Share

บทที่ 5

Author: อิงเซี่ย
ภายในห้อง

เดิมทีซูมั่วหลับสนิทไปแล้ว ทว่าถูกเสียงทุบประตูและเสียงตะโกนโหวกเหวกปลุกให้ตื่น เธอขมวดคิ้ว พลางลุกขึ้นไปเปิดไฟ เดินกะเผลกไปทางประตู

“ซู...” ด้านนอกประตู ฟู่อี้ชวนตบประตูอย่างแรงอีกครั้ง สุดท้ายมือก็ทุบลงบนความว่างเปล่า

“นายกลับมาทำไม เป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้มาทุบประตูตอนดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้” ซูมั่วพูดน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ทั้งยังแฝงความรำคาญไว้ด้วย

ฟู่อี้ชวนมองท่าทีแบบนี้ของเธอแล้ว ก็ยิ่งพาลโมโห เขายื่นมือออกไปคว้าแขนของเธอไว้ในทันที พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉันกลับมาทำไมน่ะเหรอ? ฉันกลับมาบ้านตัวเองมันผิดปกติตรงไหน?”

ไฟที่เกิดจากความหงุดหงิดของซูมั่วเมื่อครู่นี้หายวับไปทันที เธอก้มหน้าพลางขมวดคิ้ว เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา

ฟู่อี้ชวนคิดว่าเพราะเขาตะคอกใส่ เธอจึงมีท่าทางว่าง่ายขึ้นมาแบบนั้น ทว่าสุดท้ายเมื่อมืออีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกลับจับข้อมือของเขาออก ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ในตอนนี้เองว่าความรู้สึกจากกลางฝ่ามือของเธอดูไม่ปกติ

เขาเป็นฝ่ายปล่อยมือออกเอง แล้วมองฝ่ามือ...

เลือด?

ฟู่อี้ชวนบีบแรง บาดแผลของซูมั่วถูกบีบจนเจ็บไปหมด หยาดน้ำตาร่วงหล่น เธอถลึงตาจดจ้องผู้ชายที่ทำตัวบ้าคลั่งกลางดึกแบบนี้

“เธอบาดเจ็บเหรอ?” ฟู่อี้ชวนอยากเข้าไปดูแขนของเธอ แต่อีกฝ่ายกลับหลบเขาด้วยท่าทีเย็นชา

“นายถามฉัน? นี่ไม่ใช่ฝีมือนายหรือไง?” ซูมั่วถามกลับ

ฟู่อี้ชวนชะงักไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองโยนเธอลงข้างทาง

เคลื่อนสายตาไปอีกทาง บนข้อศอกของซูมั่วผิวถลอกเป็นปื้นใหญ่ และเพราะแรงบีบของเขา เลือดถึงได้เริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น ฟู่อี้ชวนเลื่อนสายตามองลงไป นอกจากตุ่มน้ำบนหลังเท้าแล้ว ที่ข้อเท้าของซูมั่วก็ถูกพันเอาไว้ ซึ่งด้านบนมีเลือดซึมอยู่ด้วย

ริมฝีปากสั่นไหว เขาอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ซูมั่วกลับหมุนตัวและจะปิดประตู

“ปล่อย” ซูมั่วปิดประตูไม่ได้ จึงขมวดคิ้วพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

สุดท้ายแล้วฟู่อี้ชวนก็พูดคำว่าขอโทษไม่ออก ทว่ากลับโพล่งออกมาว่า

“ทำไมไม่รับสายฉัน? เธอรู้ไหมว่าฉัน...”

ซูมั่วได้ยินแบบนั้นก็กระตุกมุมปาก เหอะ ๆ ที่แท้ที่เขาเกิดบ้ามาทุบประตูห้องกลางดึกแบบนี้เพราะไม่รับสายเขา?

ช่างเป็นเหตุผลที่แสนจะสำคัญเหลือเกิน

เธอกะเผลก ๆ ไปทางหัวเตียง ฟู่อี้ชวนมองแผ่นหลังของเธอ พลันเกิดความอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“โทรศัพท์ตกพื้นจนหน้าจอแตกยับ มันพังจนเปิดเครื่องไม่ได้ เหตุผลนี้นายพอใจหรือยัง?” ซูมั่วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพลางทำทียื่นให้ฟู่อี้ชวน

มองหน้าจอที่แตกละเอียด ฟู่อี้ชวนก็ไม่มีคำใดจะพูดออกมาได้แล้ว

“ซูมั่ว...” เขาเอ่ยปาก ทว่าประตูห้องกลับปิดลงดังปังในทันที เขาถูกกันไว้ด้านนอกประตูทั้งอย่างนั้น

สุดท้ายหลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนานหลายวินาที ฟู่อี้ชวนถึงได้ค่อย ๆ หมุนตัวเดินจากไป

ภายในห้อง ซูมั่วที่ถูกปลุกให้ตื่นรู้สึกหงุดหงิดมาก เธอนึกถึงที่ฟู่อี้ชวนบอกว่าโทรศัพท์มาหาเธอจึงเปิดเครื่องโทรศัพท์ดู ซึ่งก็มีการโทรศัพท์เข้ามาสามสิบสี่สิบสายจริงๆ

บ้าชัด ๆ ในเมื่อโยนเธอทิ้งแล้วไปอยู่กับเย่ซินหย่าแล้วแท้ ๆ จะโทรศัพท์เข้ามาหลายสายแบบนี้ทำไม?

เธอปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วล้มตัวนอนโดยไม่คิดอะไรให้มากความอีก

ห้องนอนหลัก

ฟู่อี้ชวนอาบน้ำอย่างลวก ๆ แล้วขึ้นเตียงนอน

หน้าจอโทรศัพท์พลันสว่างวาบ เป็นข้อความที่เย่ซินหย่าส่งมาหาเขา เธอถามว่าซูมั่วเป็นอะไรหรือเปล่า เขากลับถึงบ้านปลอดภัยดีไหม และขอให้เขาไม่ทำให้ซูมั่วลำบากใจ

เมื่อฟู่อี้ชวนอ่านจบ ความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ต่อซูมั่วที่เดิมทีเกิดขึ้นในใจนั้นมลายหายไปไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยในยามนี้ นึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่ใช่ซูมั่วที่จงใจจะให้น้ำซุปลวกเย่ซินหย่าก่อน ก็คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้ตามมา

[จะไปสนใจเขาทำไม เธอรีบนอนเถอะ กู๊ดไนท์]

ภายในโรงแรม หลังส่งข้อความออกไป

เย่ซินหย่ากระตุกยิ้มมุมปาก เห็นท่าทีเอือมระอาที่ฟู่อี้ชวนมีให้ซูมั่วแล้ว เธอทั้งดีใจทั้งพอใจมาก

ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาแล้ว พรุ่งนี้ฟู่อี้ชวนยังต้องไปทำงาน เขาจึงปิดไฟนอน ทว่าผ่านไปไม่นาน ความแสบร้อนจากกระเพาะก็ทำให้เขาจำเป็นต้องลุกขึ้นมา

เขาเริ่มเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว ตอนนั้นมีซินหย่าคอยกำชับให้เขากินข้าวทุกวัน คอยมอบความเป็นห่วงเป็นใยแก่เขาทุกอย่าง

ต่อมาเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย โรคกระเพาะก็ไม่มีอาการกำเริบใด ๆ อีก ทว่าพอได้ทำงานก็มีงานเลี้ยงให้เข้าร่วม ทำให้อาการกลับมากำเริบอีกครั้ง ซึ่งซูมั่วจะคอยเตรียมซุปสร่างเมาและบำรุงกระเพาะไว้ให้เขาทุกวัน ถึงได้นอนหลับสบายจนถึงเช้า

เขาไปถึงห้องครัว เดิมทีคิดว่าซูมั่วจะเก็บไว้อีกสักชุด ทว่าบนเตากับในตู้เย็นกลับว่างเปล่า

ครั้นนึกถึงน้ำซุปร้อน ๆ ที่หกรดอยู่หน้าประตูห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวแล้ว เขาพลันนึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็โมโหซูมั่วอีกครั้งที่ไม่รู้จักเตรียมไว้ให้มากหน่อย

เขาคิดจะไปปลุกให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาทำให้ใหม่อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ทว่าทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้าอีกครั้ง

เม้มปากเงียบไปเล็กน้อย ฟู่อี้ชวนจะไปเปิดกล่องปฐมพยาบาลควานหายามากิน แต่ก็ต้องมาเจอว่ากล่องปฐมพยาบาลหายไป

ขณะที่กำลังขมวดคิ้วนั้น เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนอยู่หน้าประตูห้องเขาเหลือบไปเห็นหัวเตียงของเธอ กล่องปฐมพยาบาลอยู่ที่นั่น

อาจจะเป็นเพราะมโนธรรมที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เขาจึงไม่ได้ทุบประตูอีก แต่ไปหากุญแจห้องสำรองมา พอหาเจอก็เอาไปไขเปิดประตู

ลูกบิดประตูขยับเบา ๆ เสียง “แกร๊ก” ทำเอาฟู่อี้ชวนอดสูดลมหายใจไม่ได้ เขาวางฝีเท้าเบา ๆ

สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขันเหลือเกิน บ้านของเขาแท้ ๆ แต่กลับต้องทำตัวเหมือนขโมย

ภายในห้องมืดสลัว กลิ่นน้ำหอลอยอบอวลจาง ๆ ขณะเดียวกันก็พ่วงมาด้วยกลิ่นยา

คนบนเตียงกำลังนอนตะแคงข้าง คลุมตัวไว้ด้วยมุมผ้าห่มบาง ๆ เพียงมุมเดียว ฟู่อี้ชวนไม่ได้มองนานนัก เขาเตรียมหยิบกล่องปฐมพยาบาลแล้วก็ออกไป

ทว่ายามยืดตัวขึ้นนั้น หางตาพลันเหลือไปเห็นบริเวณหลังเอวของคนบนเตียงที่ถูกแสงไฟที่ลอดมาจากทางประตูส่องเข้ามาพอดิบพอดี

ปลายเสื้อม้วนขึ้นมาเล็กน้อย รอยช้ำสีม่วงปื้นใหญ่ปรากฏอยู่บนผิว แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว ๆ แต่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

การเคลื่อนไหวของฟู่อี้ชวนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่ที่เดิมสองวินาที ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังยืดตัวขึ้นเดินออกไป และปิดประตูห้องเบา ๆ

มันก็แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ถึงแก่ชีวิตอะไรสักหน่อย

และถ้าเธอไม่ได้อิจฉาซินหย่า ไม่ทำให้หลังเท้าของตัวเองบาดเจ็บจากการถูกลวกแบบนั้น แล้วเขาจะไปอุ้มเธอทำไม? แล้วเธอจะล้มลงไปจนบาดเจ็บแบบนั้นได้ที่ไหน?
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 254

    กระดูกก้นกบ...บริเวณนั้นคงผ่าตัดยากสินะ?กระดูกร้าว...นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?ตำแหน่งนั้น หรือว่าฟู่อี้ชวนตั้งใจจะใช้เท้าเตะท้องซูมั่ว แต่ซูมั่วพลิกตัวหลบ เลยถูกเตะเข้าที่ก้นกบ?มือที่ยันคางของหลีเชินกำแน่นขึ้นเขารู้ว่าซูมั่วผอมแค่ไหน ถ้าว่ากันตามแรงของฟู่อี้ชวน แค่เตะอย่างเดียว หากเตะอีกสักสองทีก็คงตายคาที่ได้เลย“เดี๋ยวนะ ทำไมนายใส่ใจอาการบาดเจ็บของลูกความฉันขนาดนี้” คำพูดของเจิ้งเซวียนดังขึ้นอย่างกะทันหันโดยเฉพาะคำว่า ‘ใส่ใจ’ สองพยางค์นี้ที่เตือนสติเขา เพราะเมื่อครู่หลีเชินก็เพิ่งใส่ใจผู้หญิงบางคนไป แถมก่อนจะพูดถึงเธอยังพูดเบี่ยงไปถึงน้องสาวเขาก่อนด้วยทันใดนั้น เจิ้งเซวียนที่มีประสบการณ์โชกโชนด้านความรักก็เข้าใจทันที และเบิกตากว้างพลางพูด“คนที่นายชอบคือซูมั่วเหรอ??”คำพูดนี้เสียงดังลั่น ดึงสติของหลีเชินกลับมา จากนั้นก็ปฏิเสธทันที“นายพูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย เป็นทนายกลับปล่อยข่าวลือ รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎหมาย”“งั้นนายบอกฉันมาสิว่าผู้หญิงที่นายนึกถึงจนว้าวุ่นเมื่อกี้คือเธอหรือเปล่า?” เจิ้งเซวียนหรี่ตา และถามหลีเชินชะงักไปครึ่งวินาที และช่องว่างในจังหวะนั้น เจิ้งเซวียนก็ชี้ข

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 253

    หลีเชินมองเขา สีหน้านิ่งค้าง จากนั้นเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วที่จับแก้วเหล้าแน่นขึ้นหลายส่วน“รีบบอกฉันเร็วสิ พี่สะใภ้ชื่ออะไร? เป็นคนจากวงการไหน? ฉันรู้จักไหม?” เจิ้งเซวียนตื่นเต้นขึ้นมา จิตวิญญาณความอยากรู้อยากเห็นลุกโชนได้ยินคำพูดนี้ หลีเชินก็เหมือนมีเส้นขีดสีดำที่หน้าผาก พูดอย่างจริงจัง“พี่สะใภ้อะไรกัน พวกเราเคยเจอกันแค่สองสามครั้งเอง”“แสดงว่าเป็นรักแรกพบน่ะสิ~” เจิ้งเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม“ดูท่าอีกฝ่านจะรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยสิ? เป็นสาวสวย มีเสน่ห์โดดเด่น” เจิ้งเซวียนพูดต่อหลีเชิน “...”ในหัวเขาผุดใบหน้าของซูมั่วขึ้นมา ความจริงแล้วเจิ้งเซวียนก็เดาไม่ผิด เพียงแต่...“ไม่ใช่อย่างที่นายคิด” หลีเชินพูดแก้ทันทีเจิ้งเซวียนยิ้มโดยไม่พูด ยักคิ้วขึ้น ดวงตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกยกขึ้น สีหน้าแสดงความรู้สึกว่า ‘ฉันรู้ ฉันเข้าใจฉัน รับทราบแล้ว’หลีเชิน “...”“ไม่ใช่จริง ๆ ฉันกับเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็แค่ช่วงนี้ได้ติดต่อกันทางอ้อมบ่อยขึ้น” หลีเชินพูดอีกครั้งจาก ‘อดีตภรรยาของฟู่อี้ชวน’ มาจนถึง ‘เพื่อนของน้องสาว’ และยังเป็นพนักงานของบริษัทคู่ค้า กระทั่งงานที่เจิ้งเซวียนรับมาด้วยถึงยั

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 252

    หลีเชินสั่งอาหารแล้ว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทอดถอนใจอะไรนักเพราะในมุมมองของเขาต่อให้เจิ้งเซวียนไม่ได้อยู่ในวงการธุรกิจแล้ว แต่ตราบใดที่อยากเจอหลีโย่ว ก็ไปหาที่บ้านเขาโดยตรงได้นี่?พวกเขาสองคนก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกัน เพื่อนเก่ากลับมาพบกันจึงดื่มไปหลายแก้วเจิ้งเซวียนเล่าเรื่องการก่อตั้งธุรกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขา หลีเชินก็ฟังไป สำนักงานกฎหมายปั๋วเหวินในตอนนี้ถือว่าอยู่ในอันดับท็อปสามของเมืองจิงจากหนุ่มคาสโนวาที่เริ่มต้นจากศูนย์ มีผลงานได้แบบนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเจิ้งเซวียนก็รู้จักแต่จีบสาวและสำมะเลเทเมา“แล้วนายล่ะ หลังจากเรียนต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับช่วงต่อธุรกิจของตระกูล ทั้งยังไม่มีพี่น้องมาแก่งแย่งกัน หลังจากตั้งหลักได้แล้วก็ควรสร้างครอบครัวนะ” เจิ้งเซวียนพูด“นายคิดแทนฉันไกลไปหน่อยนะ” หลีเชินกล่าว“ไม่ใช่ว่าวันนี้ฉันยังต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เลยเหรอ? ตระกูลหลีต้องก้าวไปอีกขั้น ส่วนเรื่องอื่นตอนนี้ยังไม่ได้คิด”เจิ้งเซวียนได้ยินก็ยิ้ม หลีเชินเป็นเพื่อนที่มีความพยายามที่จะก้าวหน้าที่สุดของเขา เป็นแบบอย่างของทายาทที่ยอดเยี่ยมของตระกูล เมื่อก่อนเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 251

    [เธอพูดอะไรเนี่ย? ขายหน้าอะไร? ฉันทำอะไร?]หลีโย่วเห็นข้อความนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเวียนหัวขึ้นมานี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอีคิวของพี่ชายเธอน่าเป็นห่วง ไม่เคยมีความรักไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นชายแท้แบบนี้ได้นะ!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสัปดาห์ก่อนที่ติ่งเซิ่งไม่ใช่ว่าไปแกล้งหยอกล้อมั่วมั่วอย่างกับปลากระดี่ได้น้ำเหรอ??นี่มันขัดแย้งเกินไปจริง ๆ เธอจึงตอบกลับ[ซูมั่วเป็นผู้หญิงนะ! พี่แช่งให้เธอเป็นริดสีดวงเนี่ยนะ? นี่มันสมเหตุสมผลเหรอ? นี่มันสุภาพเหรอ? นี่เป็นคำที่พี่พูดได้เหรอ?]ภายในห้องทำงานหลีเชินมองโทรศัพท์ แล้วเม้มปากเงียบ ๆเขาไม่ได้แช่งเสียหน่อย ก็แค่วิเคราะห์จากมุมมองทางการแพทย์ ว่านั่งชักโครกนาน ๆ เสี่ยงเป็นริดสีดวงได้ง่ายจริง ๆ ซึ่งไม่ค่อยดีต่อผู้หญิงหลีโย่วคิดว่านี่ไม่สุภาพเหรอ? แต่เรื่องอาการป่วยแบบนี้ เกี่ยวอะไรกับความสุภาพล่ะ?เขาก็ไม่ได้พูดคำหยาบอะไร ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหาตรงไหนเขาส่งข้อความอธิบายสิ่งที่คิดออกไปครั้งหนึ่ง กลับทำให้หลีโย่วอึ้งไปเลยเธออ่านครั้งที่สองแบบคำต่อคำ เพื่อยืนยันความคิดของพี่ชาย“มั่วมั่ว...” หลีโย่วเงยหน้าขึ้นมาพูด“ดูเห

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 250

    พี่ชายเธอกระเหี้ยนกระหือรือจะมาเต๊าะคนอื่น เธอรู้สึกขายขี้หน้าเพื่อนสนิทจะตายอยู่แล้ว สามารถคัดชื่อเขาออกจากทะเบียนบ้านได้ไหมเนี่ย!“ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง นี่ก็ผ่านมาสิบหกนาทีแล้ว” เสียงของหลีเชินดังมาหลีโย่ว “!!!”เธอใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าพี่ชายของเธอช่างเป็นที่อัปยศต่อชื่อเสียงของตระกูลหลี ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย!ยังไม่ทันจะได้สวนกลับไป ผู้ชายที่ปลายสายก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง แถมยังแฝงความห่วงใยอยู่หลายส่วน“ถ้ายังไม่ออกมาจริง ๆ ลองพาเธอไปโรงพยาบาลดูสิว่าอาหารเป็นพิษหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นนั่งนาน ๆ เดี๋ยวก็เป็นริดสีดวงกันพอดี”ฝั่งตรงข้าม เมื่อได้ยินดังนั้น ซูมั่วก็กำหมัดแน่นในทันที ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ แทบจะขาดอากาศหายใจนี่มันคนประเภทไหนกัน!เธอก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้คนสารเลวหลีเชินคนนี้ถ้าไม่ได้แขวะเธอสักหน่อยคงไม่ยอมเลิกรา!เธอรู้สึกว่าขณะที่ฟ้องหย่า ก็น่าจะฟ้องหลีเชินขึ้นศาลไปพร้อมกันได้เลย ในข้อหาก่อกวนโดยไม่มีเหตุอันควรและล่วงเกินทางวาจา!“ภูตผีปีศาจจงหายไป! ออกไปจากร่างพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้!” หลีโย่ว

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 249

    “ใช่สิคะ พี่มันพวกหัวขโมย” หลีโย่วสวนพี่ชายกลับหลีเชินไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ จึงตัดเข้าประเด็นทันทีว่า“แล้วซูมั่วล่ะ? เธออยู่ข้าง ๆ หรือเปล่า?”หลีโย่วเงยหน้าขึ้นไปมอง ซูมั่วสบตากับเธอแล้วรีบโบกมือและส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความต่อต้านและไม่ยอมรับเธอเข้าใจความหมายของเพื่อนสนิท จึงพูดว่า“มั่วมั่วไปเข้าห้องน้ำพอดี”หลีเชินได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปสองวินาที แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ไปจริงเหรอ? หรือว่าไม่อยากจะพูด”ซูมั่ว “...”ทำไมถึงถามคำถามนี้ออกมา ในเมื่อคุณก็พูดเหตุผลออกมาเองแล้วไม่ใช่เหรอ?นี่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเธอไม่อยากจะยุ่งกับเขา หรือจะต้องมาปะทะคารมกันตรงนี้?เมื่อเข้าใจสายตาที่พูดไม่ออกของเพื่อนสนิท หลีโย่วก็ยกมือขึ้นเคาะประตูกระจกห้องครัว แกล้งทำเป็นเรียกคน แล้วตอบพี่ชายกลับไปว่า“ไปจริง ๆ ค่ะ พี่มีธุระอะไรรีบพูดมาเลย เดี๋ยวฉันเอาไปบอกให้”“เรื่องเต๊าะไม่ต้องพูดถึงเลยนะคะ มันขายขี้หน้าตระกูลหลี แล้วตอนนี้ฉันก็เปิดอัดเสียงอยู่ ถ้าพี่กล้าพูดฉันจะส่งให้พ่อกับแม่”หลีเชิน “...”เขาอยากจะถามว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอ? แต่พอคิดถึง ‘ประวัติ’ ที่ตัวเองเคยก่อไว้ ก็ไม่ก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status