่องที่เธอจะฆ่าน้องสาวของเธอจริงๆ!!
“แต่..แต่ว่าพี่ดูเจ็บมาก” น้องสาวยังคงพูดด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเรียกใคร เดี๋ยวเธอจะเดือดร้อนไปด้วย”
“พี่ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะหาทางช่วยพี่ออกมา” น้องสาวพูด
“ถ้า..ถ้าความจริงแล้ว ฉันตั้งใจฆ่าเธอจริงๆล่ะ” ไป๋หลันลองหยั่งเชิง
“ข้าไม่เชื่อ ข้ามั่นใจว่าพี่ไม่ทำ และพี่ก็เป็นคนช่วยข้าไว้จริงๆไม่ใช่หรือ”
“ทำไมถึงได้เชื่อใจฉันอย่างโง่งมแบบนี้ เธอโง่มากรู้ตัวไหม”
“พี่เป็นพี่ของข้า ข้ารู้ว่าพี่จะไม่ทำ”
“ตอนแรกฉันตั้งใจจะฆ่าจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ตอนยิงหน้าไม้ ก็รู้ตัวทุกอย่างว่าจะไม่พลาดแน่ ดังนั้นเธอไม่ต้องกลัว และต่อไปก็จะไม่ทำอีก ขอบใจนะที่เชื่อใจพี่สาวเลวๆ คนนี้ถึงขั้นโง่งม” ไป๋หลันเริ่มเข้าใจบางอย่างบ้างแล้ว
“พี่ซู่หราน ฮืออ” น้องสาวร้องไห้ดีใจ ขยับเข้ามาเกาะประตูไม้
ไป๋หลันค่อยๆลุกขึ้นจะได้ไม่ปวดหัวมาก ในที่สุดเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าน้องสาวคนนั้น จับแขนเสื้อที่มีคราบเปื้อนสกปรกไปเช็ดน้ำตาให้น้องสาวผ่านช่องว่างตารางกรงขัง
“เลิกร้องได้แล้ว รีบกลับบ้าน เป็นหญิงสาวไม่ควรมาอยู่ในที่ไม่ดีแบบนี้” ไป๋หลันปลอบน้องสาวที่เพิ่งได้มาหมาดๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“ข้าจะกลับไปขอร้องท่านพ่อให้มาช่วย พี่ไม่ต้องห่วง และนี่ ข้านำอาหารมาด้วย ข้ารู้ว่าพี่ซู่หรานไม่ได้ทานอาหารตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ข้าจึงเตรียมหมั่นโถวง่ายๆ กับเนื้อแห้งมาให้ อาจไม่ถูกปากพี่ แต่ข้าพอหาได้เพียงเท่านี้ พี่รับไปกินเถิด” น้องสาวยื่นห่อผ้ามาให้ไป๋หลัน
ไป๋หลันรู้สึกว่าซู่หรานเป็นคนเลวขนานแท้ น้องสาวของเธอรักเธอมาก และเชื่อใจพี่สาวทุกอย่าง ซู่หรานยังคิดจะฆ่าน้องสาวแบบนี้อีก โหดร้ายสิ้นดี หากเป็นซู่หรานตัวจริง นางคงด่าน้องสาวที่เอาอาหารง่ายๆ มาให้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไป๋หลันจะไม่ทำแบบนั้น เธอรับห่อผ้ามาและเปิดออก หยิบหมั่นโถวมากัดคำหนึ่ง
“อื้ม อร่อย ขอบใจมาก” ไป๋หลันพูด ทั้งที่หมั่นโถวนั่นไม่มีรสชาติอะไร
“เจ้ารีบกลับไปเถิด อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ดีต่อเจ้าและท่านพ่อ” ไป๋หลันเริ่มใช้ภาษาแบบโบราณบ้างแล้ว
[1] 太平 มี 2 ความหมาย 1.คือ สงบสุข สันติ 2. คือราบเรียบมากๆ เรียบสุดๆ 公主 แปลว่า องค์หญิง เจ้าหญิง เมื่อเอาสองคำมารวมกัน 太平公主 ไท่ผิงกงจู่ เป็นคำแสลง หมายถึงองค์หญิงนมแบน หรือก็คือมากกว่าแค่นมแบนปกติ
[2] 巨无霸 จวี้อู๋ป้า หมายถึง บิ๊กแมค แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ เป็นคำสแลง หมายถึงนมที่มีขนาดใหญ่มากกกกกก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ ซู่หรานกลายเป็นเศรษฐีนีที่มีเมตตาในสายตาของผู้คน เพราะเธอได้สร้างงานให้กับหลายชีวิต สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสตรีที่แทบหางานทำไม่ได้แน่นอนว่าสิ่งที่ซู่หรานทำกระทบหลายอย่าง มีหลายคนไม่พอใจ..วันนี้ซู่หรานตื่นสาย แต่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปดูหุ่นไม้ที่สั่งทำเอาไว้ เธอต้องการให้มีหุ่น เพื่อเอาไว้แสดงสินค้าตัวจริงตั้งหน้าร้าน สั่งช่างไม้ทำไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน โดยซู่หรานวาดทุกอย่างใส่แผ่นกระดาษ เขียนบอกขนาดอย่างละเอียด เมื่อวาน ซู่หรานได้ข่าวจากผู้จัดการเฉาคุนว่าหุ่นไม้เสร็จแล้ว เธอจึงเดินทางออกจากห้องเพื่อไปดูงานสั่งทำว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ เธอไม่ชอบแต่งตัวหลายชั้น แต่โชคดีที่เธอสอนให้อิงเถาตัดเย็บเสื้อชั้นในสำหรับเก็บทรงใหญ่โตแล้ว ดังนั้นการออกไปข้างนอกวันนี้ ต่อให้ใส่เสื้อชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ไม่มีทางที่ใครจะเห็นหน้าอกของเธอเธอออกไปคุยกับช่างไม้เพียงลำพัง เพราะทุกคนต่างงานยุ่ง เมื่อดูหุ่นไม้แล้ว แม้ไม่ได้ตามมาตรฐาน แต่ถือว่าใส่เสื้อผ้าตั้งแสดงหน้าร้านได้แล้ว เธอจึงจ่ายเงินและเดินทางกลับหลังจากนั้น ซู่หรานแวะไปดูร้านที่ถนนอีกฝั่
หลังออกจากบ้านครั้งนั้น ซู่หรานสั่งให้ปิดร้านขายเสื้อชั่วคราว ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนไม่ออกไปเจอใคร ไม่ไปเรียนเขียนอักษร ไม่ไปทำความเคารพท่านย่าตอนเช้า ซินซินมาหาก็ไม่ยอมพบซู่หรานขังตัวเองอยู่ในห้องสามวันเต็มๆ วันที่สี่ เธอเดินเข้าไปหาบัณฑิตหวังในห้องหนังสือ หลังจากที่เขาออกจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ท่านพ่อ นี่คือแผนการของข้า ข้าอยากขอยืมเงินของท่านเจ้าค่ะ” เธอยื่นกระดาษปึกหนึ่งที่หนาหลายชุ่น[1]ให้เขาดูขุนนางหวังเห็นว่าลูกสาวจริงจังมาก เขาจึงรับมาเปิดดู“เจ้าจะเอาเท่าไร”“มากเจ้าค่ะ”“อือ..” เขาตอบส่งๆ อย่างน้อยลูกสาวคนนี้ก็เริ่มอยากทำอะไรจริงจังบ้างแล้วแต่ยิ่งเขาพลิกกระดาษดู เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น จากที่เขาตั้งใจจะแค่ดูผ่านๆ เขาต้องนั่งลงอ่านสิ่งที่ซู่หรานเขียนในกระดาษอย่างละเอียด ซู่หรานทำเพียงนั่งรอเงียบๆ“ใครสอนเจ้า” อ่านจบ ท่านพ่อก็ถามซู่หรานเช่นนี้“ข้าคิดเองเจ้าค่ะ” ซู่หรานบอกไม่ได้หรอกว่าเป็นผลจากการเรียนการบริหารในมหาวิทยาลัยชิงหวา ถึงแม้เธอจะเป็นนักกีฬาและเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลัก แต่พวกการบริหาร บัญชีและค้าปลีกก็เป็นวิชาที่ต้องบังคับเรียนอยู่แล้ว การเขียนแผ
‘เด็กนี่ หยิ่งชะมัด แต่ก็ยังหล่อมากเหมือนเดิม’ ซู่หรานคิดระหว่างที่เธอหน้าเจื่อน กำลังจะนั่งลง ซู่หรานเหลือบเห็นว่าปลายเท้าของจิ้งจื่อขยับเร็วๆ เตะเก้าอี้ด้านข้างของเขาจนลอยมาทางซู่หราน เธอรีบยกสองแขนขึ้นปิดหน้า‘แค่ทักทายต้องโกรธขนาดนี้เลยหรอ!!!’ ซู่หรานหัวใจหล่นวูบโครม!!เสียงเก้าอี้ปะทะกับบางคนจนล้ม ซู่หรานรีบลืมตามอง ไม่ใช่เธอที่ถูกขว้างเก้าอี้ใส่ แต่เป็นชายแก่เจ้าของร้าน อิงเถาเองก็ตกใจตาโตจนไม่กล้าขยับชั่วเวลากลั้นลมหายใจ ชายแก่รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปอีกทาง จิ้งจื่อรีบลุกขึ้นจะตามไป แต่ซู่หรานมือไวกว่า เธอคว้าถ้วยชาขว้างใส่ท้ายทอยของชายชราที่วิ่งเร็วมาก ถ้วยชาแตกกระจาย แล้วชายแก่ก็ล้มลงตรงนั้นจิ้งจื่อรีบไปจับตัวเจ้าของร้านคนนั้นเอาไว้ เขาใช้เชือกมัดตัวคนร้ายทันที ก่อนจะหันมามองทางร้านน้ำชา ซู่หรานยืนหอบหายใจ เหมือนนางก็ตกใจไม่น้อย เพียงแค่ปฏิกิริยาตอบโต้ทางร่างกายไวมากจิ้งจื่อขมวดคิ้วมุ่น เขาประหลาดใจในตัวหญิงหน้าด้านคนนั้นยิ่งขึ้น แต่ที่เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ลูกน้องสามคนของเขากำลังอ้าปากตาค้าง จ้องมองซู่หรานด้วยความตกใจขั้นสูงสุดกระทั่งจิ้งจื่อลากตัวคนร้ายมายืนอยู่หน้าร้
ท่านย่าชอบชุดที่ซู่หรานเย็บให้มาก ถึงขั้นเอ่ยปากชื่นชมในระหว่างที่ทุกคนในบ้านกำลังทานอาหารเย็นพร้อมกันยกเว้นซู่หราน และพูดลอยๆ ว่าอยากให้ซู่หรานมาหาตอนเช้าบ้าง ซินซินดีใจมากรีบเอาข่าวนี้ไปแจ้งกับพี่สาว แม้ซู่หรานจะไม่อยากตื่นเช้าไปเคารพท่านย่า แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านย่าเริ่มเอ็นดูเธอบ้างแล้ว เธอจึงถือโอกาสพูดเรื่องอยากเปิดร้านขายเสื้อในวันถัดไปที่ไปพบท่านย่าตอนเช้า“เหลวไหล สตรียังไม่ออกเรือน จะเปิดร้านขายของได้อย่างไร” ท่านพ่อขัด“ทีท่านป้ายังไม่ได้แต่งงานเช่นกัน แต่นางยังเปิดร้านได้เลย” ซู่หรานเถียง“เจ้ากับนางไม่เหมือนกัน” “ท่านพ่อ ข้ากับท่านป้าแตกต่างกันที่ใด นางยังไม่แต่งงาน นางอายุมากแล้ว ข้าต่างจากนางที่ใดกัน” ซู่หรานไม่ยอม“หรือเพราะข้าฉลาดไม่เท่านาง ให้คำปรึกษาเรื่องทางราชการไม่ได้ ข้าจึงแตกต่างจากนาง” ซู่หรานยิงตรงจุด“เจ้า!! อวดดี!” ขุนนางหวังโมโห ตบโต๊ะและลุกออกไปทันที ทุกคนในห้องโถงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก แม้แต่ท่านย่าก็ไม่กล้า นางรู้จักลูกชายของนางดีว่าเวลาโมโหน่ากลัวเพียงใด“เขาเพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้ายังสาว ยังไม่หมดหวังเช่นข้า” ท่านป้าอธิบายให้หลานสาวตัวดีฟัง“ข้ารู
ตอนนี้ซินซินก็ไม่ยอมออกจากบ้านตามพี่สาวไปอีกคน ท่านย่าเป็นห่วงมากแต่ว่าอะไรไม่ได้ เพราะขุนนางหวังไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกสาวสองคนไม่ยอมออกจากบ้าน เขาคล้ายเข้าใจว่าลูกสาวอาจกลัวเพราะเพิ่งเจอเรื่องร้ายมาซู่หรานเริ่มขอเรียนเขียนอักษรภาพกับท่านป้า เธอสนิทกับท่านป้าอย่างรวดเร็ว แม้ท่านป้าจะเข้มงวดเรื่องการเรียนมาก แต่สำหรับซู่หราน เธอชอบทำงานที่ใช้สมาธิสูงอยู่แล้ว การนั่งคัดอักษรทั้งวันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แม้จะเพิ่มตารางเรียนแล้ว แต่เธอยังคงเย็บกองผ้าห่วยๆ ของเธอต่อไปในที่สุด จิ้งซานก็ทนความคิดถึงไม่ไหว บุกมาหาถึงจวน เพราะซินซินไม่ยอมออกจากบ้าน เขาจึงเข้าไปสารภาพกับขุนนางหวังว่าชอบพอซินซินมานาน หวังจะได้แต่งงานกับซินซินเมื่อซินซินรู้เรื่องที่จิ้งซานทำ นางกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก รีบไปต่อว่าจิ้งซานต่อหน้า แต่จิ้งซานกลับดีใจที่ได้พบนางในดวงใจขุนนางหวังเห็นอาการของหนุ่มสาวก็พอดูออกบ้าง จึงอ้างกับชายหนุ่มว่า หากจิ้งซานจริงใจก็ควรบอกกล่าวบิดามารดา และส่งแม่สื่อมาสู่ขอตามประเพณี จิ้งซานดีใจมากรีบกลับไปบอกทางบ้านแน่นอนว่าฮูหยินจิ้งย่อมอยากได้ซินซินเป็นลูกสะใภ้ การที่จิ้งซานเอ่ยปากอยากแต่งงาน นาง
จิ้งจื่อไม่ได้จะหนี เขาเพียงเดินจากไป ดังนั้นแม้จะได้ยินเสียงวิ่งตามมา เขาก็ไม่ได้วิ่งหนีและไม่ได้เดินให้ช้าลง“นี่ หยุดก่อน” ซู่หรานตะโกนแบบกระซิบ“นี่ หยุดสิ” เธอยังคงตะโกนแบบกระซิบจนกระทั่งวิ่งมาจับชายแขนเสื้อของจิ้งจื่อไว้ได้ เขาจึงได้แต่ต้องหยุดฝีเท้า รีบสะบัดแขนเสื้อออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว“ในที่สุดก็หยุดเดินสักที ทำไมต้องหนีเนี่ย” ซู่หรานบ่น“ข้าไม่ได้หนี”“ไม่หนีแล้วเรียกทำไมไม่หยุด”“เหตุใดข้าต้องหยุด”“เช่นนั้นก็กำลังหนี”จิ้งจื่อหายใจลึกๆ ระงับโทสะ“ข้า ไม่ ได้ หนี” เขาหันมาเน้นทีละคำต่อหน้าซู่หราน“อ้อ เช่น นั้น เหตุ ใด จึง ไม่ หยุด” ซู่หรานพูดทีละคำตามเขาจิ้งจื่อยิ่งรู้สึกโมโหกว่าเดิม เขาหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจที่นางพูดล้อเลียนเขา“ข้าไม่อยากฟังคำสั่งของเจ้า และไม่จำเป็นต้องฟัง” เขาอธิบาย“สั่งอะไร แค่เรียกให้หยุดก่อน จะได้แก้ความเข้าใจผิดได้” ซู่หรานยกมือจุ๊ๆ ตรงปากเป็นเชิงให้เขาเบาเสียงลงอีกหน่อย พูดให้เสียงเบากว่าเขา“ข้ากับเจ้า ไม่มีอะไรต้องอธิบาย” เขายังยืนยันคำเดิม“ว้าว พวกคนหล่อหน้าตาดีมาก มักจะหยิ่งแบบนี้เสมอเลยหรอ”ซู่หรานเผลอพูดภาษาจากโลกเดิม จิ้งจื่