ไป๋หลันมองไปรอบๆ คุกแบบโบราณ ไม่มีใครถูกขังอยู่ใกล้เธอเลย ผู้ชายอีกสองคนที่อยู่ไกลๆ ก็เหมือนนอนอยู่ เธอไม่ใส่ใจพร้อมกับทบทวนความทรงจำในหัว พอเธอได้กินอาหารบ้าง มันก็ทำให้ปวดหัวน้อยลง ทำให้เธอเข้าใจอะไรๆ ชัดเจนมากขึ้น
ใช่แล้ว เธอย้อนเวลามาเข้าร่างของคนอื่น!!
ไป๋หลันไม่รู้ว่าที่นี่ปีอะไร เพราะในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม มีแต่ช่วงเวลาที่เธอไม่รู้จัก อย่างเช่น ตอนนี้เป็นรัชศกเอ้อหมิง ปีที่ 5 ก่อนหน้านี้เป็นรัชศกฉางเจ๋อ แต่ละชื่อไป๋หลันไม่คุ้นเคย ไม่เหมือนประวัติศาสตร์ที่เธอเคยเรียนเลย เธอจึงตัดสินใจว่าคงเป็นมิติอื่น
แต่ที่แน่ๆ ผู้คนพูดภาษาโบราณ แต่งชุดโบราณ และในหัวของเธอก็มีภาพความทรงจำของเจ้าของร่างอย่างซู่หรานเต็มไปหมด มิน่าล่ะถึงได้ปวดหัวมาก สมองปกติของคน คงจะเก็บความทรงจำของทั้งสองคนพร้อมๆ กันไม่ไหว ยังไงก็ต้องมีขีดจำกัดบ้าง นั่นต้องเป็นเหตุผลที่ตอนแรกเธอปวดหัวแน่
ตอนที่ตกลงมา ร่างของไป๋หลันถูกเสียบตายไปแล้ว เธอยังจำตอนถูกเสียบได้อยู่เลย แม้จะไม่ทันรู้สึกเจ็บ แต่ร่างนั้นตายแน่นอน เธอถึงได้รู้สึกว่าตกลงมาอีกครั้ง แต่ตกเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงพื้น ตกลงมานานมากๆ
และหลังจากตกมาสู่ร่างของซู่หราน ซู่หรานคงตายเพราะแรงกระแทกหรือไม่ก็พิษที่ได้รับมาก่อนหน้า ไป๋หลันถึงได้มาอยู่ในร่างของเธอได้ เรื่องแบบนี้ ออกจะเหลือเชื่อเกินไป แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
ไป๋หลันกินจนอิ่ม และเริ่มสำรวจร่างกายของซู่หราน
‘โอ้โห เอวคอด เล็กแค่ฝ่ามือโอบ สะโพกผาย ก้นแน่นมาก ไหนจะก้อนภูเขาตรงหน้านี่อีก หน้าอกใหญ่ขนาดที่สองมือกุมไม่หมด โอ้แม่เจ้า ซู่หราน เธอช่างเซ็กซี่จริงๆ ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังตกหลุมรักเลย มือก็นุ่ม แก้มก็เนียน ชักอยากส่องกระจกแล้วสิ’ ไป๋หลันตื่นเต้นในใจ
ขณะที่ไป๋หลันเตรียมจะถลกกระโปรงขึ้นอีกหน่อยเพื่อจะได้เห็นขาอ่อนของเจ้าของร่างให้ชัดๆ ก็ได้ยินเสียงบางอย่างเกิดขึ้น
ชายคนหนึ่งใส่ชุดสีแดงสด ปิดหน้าปิดตา บุกเข้ามาในคุกและพังประตูที่มีชายสองคนนอนอยู่ จากนั้น ทั้งสามคนก็วิ่งมาทางที่ไป๋หลันโดนขัง
“ตามแผนต้องไม่มีผู้ใดอยู่ไม่ใช่หรือ” ชายชุดแดงหันไปถามอีกสองคน แต่ทั้งสองคนก็แค่ปรายตามองไป๋หลัน ไม่คิดสนใจ
“ไม่ต้องสนใจ” อีกคนที่ตัวใหญ่สุดที่แขนบาดเจ็บข้างหนึ่งพูด เขารับดาบมาจากคนชุดแดงและฟันไปที่กรงไม้ไม่กี่ครั้งก็กลายเป็นช่องขนาดใหญ่พอให้บุรุษตัวโตผ่านไปได้
“ใส่ชุดแดงแหกคุก ไม่สะดุดตาเลยเนอะ” ไป๋หลันเผลอพูดออกไป
ทั้งสามคนหันขวับมามองทันที ไป๋หลันต้องรีบยกมือปิดปาก คนในชุดแดงยกดาบเตรียมจะหันมาฟันทางไป๋หลัน แต่ทันทีนั้นก็มีชายอีกคนในชุดคลุมสีดำทั้งตัว ปิดหน้าปิดตา โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ แต่เขารวดเร็วมาก วิ่งไม่ถึงอึดใจก็มาถึงตรงที่ชายทั้งสามคนยืนอยู่
เกิดการต่อสู้ชุลมุน จนคล้ายมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร เพราะทุกคนต่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไป๋หลันเห็นคือ คนในชุดดำเก่งมาก ขนาดว่าเขาสู้กับคนสามคน เขายังพลิ้วไหวจนถือได้ว่าเขาได้เปรียบที่สุดในการต่อสู้นี้
ถ้าให้ไป๋หลันบรรยาย เธอคงพูดว่า งดงามราวกับคนที่กำลังเต้นบัลเลต์ เพราะคนชุดดำ แม้เทียบตามขนาดตัวแล้ว เขาดูจะตัวเล็กกว่าอีกสามคนมาก แต่เขาว่องไวราวกับสายลม ควงกระบี่วนไปรอบๆ ในขณะที่หนุนตัวไปด้วย รวดเร็วจนมองไม่ทัน กระทั่งชายสามคนยังรับมือไม่ไหว คนที่แขนบาดเจ็บรีบหนีออกไปทางที่เตรียมไว้ ปล่อยให้ชายชุดแดงและนักโทษอีกคนสู้ต่อ
ไม่นานคนชุดแดงก็หนีอีกคน ทันทีที่ชายชุดแดงหนีออกไปทางช่องถูกฟัน นักโทษที่เหลืออยู่ก็ถูกแทงทันที ชายชุดดำรีบตามออกไปอย่างไม่ลดละ แต่ไป๋หลันสาบาน ว่าได้สบตากับคนชุดดำนั่น เขาหันมามองเธอก่อนรีบออกไป และสายตานั้น ไป๋หลันบอกได้คำเดียวว่าน่ารักมาก
‘ไท่เหอเจียนหู่ นักรบที่ศัตรูต่างหวาดเกรง ฆาตกรที่ผู้คนต่างหวาดกลัว แต่เป็นผู้ปกป้องแคว้นอี้ของเราที่ทุกคนต่างยกย่อง ไม่มีผู้ใดในแคว้นนี้ไม่รู้จัก’ เสียงในความทรงจำของซู่หร่านดังขึ้น
“ว้าว มีคนแบบนั้นอยู่จริงๆ ใช่ไหม เก่งจนน่ากลัวเลยแฮะ” ไป๋หลันยกมือมาทาบอกหอบหายใจ ราวกับตัวเองออกแรงไปมากมาย ทั้งที่สิ่งที่เธอทำคือ ยืนมองการต่อสู้นั้นอยู่เฉยๆ ในอีกฟากของลูกกรงไม้
ไป๋หลันถูกจับมาไว้ที่คุกประมาณช่วงกลางวัน มีคนแหกคุกไม่นานจากนั้น เธอจึงถูกย้ายไปอยู่ในห้องขังอื่นซึ่งเป็นห้องขังรวม แม้ผู้คุมหลายคนจะไม่สบายใจ เพราะอย่างไรซู่หรานก็เป็นลูกของขุนนาง ถึงจะเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ชั้นเก้า แต่พ่อของซู่หรานถือว่าเป็นบัณฑิตที่มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย ผู้คุมจำต้องตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัยยังไงก็ต้องย้าย ไป๋หลันได้แต่นั่งมุมห้องด้วยความอึดอัดใจ นี่เธอต้องอยู่ในคุกนี่อีกกี่วันกัน เธอไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ เลย
ตกเย็น เมื่อท่านพ่อของซู่หรานมาถึงศาล และรู้ว่าซู่หรานถูกย้ายไปขังในห้องขังรวมเพราะมีเหตุปล้นคุก เขาตกใจมาก รีบวิ่งไปตามหาตัวลูกสาว
“ท่านพ่อ” ไป๋หลันยืนขึ้น
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ถูกทำร้ายที่ใดหรือไม่” ท่านพ่อที่เคยถึงขั้นตบหน้าเธอ ยามนี้กลับเป็นห่วงเธออย่างมาก
“ข้าไม่เป็นไร” ไป๋หลันอยากบอกว่าสบายดีมาก แค่เจ็บแผลในปากที่ถูกท่านพ่อตบเมื่อเช้า แต่เธอไม่ได้พูดไป
“ท่านพ่อมารับข้าหรือ ไม่ต้องนอนที่นี่แล้วใช่หรือไม่” ไป๋หลันถามออกไป
“คือ..พ่อให้ท่านหมอตรวจสุนัขนั่นแล้ว มันป่วยจริงๆ ยามที่มันเข้ามาในจวน น้องของเจ้าบอกว่าเจ้าถูกขังอยู่ในห้อง นางยังขอร้องว่าเจ้าตั้งใจช่วยนางจริงๆ ท่านย่าและท่านแม่จึงอนุญาตให้พาเจ้ากลับไปไต่สวนที่บ้าน จะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่นไปทั่ว”
ท่านพ่อของซู่หรานทำเป็นขรึม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นห่วงนางมาก พอรู้ว่านางสบายดีจึงวางใจได้บ้าง กลับมาปั้นหน้าเย็นชาสั่งสอนลูกสาวต่อไป เขาก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่ตบหน้าลูกไปไม่น้อย
ไป๋หลันถูกพากลับบ้านและต้องมานั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง ที่มีท่านย่ากับท่านพ่อทำตัวเป็นใต้เท้าคอยตัดสินโทษ ส่วนเมียเอกของพ่อนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างด้วยสีหน้ากังวล มีน้องสาวของซู่หรานยืนสีหน้ากังวลอยู่ด้านหลัง
ไป๋หลันไม่แน่ใจเลยว่าแบบนี้ยังเรียกว่าเป็นครอบครัวกันได้ไหม แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกของเธอ ได้แต่ก้มหน้ารับความแปลกประหลาดของวัฒนธรรม เธอแอบสัญญาในใจว่าถ้าเธอมีลูก จะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด
“ข้าเห็นแก่ซินซิน นางเอาแต่ร้องไห้ขอร้องแทนเจ้า จึงไม่เอาความเรื่องหน้าไม้พระราชทาน เห็นแก่ความตั้งใจที่จะช่วยน้อง เจ้าอ้างว่ามั่นใจ ไม่มีทางยิงพลาด เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร” ท่านย่าเชิดหน้ามองมาทางไป๋หลัน
“พิสูจน์?” ไป๋หลันทวน ในใจกำลังลิงโลดดีใจ เพราะถ้าผู้ใหญ่พูดแต่เรื่องนี้ แสดงว่าเรื่องที่ซู่หรานเป็นคนปล่อยหมาเข้ามายังไม่มีใครรู้ ถ้างั้นก็ยังพอถูไถแก้ตัวไปได้ ยังไงเรื่องร้ายก็ยังไม่เกิด ไป๋หลันจะแก้ไขให้เอง
มีคนแนะนำ ไรท์เลยมาเพิ่มประกาศค่ะ
นางเอกป่วย เป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพของกลุ่มอาการที่เรียกว่า Avoidant Personality Disorder เป็นความรู้สึกกลัวถูกปฏิเสธหรือกลัวถูกตัดสิน มักเกิดเวลาที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน บางคนเป็นมากบางคนเป็นน้อย ถ้าเป็นคนที่รู้จักก็จะมีความรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก ยิ่งเป็นคนที่ตัวเองชอบจะยิ่งกลัว ยิ่งชอบเขามากก็ยิ่งกลัวมาก เพราะถ้าโดนปฏิเสธหรือถูกตัดสินจากคนที่ชอบจะส่งผลกระทบต่อจิตใจได้มากกว่า มักมองโลกในแง่ลบ ไว้ใจใครสักคนยาก และชอบแยกตัวออกจากสังคม ชอบรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าหรือดีไม่พอ ไม่ควรได้รับความรักหรือความหวังดีจากใคร ส่งผลให้ไม่ชอบและไม่กล้ามีปฏิสัมพันธ์กับใคร มีอาการกลัวการเข้าสังคม ไม่มีความมั่นใจ ยิ่งอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบเลยยิ่งทำอะไรบ้งๆ โดยไม่ตั้งใจ (นางเอกมักควบคุมปากตัวเองไม่ได้ พูดไปแล้วก็รู้สึกอยากด่าตัวเองตลอด สังเกตว่าเวลาอยู่กับจิ้งจื่อจะเป็นบ่อยมาก) ที่จริงนางดีขึ้นตั้งแต่มาที่โลกนี้แล้ว มีความมั่นใจมากขึ้น แต่เวลาตื่นเต้น ตึงเครียดหรือคนเยอะๆ หรืออยู่ต่อหน้าคนที่ชอบก็จะหลุดบ่อยค่ะ ยังไม่หายดี ถ้าสังเกต นางเอกรู้ตัวค่ะว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ควรไปแล้ว แต่บางครั้งมันตึงเครียดมากจนห้ามปากไม่ได้ สมองเหมือนถูกฟรีดไว้ชั่วคราว เรื่องที่ดูธรรมดาสำหรับเรา มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนที่มีอาการแบบนางเอกค่ะ อยากให้เข้าใจตรงจุดนี้นะคะ
การที่นางเอกอยู่ในห้องได้เป็นเดือนๆปีๆ มันไม่ใช่เรื่องปกติหรือเป็นแค่ความขี้เกียจเท่านั้นค่ะ แต่เป็นเพราะเขาต้องการการรักษาทางจิตใจอย่างเร่งด่วน เป็นอาการป่วยที่คนอื่นๆมองไม่เห็นค่ะ (นางป่วยค่ะ อย่าเพิ่งรำคาญหรือรีบเทนะคะ ช่วยอยู่เป็นกำลังใจให้นางเอกของไรท์ต่อไปด้วยค่ะ)เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ ซู่หรานกลายเป็นเศรษฐีนีที่มีเมตตาในสายตาของผู้คน เพราะเธอได้สร้างงานให้กับหลายชีวิต สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสตรีที่แทบหางานทำไม่ได้แน่นอนว่าสิ่งที่ซู่หรานทำกระทบหลายอย่าง มีหลายคนไม่พอใจ..วันนี้ซู่หรานตื่นสาย แต่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปดูหุ่นไม้ที่สั่งทำเอาไว้ เธอต้องการให้มีหุ่น เพื่อเอาไว้แสดงสินค้าตัวจริงตั้งหน้าร้าน สั่งช่างไม้ทำไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน โดยซู่หรานวาดทุกอย่างใส่แผ่นกระดาษ เขียนบอกขนาดอย่างละเอียด เมื่อวาน ซู่หรานได้ข่าวจากผู้จัดการเฉาคุนว่าหุ่นไม้เสร็จแล้ว เธอจึงเดินทางออกจากห้องเพื่อไปดูงานสั่งทำว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ เธอไม่ชอบแต่งตัวหลายชั้น แต่โชคดีที่เธอสอนให้อิงเถาตัดเย็บเสื้อชั้นในสำหรับเก็บทรงใหญ่โตแล้ว ดังนั้นการออกไปข้างนอกวันนี้ ต่อให้ใส่เสื้อชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ไม่มีทางที่ใครจะเห็นหน้าอกของเธอเธอออกไปคุยกับช่างไม้เพียงลำพัง เพราะทุกคนต่างงานยุ่ง เมื่อดูหุ่นไม้แล้ว แม้ไม่ได้ตามมาตรฐาน แต่ถือว่าใส่เสื้อผ้าตั้งแสดงหน้าร้านได้แล้ว เธอจึงจ่ายเงินและเดินทางกลับหลังจากนั้น ซู่หรานแวะไปดูร้านที่ถนนอีกฝั่
หลังออกจากบ้านครั้งนั้น ซู่หรานสั่งให้ปิดร้านขายเสื้อชั่วคราว ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนไม่ออกไปเจอใคร ไม่ไปเรียนเขียนอักษร ไม่ไปทำความเคารพท่านย่าตอนเช้า ซินซินมาหาก็ไม่ยอมพบซู่หรานขังตัวเองอยู่ในห้องสามวันเต็มๆ วันที่สี่ เธอเดินเข้าไปหาบัณฑิตหวังในห้องหนังสือ หลังจากที่เขาออกจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ท่านพ่อ นี่คือแผนการของข้า ข้าอยากขอยืมเงินของท่านเจ้าค่ะ” เธอยื่นกระดาษปึกหนึ่งที่หนาหลายชุ่น[1]ให้เขาดูขุนนางหวังเห็นว่าลูกสาวจริงจังมาก เขาจึงรับมาเปิดดู“เจ้าจะเอาเท่าไร”“มากเจ้าค่ะ”“อือ..” เขาตอบส่งๆ อย่างน้อยลูกสาวคนนี้ก็เริ่มอยากทำอะไรจริงจังบ้างแล้วแต่ยิ่งเขาพลิกกระดาษดู เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น จากที่เขาตั้งใจจะแค่ดูผ่านๆ เขาต้องนั่งลงอ่านสิ่งที่ซู่หรานเขียนในกระดาษอย่างละเอียด ซู่หรานทำเพียงนั่งรอเงียบๆ“ใครสอนเจ้า” อ่านจบ ท่านพ่อก็ถามซู่หรานเช่นนี้“ข้าคิดเองเจ้าค่ะ” ซู่หรานบอกไม่ได้หรอกว่าเป็นผลจากการเรียนการบริหารในมหาวิทยาลัยชิงหวา ถึงแม้เธอจะเป็นนักกีฬาและเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลัก แต่พวกการบริหาร บัญชีและค้าปลีกก็เป็นวิชาที่ต้องบังคับเรียนอยู่แล้ว การเขียนแผ
‘เด็กนี่ หยิ่งชะมัด แต่ก็ยังหล่อมากเหมือนเดิม’ ซู่หรานคิดระหว่างที่เธอหน้าเจื่อน กำลังจะนั่งลง ซู่หรานเหลือบเห็นว่าปลายเท้าของจิ้งจื่อขยับเร็วๆ เตะเก้าอี้ด้านข้างของเขาจนลอยมาทางซู่หราน เธอรีบยกสองแขนขึ้นปิดหน้า‘แค่ทักทายต้องโกรธขนาดนี้เลยหรอ!!!’ ซู่หรานหัวใจหล่นวูบโครม!!เสียงเก้าอี้ปะทะกับบางคนจนล้ม ซู่หรานรีบลืมตามอง ไม่ใช่เธอที่ถูกขว้างเก้าอี้ใส่ แต่เป็นชายแก่เจ้าของร้าน อิงเถาเองก็ตกใจตาโตจนไม่กล้าขยับชั่วเวลากลั้นลมหายใจ ชายแก่รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปอีกทาง จิ้งจื่อรีบลุกขึ้นจะตามไป แต่ซู่หรานมือไวกว่า เธอคว้าถ้วยชาขว้างใส่ท้ายทอยของชายชราที่วิ่งเร็วมาก ถ้วยชาแตกกระจาย แล้วชายแก่ก็ล้มลงตรงนั้นจิ้งจื่อรีบไปจับตัวเจ้าของร้านคนนั้นเอาไว้ เขาใช้เชือกมัดตัวคนร้ายทันที ก่อนจะหันมามองทางร้านน้ำชา ซู่หรานยืนหอบหายใจ เหมือนนางก็ตกใจไม่น้อย เพียงแค่ปฏิกิริยาตอบโต้ทางร่างกายไวมากจิ้งจื่อขมวดคิ้วมุ่น เขาประหลาดใจในตัวหญิงหน้าด้านคนนั้นยิ่งขึ้น แต่ที่เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ลูกน้องสามคนของเขากำลังอ้าปากตาค้าง จ้องมองซู่หรานด้วยความตกใจขั้นสูงสุดกระทั่งจิ้งจื่อลากตัวคนร้ายมายืนอยู่หน้าร้
ท่านย่าชอบชุดที่ซู่หรานเย็บให้มาก ถึงขั้นเอ่ยปากชื่นชมในระหว่างที่ทุกคนในบ้านกำลังทานอาหารเย็นพร้อมกันยกเว้นซู่หราน และพูดลอยๆ ว่าอยากให้ซู่หรานมาหาตอนเช้าบ้าง ซินซินดีใจมากรีบเอาข่าวนี้ไปแจ้งกับพี่สาว แม้ซู่หรานจะไม่อยากตื่นเช้าไปเคารพท่านย่า แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านย่าเริ่มเอ็นดูเธอบ้างแล้ว เธอจึงถือโอกาสพูดเรื่องอยากเปิดร้านขายเสื้อในวันถัดไปที่ไปพบท่านย่าตอนเช้า“เหลวไหล สตรียังไม่ออกเรือน จะเปิดร้านขายของได้อย่างไร” ท่านพ่อขัด“ทีท่านป้ายังไม่ได้แต่งงานเช่นกัน แต่นางยังเปิดร้านได้เลย” ซู่หรานเถียง“เจ้ากับนางไม่เหมือนกัน” “ท่านพ่อ ข้ากับท่านป้าแตกต่างกันที่ใด นางยังไม่แต่งงาน นางอายุมากแล้ว ข้าต่างจากนางที่ใดกัน” ซู่หรานไม่ยอม“หรือเพราะข้าฉลาดไม่เท่านาง ให้คำปรึกษาเรื่องทางราชการไม่ได้ ข้าจึงแตกต่างจากนาง” ซู่หรานยิงตรงจุด“เจ้า!! อวดดี!” ขุนนางหวังโมโห ตบโต๊ะและลุกออกไปทันที ทุกคนในห้องโถงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก แม้แต่ท่านย่าก็ไม่กล้า นางรู้จักลูกชายของนางดีว่าเวลาโมโหน่ากลัวเพียงใด“เขาเพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้ายังสาว ยังไม่หมดหวังเช่นข้า” ท่านป้าอธิบายให้หลานสาวตัวดีฟัง“ข้ารู
ตอนนี้ซินซินก็ไม่ยอมออกจากบ้านตามพี่สาวไปอีกคน ท่านย่าเป็นห่วงมากแต่ว่าอะไรไม่ได้ เพราะขุนนางหวังไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกสาวสองคนไม่ยอมออกจากบ้าน เขาคล้ายเข้าใจว่าลูกสาวอาจกลัวเพราะเพิ่งเจอเรื่องร้ายมาซู่หรานเริ่มขอเรียนเขียนอักษรภาพกับท่านป้า เธอสนิทกับท่านป้าอย่างรวดเร็ว แม้ท่านป้าจะเข้มงวดเรื่องการเรียนมาก แต่สำหรับซู่หราน เธอชอบทำงานที่ใช้สมาธิสูงอยู่แล้ว การนั่งคัดอักษรทั้งวันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แม้จะเพิ่มตารางเรียนแล้ว แต่เธอยังคงเย็บกองผ้าห่วยๆ ของเธอต่อไปในที่สุด จิ้งซานก็ทนความคิดถึงไม่ไหว บุกมาหาถึงจวน เพราะซินซินไม่ยอมออกจากบ้าน เขาจึงเข้าไปสารภาพกับขุนนางหวังว่าชอบพอซินซินมานาน หวังจะได้แต่งงานกับซินซินเมื่อซินซินรู้เรื่องที่จิ้งซานทำ นางกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก รีบไปต่อว่าจิ้งซานต่อหน้า แต่จิ้งซานกลับดีใจที่ได้พบนางในดวงใจขุนนางหวังเห็นอาการของหนุ่มสาวก็พอดูออกบ้าง จึงอ้างกับชายหนุ่มว่า หากจิ้งซานจริงใจก็ควรบอกกล่าวบิดามารดา และส่งแม่สื่อมาสู่ขอตามประเพณี จิ้งซานดีใจมากรีบกลับไปบอกทางบ้านแน่นอนว่าฮูหยินจิ้งย่อมอยากได้ซินซินเป็นลูกสะใภ้ การที่จิ้งซานเอ่ยปากอยากแต่งงาน นาง
จิ้งจื่อไม่ได้จะหนี เขาเพียงเดินจากไป ดังนั้นแม้จะได้ยินเสียงวิ่งตามมา เขาก็ไม่ได้วิ่งหนีและไม่ได้เดินให้ช้าลง“นี่ หยุดก่อน” ซู่หรานตะโกนแบบกระซิบ“นี่ หยุดสิ” เธอยังคงตะโกนแบบกระซิบจนกระทั่งวิ่งมาจับชายแขนเสื้อของจิ้งจื่อไว้ได้ เขาจึงได้แต่ต้องหยุดฝีเท้า รีบสะบัดแขนเสื้อออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว“ในที่สุดก็หยุดเดินสักที ทำไมต้องหนีเนี่ย” ซู่หรานบ่น“ข้าไม่ได้หนี”“ไม่หนีแล้วเรียกทำไมไม่หยุด”“เหตุใดข้าต้องหยุด”“เช่นนั้นก็กำลังหนี”จิ้งจื่อหายใจลึกๆ ระงับโทสะ“ข้า ไม่ ได้ หนี” เขาหันมาเน้นทีละคำต่อหน้าซู่หราน“อ้อ เช่น นั้น เหตุ ใด จึง ไม่ หยุด” ซู่หรานพูดทีละคำตามเขาจิ้งจื่อยิ่งรู้สึกโมโหกว่าเดิม เขาหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจที่นางพูดล้อเลียนเขา“ข้าไม่อยากฟังคำสั่งของเจ้า และไม่จำเป็นต้องฟัง” เขาอธิบาย“สั่งอะไร แค่เรียกให้หยุดก่อน จะได้แก้ความเข้าใจผิดได้” ซู่หรานยกมือจุ๊ๆ ตรงปากเป็นเชิงให้เขาเบาเสียงลงอีกหน่อย พูดให้เสียงเบากว่าเขา“ข้ากับเจ้า ไม่มีอะไรต้องอธิบาย” เขายังยืนยันคำเดิม“ว้าว พวกคนหล่อหน้าตาดีมาก มักจะหยิ่งแบบนี้เสมอเลยหรอ”ซู่หรานเผลอพูดภาษาจากโลกเดิม จิ้งจื่