“ใต้หล้านี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีกำลังภายในทั้งสิ้น ทั้งยังสามารถรับพลังจากภายนอก เช่น ฟ้า ดิน อาทิตย์ จันทร์ และจักรวาล มาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ผู้ที่สามารถสั่งสม พลิกแพลง ใช้ประโยชน์จากกำลังทั้งจากภายในและภายนอกที่ว่านี้ให้เห็นเป็นรูปธรรมกลับมีนับคนได้...” ท่านจ้าวหุบเขาจัดการแบ่งข้าวสวยอุ่นร้อนจากชามของตนเองใส่ถ้วยสำรองอีกใบแล้วเลื่อนมาวางลงตรงหน้าเธอ ปากก็เอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ยังไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องใดให้มากนัก ที่ควรใส่ใจยามนี้คือขั้นแรกที่สำคัญที่สุดอย่างการฝึกควบคุมลมหายใจตนเอง หากทำได้
เช่นที่ว่าเมื่อใด ค่อยมาพูดถึงขั้นต่อไป” ว่าจบ ท่านจ้าวหุบเขาก็คีบเนื้อไก่ตุ๋นฉ่ำน้ำใส่ชามให้แล้วมองหน้าราวกับจะบอกให้เริ่มกินเสียที อาจูจึงเอาใจท่านจ้าวหุบเขาด้วยการเลี้ยงดูปูเสื่อตนเองอย่างเต็มที่ สองหูฟังไปสองมือก็ขยับคีบอาหารเข้าปากด้วยกริยานุ่มนวลงามสง่าทว่าไม่เคยขาดตอนจะว่าไปแล้ว การได้มาอยู่ที่นี่และได้ลองทำอาหารสูตรของท่านจ้าวหุบเขาก็นับเป็นเรื่องดีเหมือนกัน ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ นับว่าได้เขาช่วยเปิดโลกทัศน์ด้านการปรุงอาหารให้อร่อยโดยไม่ต้องใช้เครื่องปรุงรสให้เธอไม่น้อย...
หลังจากฟังท่านจ้าวหุบเขาบรรยาย อาจูก็เข้าใจแล้วว่านับจากนี้ตัวเองจะต้องโดนบังคับให้นั่งสมาธิเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะขั้นแรกที่สำคัญที่สุดของการฝึกฝนกำลังภายใน ก็คือการควบคุมลมหายใจ ควบรวมไปถึงการรับรู้ถึงกระแสชีพจรและการเคลื่อนที่ของอากาศภายในร่าง
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกศิษย์อย่างเธอจะฝึกฝนอย่างตั้งใจ ล่วงเข้ายามซื่อ ท่านจ้าวหุบเขาก็สั่งให้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่มีอยู่มานั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อ
จับสังเกตลมหายใจและชีพจรของนางเองในห้องปรุงยา นัยว่าในขณะที่ปรุงยา ถอนพิษให้ “ศิษย์พี่” เขาก็จะได้จับตาดูลูกศิษย์ผู้นี้ไปพร้อมๆ กันสองคนศิษย์อาจารย์ คนหนึ่งทดสอบพิษ ปรุงยา อีกคนต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กระทำตัวเนรคุณด้วยการแช่งชักหักกระดูกหรือลอบก่นด่าบรรพบุรุษอาจารย์ เพราะนอกจากเขาจะไม่ยอมให้เธอลุกจากที่นั่งหรือขยับแข้งขยับขา
แม้เพียงนิด คนที่สั่งให้เธอทำสมาธิอย่างเขากลับดูคล้ายจะพยายามทำลายสมาธิเธอทุกทาง ตั้งแต่ทำเสียงดังกุกกักตลอดเวลา ยันสั่งให้เธองดมื้อกลางวันในขณะที่ตนเองเที่ยวรับเอาอาหารและของว่างกลิ่นชวนน้ำลายสอจากอาจารย์ป้าแซ่เซี่ยอะไรนั่นมาเลี้ยงดูปูเสื่อตัวเองเสียเต็มที่ ซ้ำยังฝากผู้ติดตามที่เอาอาหารมาส่ง ให้ไปบอกอาจารย์ป้าแซ่เซี่ยผู้นั้นว่าตนเองไม่ได้ยินเสียงนางดีดผีผา[1]มานานแล้ว หากได้ฟังสักนิดก็คงดี ทำให้นับแต่นั้นอาจารย์ป้าผู้มาเยือนเกิดครึ้มอกครึ้มใจ นั่งดีดพิณผีผาเช้ากลางวันเย็นแทบไม่หยุดพักเดาว่านางคงหยุดดีดผีผานั่นก็แค่ตอนกินข้าวกับตอนเข้าห้องน้ำนั่นแหละ!
“หากอยากผ่านพ้นช่วงน่ารำคาญนี้โดยเร็ว ก็จงเร่งทำให้ตนเองมีสมาธิ
จดจ่ออยู่กับชีพจรและลมหายใจ” อิตาจ้าวหุบเขาผู้นี้ยังมีหน้ามาบอกพลางริน ชากลิ่นดอกไม้หอมสดชื่นที่ไม่ต้องบอกก็เดาออกว่ารับมาจากศิษย์พี่โฉมงามผู้นั้นให้ตนเองราวกับเดาใจเธอออก หลังจากดื่มชาไปครู่หนึ่ง ท่านจ้าวหุบเขาใจโหด
ชาติหินก็ขยับริมฝีปากเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ“ข้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำและยิ่งไม่ต้องการฝืนใจผู้ใด หากทนไม่ไหว
ก็สามารถถอดใจ หยุดทำสมาธิได้ทุกเมื่อ”อาจูดีใจจนแทบจะเป็นบ้า แต่เพราะไม่เชื่อว่าชายที่ทรมานเธอมาทั้งวัน
จะเกิดใจดีอยากเปลี่ยนวิธีฝึกให้กะทันหัน จึงลังเลใจ ไม่กล้าขยับตัวแล้วก็เป็นไปตามคาด...
“แต่จงจำไว้ หากคิดถอดใจแม้เพียงครั้ง ข้าจะไม่เสียเวลาสอนสั่งอะไรเพิ่มให้อีกแล้ว”
ประโยคไร้เยื่อใยพรรค์นี้ ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้แม้แต่น้อย...
เพราะแต่ละวันวนเวียนอยู่เช่นนี้ หลังผ่านมาสามวัน ในที่สุดอาจูก็อดมองในเชิงลบไม่ได้
นี่มันการกลั่นแกล้งกัน...
คนรู้สึกคล้ายโดนรังแกอยากจะร้องไห้ แต่ไม่อาจปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาขัดภาพลักษณ์ลูกศิษย์สาวใจซื่อผู้มีจิตใจมั่นคงและมีความมุมานะพยายาม
ต้องใช่แน่ๆ นี่มันการกลั่นแกล้งกัน...
ร่างน้อยๆ ที่ได้แต่นั่งนิ่งขบฟันแน่น อยากกัดริมฝีปากระบายอารมณ์ อยากจะโวยวาย แต่ก็กลัวจะทำริมฝีปากงามๆ แตกเลือดซิบ ทั้งยังกังวลว่าจะดูเป็นสตรีเก็บกดที่เนื้อแท้แล้วอารมณ์รุนแรงน่าหวาดหวั่น
ฮือออ นี่มันการกลั่นแกล้งกัน!!!
คนเผลอขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการสร้างภาพลักษณ์ไว้เสียดีงามเกินจริง
ได้แต่ตะโกนในใจแล้วอดทนทำสมาธิต่อไป ในใจก็พยายามคิดเสียว่ากำลังชดใช้เวรกรรมที่ไม่รู้ว่าไปก่อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ให้อิตาจ้าวหุบเขาโฉดจิตใจเหี้ยมโหดผู้นี้ เผื่อว่าเทพเซียนที่อาจมีอยู่จริงจะเห็นใจ ช่วยดลบันดาลให้ฝึกสำเร็จโดยไว ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทรมานนี้ไปได้เสียทีแม้จะทำใจได้ถึงเพียงนั้น...พอล่วงเข้าช่วงมื้อเที่ยงของวันที่สี่ กลิ่นไก่ย่างหอมเครื่องเทศก็ทำให้อาจูเริ่มคิดแล้วว่าถ้าแกล้งตกน้ำตกท่า หรือแกล้งเป็นลมหมดสติ หมอเถื่อนมีวรยุทธ์อย่างท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ไว้ได้ทันท่วงทีหรือจับไต๋เธอได้หรือไม่
โดยที่ไม่คาดคิด ไม่ทันที่อาจูจะได้ตัดสินใจทำอะไร พายุหมุนลูกย่อมๆ
ก็พัดเข้ามาในห้องปรุงยา พัดรุนแรงเสียจนผ้าเนื้อหนาสัมผัสเคยคุ้นเคลื่อนมา ปกคลุมเธอไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านะ...นี่มันอะไรกัน การฝึกฝนรูปแบบใหม่งั้นเรอะ?
นั่งนิ่งเป็นพระพุทธรูปใต้ผ้าคลุมเช่นนี้แล้วจะช่วยให้ศิษย์ท่านมีสมาธิขึ้นหรืออย่างไร?
กำลังจะอ้าปากถาม เสียงบุรุษแปลกหน้าก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คนของสมาพันธ์พบของน่าสนใจเข้า จ้าวหุบเขารีบตามมาดูเถอะ”
น้ำเสียงยามบุรุษแปลกหน้าเอ่ยประโยคนี้ ไม่คล้ายตื่นเต้นยินดีแม้แต่น้อย
[1] ผีผา(琵琶) เป็นเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นเครื่องสาย บรรเลงโดยการดีด รูปทรงคล้ายลูกแพร์
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo