“คนของสมาพันธ์พบเรื่องน่าสนใจ”
สมาพันธ์อะไรกัน เรื่องน่าสนใจอะไร...?
เมื่อต่อมอยากรู้เรื่องชาวบ้านตื่นตัวขึ้นมา จากที่เคยคิดว่าตัวเองจะทนนั่งนิ่งๆ ต่อไปไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว อาจูก็รู้สึกเหมือนได้ยาชูกำลัง กลับมานั่งนิ่งหลังตรงดิ่งยิ่งกว่าพระพุทธรูปหิน แม้แต่ลมหายใจยังแผ่วเบาลงโดยอัตโนมัติ เหมือนกลัวว่าถ้าหายใจดังเกินไปจะฟังพลาดหรือไม่ได้ยิน
“ออกไปรอข้างนอก” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ
วัดจากน้ำเสียงผู้มาเยือน อาจูไม่คิดว่าคำแรกที่ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยจะเป็น “ออกไปรอข้างนอก” ทั้งอย่างนั้นคำว่า “ออกไปรอข้างนอก” ประโยคนี้ก็ฟังดูหนักแน่นจริงจังไม่เบา
ออกไปรอข้างนอก?
ให้ข้าออกไปรึ?
ก่อนที่อาจูจะได้ขยับตัวก็แว่วเสียงประตูบานไม้กระทบกันแผ่วเบา
ดูท่าท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้จะไม่ได้พูดกับจวี๋ฮวา แต่เป็นผู้มาเยือนที่เพิ่งจะก้าวขาออกจากห้องปรุงยา…ซ้ำยังช่วยปิดประตูแถมให้อีกด้วย
หลังปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่ครู่หนึ่ง อาจูอดเรียกไม่ได้
“ซือฝุ…”
ไม่ทันจะได้ถามอะไร มืออันแข็งแกร่งที่คุ้นเคยก็ตวัดเสื้อคลุมบนร่างเธอกลับขึ้นสวมให้ตนเอง แล้วสวมหมวกไม้ไผ่สานใบใหญ่หน้าตาคล้ายหมวกกุยเล้ย[1]พิเศษกว่ากันเล็กน้อยตรงที่มีผ้าผืนบางเย็บติดปีกหมวกเอาไว้ต่างม่านปกปิดใบหน้าให้เธอ
“วันนี้พอเท่านี้ อีกเดี๋ยวตอนออกจากหุบเขา ดูแลหมวกไม้ไผ่กับผ้าปิดหน้าให้ดี”
เห…?
“ตามมา” จ้าวหุบเขาหลี่เอ่ยเรียบๆ
ฟังจากที่พูด หมายความว่าท่านจะให้ข้าตามไปดูอะไรบางอย่างที่สมาพันธ์อะไรนั่นพบเจอในสภาพนี้งั้นเรอะ?
ได้หยุดทรมานตัวเองออกไปสูดอากาศนอกหุบเขาก็ดีอยู่หรอก แต่หมวกกับผ้าผืนนี้ไม่รุ่มร่ามเกินไปหน่อยหรือไง?
เสี่ยวจวี๋ฮวาขมวดคิ้วมุ่น ช้อนตาถาม “ศิษย์คล้องผ้าปิดหน้าไว้แล้วยังต้องสวมหมวกนี่อีกหรือ...” หากข้าเดินสะดุดตอไม้เพราะมองไม่ถนัดจะทำอย่างไร?
ราวกับจะอ่านใจเธอได้ แทนการตอบ ท่านจ้าวหุบเขาผู้ไม่ชื่นชอบการอธิบาย ขยับริมฝีปากออกคำสั่งกึ่งตักเตือนด้วยในที “เดินตามมาทุกฝีก้าวก็พอ จำไว้ว่าเพียงไม่ละสายตาจากแผ่นหลังนี้ จะไม่เกิดเรื่องไม่ดีใดทั้งนั้น”
ทันทีที่ก้าวขาพ้นกรอบประตูห้องปรุงยา ท่านจ้าวหุบเขายกร่างจวี๋ฮวาขึ้นพาดบ่า แบกลูกศิษย์ไร้วรยุทธไต่ยอดไม้ข้ามหุบเหวตามติดแขกปริศนาจากสมาพันธ์ลึกลับ ทำเอาคนโดนยกร่างขึ้นพาดบ่าโดยไม่บอกกล่าวใจหายใจคว่ำ
ไม่ทันที่อาจูจะหายตกใจ ทุกคนก็มาถึงวัดร้างกลางป่าเสียแล้ว
“ที่นี่...” เสี่ยวจวี๋ฮวาเอ่ยเสียงแผ่ว หลังดึงสติกวาดตาดูจนทั่ว อาจูค่อนข้างแน่ใจว่าที่นี่คือสถานที่ที่ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมา “ใช่วัดร้างที่ตอนนั้น…”
จ้าวหุบเขาหลี่ไม่ตอบอะไร เพียงถามสามสี่คำสั้นๆ
“ยืนไหวแล้วหรือยัง”
ข้า....ยืนไหว? จนถึงตอนนี้อาจูถึงได้รู้ตัวว่ากำลังขาสั่น แถมยังกำเสื้อผ้าท่านจ้าวหุบเขาเอาไว้แน่น
หวา...
“ขะ...ขออภัย” ลูกศิษย์ขี้ตกใจรีบปล่อยมือ พยายามสงบจิตสงบใจ ตอบเสียงนุ่ม “จวี๋ฮวาไม่เอาไหนจนน่าตี ประพฤติตนเช่นนี้...ทำให้ซือฝุต้องขายหน้าแล้ว”
แม้จะรู้สึกว่ามีท่านจ้าวหุบเขาคอยประคองก็สะดวกดี แต่อยู่ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ จะออดอ้อนออเซาะก็ต้องมีขอบเขตเสียหน่อย มิฉะนั้นผู้คนอาจติฉินนินทาเอาได้ นอกจากนี้…
คนเพิ่งหายตกใจลอบเหลียวมองไปทางด้านซ้าย
ซือฝุ...หลบไป! ข้าไม่อยากให้ท่านมาขัดขวางการสำรวจของดีหรอกน่ะ!
อาจูเลื่อนมือขึ้นจัดหมวกไม้ไผ่และผ้าคลุมนัยน์ตาเป็นประกาย ยิ่งเหลียวมองจอมยุทธหน้าหล่อหุ่นดีรายที่สองที่ได้พบหน้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าชะตาชีวิตเกี่ยวกับเรื่องอาหารตาของจวี๋ฮวานับว่าดีงามไม่เบา
แขกลึกลับจากสมาพันธ์บางอย่างรายนี้เป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง สูงยิ่งกว่าท่านจ้าวหุบเขา ทั้งอย่างนั้นหุ่นทรงกลับไม่ได้ผอมกะหร่องดูเก้งก้าง ตรงกันข้าม ชายคนนี้มีหุ่นทรงสมส่วนตามแบบฉบับของผู้ฝึกยุทธ ใบหน้าก็ดูคมคายรับกับผิวสีทองแดง ชวนให้นึกถึงพยัคฆ์สีดำรูปร่างปราดเปรียวที่ทั้งงดงามและทรงพลัง
แม้คนผู้นี้จะไม่ได้หล่อเหลาตรงสเปคเท่าจ้าวหุบเขาหลี่ แต่ยิ่งมองบุรุษชุดดำผู้นี้ อาจูก็ยิ่งนึกถึงหนึ่งในบรรดาตัวเอกฝ่ายชายผู้เข้าชิงตำแหน่งพระเอกของซีรีย์ “ศิษย์พี่...เลิกไล่ฆ่าข้าเถอะ!” ซีรีย์จีนโบราณแนวโรแมนติกคอมเมดี้ตลกร้ายที่กำลังได้รับความนิยม
อา...บุรุษใบหน้าคมคาย รูปร่างสูง หุ่นดี ผิวสีทองแดง ผู้ชมชอบการสวมชุดดำ...
จะว่าไปแล้วหมวกไม้ไผ่ติดผ้าคลุมใบนี้ก็ช่างใช้การได้ดีจริงๆ ถึงตอน
แรกสวมจะรู้สึกว่าหมวกใบนี้ค่อนข้างบดบังทัศนวิสัย แต่หลังจากเริ่มคุ้นชินก็คล้ายจะมองอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น มิหนำซ้ำยังช่วยเพิ่มอรรถรสในการมองสิ่งละอัน ชวนให้รู้สึกเพลิดเพลินอย่างน่าประหลาดก็ดูสิ...มองผิวคล้ำแดดนั่นผ่านผ้าผืนนี้แล้ว ให้ความรู้สึกคล้ายกำลังแอบดูคุณชายตระกูลนักรบสักรายจากหลังม่านไม่มีผิด ♥
อุฮิ~
[1] หมวกไม้ไผ่สานของจีนชนิดหนึ่ง มีใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ความหมายโดยตรงของชื่อหมายถึงงอบของคนแซ่กุย
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo