“ใช่ หรือพิสูจน์ไม่ได้ เพราะเจ้าจงใจยิงน้องตัวเอง แต่พลาดโดนสุนัขป่วยตัวนั้น จึงใช้ข้ออ้างเช่นนี้ เจ้า..”
“ข้าพิสูจน์” ไป๋หลันยกมือขึ้น พูดแทรกระหว่างที่ท่านย่ายังพูดไม่จบ
“ไร้มารยาท!!”
“ท่านแม่ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปขอรับ ฟังนางพูดก่อน” ท่านพ่อพูด
“เฮอะ ไหน เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร” ท่านย่าหันไปพูดกับไป๋หลัน
“ยิงให้พวกท่านดู พิสูจน์ว่าข้าไม่พลาด” ไป๋หลันพูดออกไป แม้เธอจะรู้สึกเจ็บหัวไหล่ แต่ถ้ายิงระยะสั้น ใช้หน้าไม้เล็กกว่าเมื่อเช้า ถึงจะต้องฝืนหน่อย แต่ความเจ็บที่ไหล่ จะไม่เป็นอุปสรรคแน่นอน เธอมั่นใจ
“ข้าขอหน้าไม้ อันเล็กก็ได้ ลูกศรสิบดอก และเป้า” ไป๋หลันจงใจเน้นเรื่องหน้าไม้อันเล็ก เพราะจะได้ไม่ต้องฝืนไหล่ แต่ถึงเธอจะไม่ขอ ก็คงไม่มีใครเอาหน้าไม้พระราชทานมาให้เธอลองใช้อีกแล้วมั้ง เห็นว่าเป็นของล้ำค่ามาก
“พรุ่งนี้เถิด วันนี้มืดแล้ว” ท่านพ่อพูดขึ้นมา เพราะเห็นว่ามืดแล้ว เขากลัวจริงๆ ว่าซู่หรานจะอ้างไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอด จึงขอเลื่อนไปพรุ่งนี้ อย่างน้อยโดนสักดอกก็อ้างได้แล้วว่าตั้งใจช่วยจริง ข้อหาฆ่าน้องสาวตัวเอง ถึงอย่างไรก็รุนแรงเกินไป
“ข้าไม่เกี่ยงว่ามืดหรือสว่าง” ไป๋หลันยืดอก เธอไม่อยากใช้ข้ออ้างอะไรทั้งนั้น อยากรีบจบเรื่องพวกนี้เร็วๆ
“เจ้า!!” ท่านพ่อถลึงตาโกรธลูกสาวตัวดี
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจจริงๆ”
ท่านย่าสั่งให้บ่าวไปเตรียมสิ่งของตามที่ไป๋หลันร้องขอ พวกบ่าวเตรียมกระดานไม้โดยมีกระดาษแปะอยู่ตรงกลางให้ หน้าไม้ขนาดเล็กไม่เกินหนึ่งศอก ไป๋หลันยกหน้าไม้ได้ด้วยมือเดียว เธอตรวจความเรียบร้อยทั้งหน้าไม้ ความตึงของสาย และความตรงของลูกดอก มีดอกหนึ่งไม่ตรง หางบิด เธอจึงขอเปลี่ยนอันใหม่ ท่านพ่อก็อนุญาต
เมื่อทุกอย่างพร้อม ไป๋หลันเห็นแล้วว่าท่านพ่อพยายามสั่งให้วางเป้ากระดานไม่ไกลมาก ส่วนพวกท่านย่า เมียเอกของพ่อและน้องสาว ดูท่าแล้วคงไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้ เอาเถอะ อย่างน้อยคนเป็นพ่อก็ยังรักลูก
ไป๋หลันยืนนิ่ง ทุกสายตาไม่ว่าเจ้านายหรือบ่าวในบ้านต่างจ้องมาที่เธอ ถึงเธอจะไม่ชอบที่ถูกมอง แต่ไม่เป็นไร เธอฝึกรับความกดดันแบบนี้ตลอดอยู่แล้ว ไป๋หลันเหนี่ยวไก ลูกศรดอกแรกถูกปล่อยออกไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูกศรหายไป!!
ไป๋หลันขมวดคิ้ว หัวใจหล่นวูบ หรือเธอจะพลาด! ไม่มั้ง เธอไม่เจ็บไหลเลยนี่ แค่แสบๆ ตรงผิว ไม่ได้เจ็บที่กระดูกอย่างที่เคยเป็นนี่ ทำไมล่ะ!!
ซินซินน้องสาวของซู่หรานวิ่งไปดูตรงเป้าด้วยสีหน้ากังวล จากนั้นเธอก็เดินวนรอบๆ เป้า เพราะมืดแล้ว ถึงในโถงจะจุดโคมจนสว่าง แต่ก็ไม่เหมือนกลางวัน ในที่สุดซินซินหาลูกดอกที่ตกด้านข้างเจอจนได้
“ท่านพ่อ พี่ซู่หรานไม่ได้ยิงพลาด!” เธอร้องออกมาอย่างดีใจ แกะแผ่นกระดาษที่เป็นเป้าและถือลูกดอกวิ่งกลับมา
“นี่อย่างไรเจ้าคะท่านย่า หัวลูกดอกมันไม่คมเจ้าค่ะ มันจึงไม่ปักลงไป แต่ตรงกลางเป้าที่เป็นแผ่นกระดาษมีรอยขาดเจ้าค่ะ” ซินซินน้ำตาคลอ ดีใจ
ไป๋หลันใจชื้นขึ้นมา เธอไม่เคยต้องเช็กปลายคมของลูกศร เลยไม่รู้ว่าถ้าเป็นลูกศรทำมือ มันมีความเป็นไปได้นี้ด้วย
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่พลาด” ไป๋หลันพูดแต่ได้ยินเสียงของซู่หรานแทน
“พี่ซู่หราน” ซินซินหันมามองอย่างซาบซึ้งใจ
“แค่ดอกเดียว หากมันไม่ใช่ความตั้งใจ แต่เป็นเพียงความบังเอิญเล่า” ท่านย่าได้แต่ทำหน้าบึ้ง แก้ตัวข้างๆ คูๆ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านย่า ข้ายังมีลูกศรอีก 9 ดอก” ไป๋หลันยิ้ม ยกลูกศรในมือให้ทุกคนดู
จากนั้น ไป๋หลันก็ยิงรัวๆ สี่ห้าดอกติดกัน
ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ
ลูกศรทุกดอกปักลงกลางกระดานทั้งหมด! แม้บนกระดานจะไม่มีกระดาษอีก แต่ลูกศรที่รวมตัวกันอยู่ตรงกลางเป้า แสดงให้เห็นชัดว่าซู่หรานมีฝีมือจริง!
“ยังเจ้าค่ะ สุนัขตัวนั้น มันไม่ได้อยู่นิ่งๆ เหมือนกระดานนั่น” ไป๋หลันยิ้มเล็กน้อย ภูมิใจในฝีมือ เธอรู้สึกว่าเลือดกำลังสูบฉีดอย่างแรง อะดรีนาลีนกำลังหลั่งอย่างต่อเนื่อง เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไป๋หลันตีลังกายิงลูกศรออกไปอีกสองดอก ทั้งสองดอกพุ่งไปตรงกลางเป้ากระดานเช่นเคย จากนั้นไป๋หลันก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งยกสองมือประคองหน้าไม้ ยิงออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ และยิงดอกสุดท้ายไปที่โคมไฟบนเพดาน ลูกศรพุ่งผ่านโคมไฟไปปักที่เสาคาน แต่เปลวไฟในโคมดับทันที
ไป๋หลันค่อยๆ ยืนขึ้น น้ำคลอเต็มเบ้า เธอกำลังดีใจ นี่ไม่ใช่ร่างกายของเธอที่ได้รับบาดเจ็บจนยิงธนูแข่งขันไม่ได้อีก นี่คือร่างใหม่ ร่างของคนที่อายุยังน้อย แข็งแรง ไม่เคยได้รับบาดเจ็บ!!
เธอสามารถยิงธนูอีกเท่าไหร่ก็ได้แล้วใช่ไหม ไป๋หลันขยับไหล่ให้แน่ใจ หัวใจเต้นตึกตักควบคุมไม่ได้ เธอยกหน้าไม้ในมือขึ้นมาดูด้วยความปีติยินดี สองมือประคองหน้าไม้ด้วยมือสั่นเทา
‘นี่เรา..คิดถึงการยิงธนูมากขนาดเชียวเหรอ’ ไป๋หลันบ่นกับตัวเองในใจ
ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าใคร ต่างก็ต้องตกตะลึงกับฝีมือความแม่นยำมากของซู่หราน ซินซินถึงกับวิ่งมากอดไป๋หลัน
“พี่ซู่หราน ข้าเชื่อท่าน”
“ไม่ต้องร้อง ฉันบอกเธอแล้วไง เอ่อ..ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าไม่ทำ” ไป๋หลันลูบหลังของซินซินเบาๆ
ท่านพ่อ ท่านย่าและฮูหยิน ทุกคนต่างยืนเงียบ
สาวใช้ของซินซินวิ่งออกไปตามหาลูกศรที่ซู่หรานยิงออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อสาวใช้กลับมา ลูกศรดอกนั้นมีค้างคาวตัวเล็กติดกลับมาด้วย
“เจ้า..ทำ ได้ อย่างไร” ท่านพ่อถามด้วยความตกตะลึง
“ข้า..ข้า” ไป๋หลันรีบทบทวนความทรงจำของซู่หราน
“ข้ายังมีอีกหลายสิ่งที่ทำได้ และพวกท่านไม่เคยใส่ใจจะรับรู้”
ไป๋หลันพูดออกไปตามความจริง ในบ้านนี้ ไม่มีใครเลยจริงๆ ที่จะสนใจซู่หราน หรือใส่ใจเธอ ถึงพ่อจะรักเธอมากแต่ก็ออกไปทำงานตลอด เธออยู่ในบ้านที่ไม่มีแม่ ท่านย่ารังเกียจ แม่ใหม่ก็ไม่ค่อยพูด ที่สำคัญ ตัวซู่หรานเองก็เกลียดพวกเขา จึงยิ่งตีตัวออกหาก
“พี่ซู่หราน ข้าไม่ดีเอง” ซินซินร้องออกมา
ซินซินเป็นน้องสาวที่ชื่นชมซู่หรานมาก แต่ซู่หรานดันเกลียดน้องสาวเสียอย่างนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ ซู่หรานกลายเป็นเศรษฐีนีที่มีเมตตาในสายตาของผู้คน เพราะเธอได้สร้างงานให้กับหลายชีวิต สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสตรีที่แทบหางานทำไม่ได้แน่นอนว่าสิ่งที่ซู่หรานทำกระทบหลายอย่าง มีหลายคนไม่พอใจ..วันนี้ซู่หรานตื่นสาย แต่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปดูหุ่นไม้ที่สั่งทำเอาไว้ เธอต้องการให้มีหุ่น เพื่อเอาไว้แสดงสินค้าตัวจริงตั้งหน้าร้าน สั่งช่างไม้ทำไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน โดยซู่หรานวาดทุกอย่างใส่แผ่นกระดาษ เขียนบอกขนาดอย่างละเอียด เมื่อวาน ซู่หรานได้ข่าวจากผู้จัดการเฉาคุนว่าหุ่นไม้เสร็จแล้ว เธอจึงเดินทางออกจากห้องเพื่อไปดูงานสั่งทำว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ เธอไม่ชอบแต่งตัวหลายชั้น แต่โชคดีที่เธอสอนให้อิงเถาตัดเย็บเสื้อชั้นในสำหรับเก็บทรงใหญ่โตแล้ว ดังนั้นการออกไปข้างนอกวันนี้ ต่อให้ใส่เสื้อชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ไม่มีทางที่ใครจะเห็นหน้าอกของเธอเธอออกไปคุยกับช่างไม้เพียงลำพัง เพราะทุกคนต่างงานยุ่ง เมื่อดูหุ่นไม้แล้ว แม้ไม่ได้ตามมาตรฐาน แต่ถือว่าใส่เสื้อผ้าตั้งแสดงหน้าร้านได้แล้ว เธอจึงจ่ายเงินและเดินทางกลับหลังจากนั้น ซู่หรานแวะไปดูร้านที่ถนนอีกฝั่
หลังออกจากบ้านครั้งนั้น ซู่หรานสั่งให้ปิดร้านขายเสื้อชั่วคราว ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนไม่ออกไปเจอใคร ไม่ไปเรียนเขียนอักษร ไม่ไปทำความเคารพท่านย่าตอนเช้า ซินซินมาหาก็ไม่ยอมพบซู่หรานขังตัวเองอยู่ในห้องสามวันเต็มๆ วันที่สี่ เธอเดินเข้าไปหาบัณฑิตหวังในห้องหนังสือ หลังจากที่เขาออกจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ท่านพ่อ นี่คือแผนการของข้า ข้าอยากขอยืมเงินของท่านเจ้าค่ะ” เธอยื่นกระดาษปึกหนึ่งที่หนาหลายชุ่น[1]ให้เขาดูขุนนางหวังเห็นว่าลูกสาวจริงจังมาก เขาจึงรับมาเปิดดู“เจ้าจะเอาเท่าไร”“มากเจ้าค่ะ”“อือ..” เขาตอบส่งๆ อย่างน้อยลูกสาวคนนี้ก็เริ่มอยากทำอะไรจริงจังบ้างแล้วแต่ยิ่งเขาพลิกกระดาษดู เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น จากที่เขาตั้งใจจะแค่ดูผ่านๆ เขาต้องนั่งลงอ่านสิ่งที่ซู่หรานเขียนในกระดาษอย่างละเอียด ซู่หรานทำเพียงนั่งรอเงียบๆ“ใครสอนเจ้า” อ่านจบ ท่านพ่อก็ถามซู่หรานเช่นนี้“ข้าคิดเองเจ้าค่ะ” ซู่หรานบอกไม่ได้หรอกว่าเป็นผลจากการเรียนการบริหารในมหาวิทยาลัยชิงหวา ถึงแม้เธอจะเป็นนักกีฬาและเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลัก แต่พวกการบริหาร บัญชีและค้าปลีกก็เป็นวิชาที่ต้องบังคับเรียนอยู่แล้ว การเขียนแผ
‘เด็กนี่ หยิ่งชะมัด แต่ก็ยังหล่อมากเหมือนเดิม’ ซู่หรานคิดระหว่างที่เธอหน้าเจื่อน กำลังจะนั่งลง ซู่หรานเหลือบเห็นว่าปลายเท้าของจิ้งจื่อขยับเร็วๆ เตะเก้าอี้ด้านข้างของเขาจนลอยมาทางซู่หราน เธอรีบยกสองแขนขึ้นปิดหน้า‘แค่ทักทายต้องโกรธขนาดนี้เลยหรอ!!!’ ซู่หรานหัวใจหล่นวูบโครม!!เสียงเก้าอี้ปะทะกับบางคนจนล้ม ซู่หรานรีบลืมตามอง ไม่ใช่เธอที่ถูกขว้างเก้าอี้ใส่ แต่เป็นชายแก่เจ้าของร้าน อิงเถาเองก็ตกใจตาโตจนไม่กล้าขยับชั่วเวลากลั้นลมหายใจ ชายแก่รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปอีกทาง จิ้งจื่อรีบลุกขึ้นจะตามไป แต่ซู่หรานมือไวกว่า เธอคว้าถ้วยชาขว้างใส่ท้ายทอยของชายชราที่วิ่งเร็วมาก ถ้วยชาแตกกระจาย แล้วชายแก่ก็ล้มลงตรงนั้นจิ้งจื่อรีบไปจับตัวเจ้าของร้านคนนั้นเอาไว้ เขาใช้เชือกมัดตัวคนร้ายทันที ก่อนจะหันมามองทางร้านน้ำชา ซู่หรานยืนหอบหายใจ เหมือนนางก็ตกใจไม่น้อย เพียงแค่ปฏิกิริยาตอบโต้ทางร่างกายไวมากจิ้งจื่อขมวดคิ้วมุ่น เขาประหลาดใจในตัวหญิงหน้าด้านคนนั้นยิ่งขึ้น แต่ที่เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ลูกน้องสามคนของเขากำลังอ้าปากตาค้าง จ้องมองซู่หรานด้วยความตกใจขั้นสูงสุดกระทั่งจิ้งจื่อลากตัวคนร้ายมายืนอยู่หน้าร้
ท่านย่าชอบชุดที่ซู่หรานเย็บให้มาก ถึงขั้นเอ่ยปากชื่นชมในระหว่างที่ทุกคนในบ้านกำลังทานอาหารเย็นพร้อมกันยกเว้นซู่หราน และพูดลอยๆ ว่าอยากให้ซู่หรานมาหาตอนเช้าบ้าง ซินซินดีใจมากรีบเอาข่าวนี้ไปแจ้งกับพี่สาว แม้ซู่หรานจะไม่อยากตื่นเช้าไปเคารพท่านย่า แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านย่าเริ่มเอ็นดูเธอบ้างแล้ว เธอจึงถือโอกาสพูดเรื่องอยากเปิดร้านขายเสื้อในวันถัดไปที่ไปพบท่านย่าตอนเช้า“เหลวไหล สตรียังไม่ออกเรือน จะเปิดร้านขายของได้อย่างไร” ท่านพ่อขัด“ทีท่านป้ายังไม่ได้แต่งงานเช่นกัน แต่นางยังเปิดร้านได้เลย” ซู่หรานเถียง“เจ้ากับนางไม่เหมือนกัน” “ท่านพ่อ ข้ากับท่านป้าแตกต่างกันที่ใด นางยังไม่แต่งงาน นางอายุมากแล้ว ข้าต่างจากนางที่ใดกัน” ซู่หรานไม่ยอม“หรือเพราะข้าฉลาดไม่เท่านาง ให้คำปรึกษาเรื่องทางราชการไม่ได้ ข้าจึงแตกต่างจากนาง” ซู่หรานยิงตรงจุด“เจ้า!! อวดดี!” ขุนนางหวังโมโห ตบโต๊ะและลุกออกไปทันที ทุกคนในห้องโถงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก แม้แต่ท่านย่าก็ไม่กล้า นางรู้จักลูกชายของนางดีว่าเวลาโมโหน่ากลัวเพียงใด“เขาเพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้ายังสาว ยังไม่หมดหวังเช่นข้า” ท่านป้าอธิบายให้หลานสาวตัวดีฟัง“ข้ารู
ตอนนี้ซินซินก็ไม่ยอมออกจากบ้านตามพี่สาวไปอีกคน ท่านย่าเป็นห่วงมากแต่ว่าอะไรไม่ได้ เพราะขุนนางหวังไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกสาวสองคนไม่ยอมออกจากบ้าน เขาคล้ายเข้าใจว่าลูกสาวอาจกลัวเพราะเพิ่งเจอเรื่องร้ายมาซู่หรานเริ่มขอเรียนเขียนอักษรภาพกับท่านป้า เธอสนิทกับท่านป้าอย่างรวดเร็ว แม้ท่านป้าจะเข้มงวดเรื่องการเรียนมาก แต่สำหรับซู่หราน เธอชอบทำงานที่ใช้สมาธิสูงอยู่แล้ว การนั่งคัดอักษรทั้งวันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แม้จะเพิ่มตารางเรียนแล้ว แต่เธอยังคงเย็บกองผ้าห่วยๆ ของเธอต่อไปในที่สุด จิ้งซานก็ทนความคิดถึงไม่ไหว บุกมาหาถึงจวน เพราะซินซินไม่ยอมออกจากบ้าน เขาจึงเข้าไปสารภาพกับขุนนางหวังว่าชอบพอซินซินมานาน หวังจะได้แต่งงานกับซินซินเมื่อซินซินรู้เรื่องที่จิ้งซานทำ นางกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก รีบไปต่อว่าจิ้งซานต่อหน้า แต่จิ้งซานกลับดีใจที่ได้พบนางในดวงใจขุนนางหวังเห็นอาการของหนุ่มสาวก็พอดูออกบ้าง จึงอ้างกับชายหนุ่มว่า หากจิ้งซานจริงใจก็ควรบอกกล่าวบิดามารดา และส่งแม่สื่อมาสู่ขอตามประเพณี จิ้งซานดีใจมากรีบกลับไปบอกทางบ้านแน่นอนว่าฮูหยินจิ้งย่อมอยากได้ซินซินเป็นลูกสะใภ้ การที่จิ้งซานเอ่ยปากอยากแต่งงาน นาง
จิ้งจื่อไม่ได้จะหนี เขาเพียงเดินจากไป ดังนั้นแม้จะได้ยินเสียงวิ่งตามมา เขาก็ไม่ได้วิ่งหนีและไม่ได้เดินให้ช้าลง“นี่ หยุดก่อน” ซู่หรานตะโกนแบบกระซิบ“นี่ หยุดสิ” เธอยังคงตะโกนแบบกระซิบจนกระทั่งวิ่งมาจับชายแขนเสื้อของจิ้งจื่อไว้ได้ เขาจึงได้แต่ต้องหยุดฝีเท้า รีบสะบัดแขนเสื้อออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว“ในที่สุดก็หยุดเดินสักที ทำไมต้องหนีเนี่ย” ซู่หรานบ่น“ข้าไม่ได้หนี”“ไม่หนีแล้วเรียกทำไมไม่หยุด”“เหตุใดข้าต้องหยุด”“เช่นนั้นก็กำลังหนี”จิ้งจื่อหายใจลึกๆ ระงับโทสะ“ข้า ไม่ ได้ หนี” เขาหันมาเน้นทีละคำต่อหน้าซู่หราน“อ้อ เช่น นั้น เหตุ ใด จึง ไม่ หยุด” ซู่หรานพูดทีละคำตามเขาจิ้งจื่อยิ่งรู้สึกโมโหกว่าเดิม เขาหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจที่นางพูดล้อเลียนเขา“ข้าไม่อยากฟังคำสั่งของเจ้า และไม่จำเป็นต้องฟัง” เขาอธิบาย“สั่งอะไร แค่เรียกให้หยุดก่อน จะได้แก้ความเข้าใจผิดได้” ซู่หรานยกมือจุ๊ๆ ตรงปากเป็นเชิงให้เขาเบาเสียงลงอีกหน่อย พูดให้เสียงเบากว่าเขา“ข้ากับเจ้า ไม่มีอะไรต้องอธิบาย” เขายังยืนยันคำเดิม“ว้าว พวกคนหล่อหน้าตาดีมาก มักจะหยิ่งแบบนี้เสมอเลยหรอ”ซู่หรานเผลอพูดภาษาจากโลกเดิม จิ้งจื่