Mag-log inท่านจ้าวหุบเขาไม่ใส่ใจสายตากล่าวโทษนั้น ทำเพียงฉวยข้อมือขาวผ่องขึ้นจับชีพจรด้วยสีหน้าสงบนิ่งเหมือนรูปสลัก
เมื่อเขาขยับเข้าชิดใกล้ กลิ่นหอมแปลกประหลาดชวนละเมอก็คล้ายจะค่อยๆ เลื้อยรัดรอบตัวเธออย่างอ่อนโยนทว่าแนบแน่น
กลิ่นดอกท้อ...ไม้หอม...ผสมกับสมุนไพร...?
นี่เขาเพิ่งอาบน้ำมารึ...?
“อิ่มแล้วหรือยัง”
คำถามสั้นๆ ดึงให้ลูกศิษย์ที่กำลังจะลดสายตาลงสำรวจเรือนร่างอาจารย์ได้สติ
อาจูอยากจะตอบว่า “ยัง” แต่นึกถึงประโยคที่ชวนให้รู้สึกว่าโดนหลอกด่าประโยคนั้นแล้วก็ออกปากขอกินต่อไม่ลง ได้แต่ใช้แขนเสื้อซับมุมปากเบาๆ พยายามสะกดความรู้สึกอยากไอ ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลราวกับเรื่อง
น่าขายหน้าเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น“เจ้าค่ะ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามมา” ว่าจบ จ้าวหุบเขาเดียวดายก็ปล่อยมือ กลับหลังหัน
ไม่ทันจะก้าวขา จู่ๆ ท่านจ้าวหุบเขาก็หยุดชะงักคล้ายนึกบางอย่างที่สำคัญมากๆ ขึ้นได้ อาจูจึงวางท่าสงบเสงี่ยมยืนรอฟังด้วยความตั้งใจ
“เก็บจานชามพวกนั้นมาด้วย” เขาบอกเสียงขรึม
ห๊ะ?
เก็บโต๊ะ? แค่นี้น่ะนะที่นึกได้?
ไม่ทันที่อาจูจะได้ถามอะไร ร่างสูงโปร่งในชุดสีน้ำเงินเข้มก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง เธอจึงต้องรีบยกถาดไม้ที่วางรองชุดอาหารเช้าทั้งหมดอยู่อีกชั้นเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้
ท่านจ้าวหุบเขาพาลูกศิษย์คนใหม่เดินไปตามทางเดินปูแผ่นไม้เนื้อหนา มุ่งหน้าลงทางทิศใต้โดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ท่ามกลางความเงียบงันอาจูจึงลอบสำรวจซือฝุมาดนิ่งจากด้านหลัง...หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลอบสำรวจทั้งจากข้างหน้าและด้านข้างมาแล้วหลายหน
ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายใบหน้ารูปไข่รีเรียวคนนี้ ครอบครององค์ประกอบของ “จอมยุทธเจ้าเสน่ห์” ที่เคยวาดฝันถึงเอาไว้ทั้งหมด
ซือฝุของเธอคนนี้มีเส้นคิ้วเข้มเฉียงเหมือนที่ในนิยายกำลังภายในนิยามว่า “คิ้วกระบี่” มีจมูกที่โด่งได้รูปขนาดกำลังดี มีริมฝีปากสีชมพูดูสุขภาพดีและน่ากัด ผิวพรรณก็ดูขาวเกลี้ยงเกลาเหมือนคุณชายในห้องหอ ทั้งอย่างนั้น หุ่นทรงกลับดูสูงสง่าแข็งแรงแกร่งกร้าวกำลังดี แม้เสื้อผ้าจีนโบราณที่เขาสวมใส่จะเป็นแบบปากแขนกว้าง ดูรุ่มร่ามน่ารำคาญไปสักหน่อย แต่ดูจากแนวไหปลาร้าก็พอมองออก ว่าภายใต้เสื้อผ้า ผู้ชายคนนี้น่าจะมีกล้ามเนื้อกระชับได้สัดส่วนและมีแผงอกที่กว้างขวางพอเหมาะ...ยิ่งเห็นสัดส่วนระหว่างสะโพก อก เอว จากด้านหลังแบบนี้แล้ว เธอก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองเดาไม่ผิด
ท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้ เป็นผู้ชายหน้าสวยหุ่นดีที่แผงอกแน่นตึง ดูฟิตปึ๋งน่ากัดกล้ามเนื้อหน้าอกเล่น...น่าเอนตัวซบเอามากๆ
ข้างในหัวอาจูในตอนนี้เหมือนมีปุ่มสีแดงปุ่มโตๆ ที่มีไว้กดเพื่อโละข้อมูลเก่าๆ ในสมองทิ้งไป เธอกดมันอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็เริ่มกระบวนการให้คะแนนหนุ่มหล่อตรงหน้าในใจใหม่อีกหน
คะแนนหน้าหล่อ เต็มสิบให้ร้อย
คะแนนหุ่นทรง เต็มสิบให้ร้อย
คะแนนการแต่งกาย...อืม...ไหปลาร้ากับลำคอท่านจ้าวหุบเขาสวยเซ็กซี่ ใส่เสื้อปากคอกว้างโชว์ของดีแบบนี้เหมาะสมแล้ว เต็มสิบให้ร้อยอีกเช่นกัน
คะแนนบุคลิกภาพและน้ำเสียง เต็มสิบให้แปดสิบ หักยี่สิบคะแนนตรงที่มีสีหน้าเดียว แต่เพิ่มคะแนนพิเศษให้อีกยี่สิบคะแนนเพราะมีมาดเจ้าชายเย็นชาอันเป็นบุคลิกลักษณะยอดนิยมของพระเอกทั้งหลาย บวกลบแล้วได้ไปทั้งหมดหนึ่งร้อยคะแนนถ้วน
คะแนนด้านจิตใจ...มีคนเคยพูดไว้ว่าคนเราไม่ควรตัดสินกันที่การกระทำเพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้น วัดจากที่เขาช่วยชีวิตร่างน้อยๆ ร่างนี้เอาไว้ กับเรื่องที่สุดท้ายแล้วก็ยอมรับเธอเป็นลูกศิษย์ ทำให้เธอได้กินอยู่สุขสบายเหมือนทุกวันนี้ สรุปได้ว่าจริงๆ แล้วท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้เองก็เป็นบุรุษจิตใจดี มีคุณธรรม แต่ที่ดูแข็งกระด้างไปสักเล็กน้อยอาจเป็นเพราะแสดงออกไม่เก่งสักเท่าไหร่ เอาคะแนน “คนดีมีคุณธรรม” ไปอีกหนึ่งร้อยคะแนน เต็มสิบให้ร้อยคะแนนไปเลย!
คะแนนทั้งหมด เต็มสิบได้ร้อย เต็มสิบได้ร้อย เต็มสิบได้ร้อย เต็มสิบได้ร้อย แล้วก็เต็มสิบได้ร้อย เฉลี่ยแล้วได้ทั้งหมดเต็มสิบได้หนึ่งร้อยคะแนนถ้วน!
อา...ซือฝุเจ้าขา ท่านช่างเป็นซือฝุหนุ่มในอุดมคติจริงๆ ❤
เห็นแก่คะแนนเต็มสิบได้ร้อยของท่าน เรื่องที่ทำข้าสำลักน้ำแกงไก่กับเรื่องที่พูดจาไม่เข้าหู ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน ส่วนที่เคยแอบคิดว่าท่านเป็นพวก “สารรูปหลอกลวง” นั้น...ตัวข้า ลูกศิษย์ผู้น่ารักแสนดี ขอถอนคำพูด...
ปึก!
ถ้าไม่มีถาดบรรจุจานชามคั่นกลาง แทนที่จะเอาถาดไปจิ้มแผ่นหลังท่านจ้าวหุบเขา คนมัวให้คะแนนคงทำใบหน้างามๆ กับบางส่วนที่ล้ำหน้าอย่างเห็นได้ชัด ทิ่มแผ่นหลังกว้างๆ นั่นเข้าเต็มรัก
ว้า...เสียดายจัง
เอ้ย! ไม่ใช่สิ!
ลูกศิษย์รีบก้าวขาถอยหลังเยื้องไปทางด้านซ้าย ก้มหน้า วางท่าสำรวม “ขออภัยเจ้าค่ะ...จวี๋ฮวาไม่ทันระวัง”
“ถึงแล้ว”
ห๊ะ?
อ๋อ...ถึงที่หมาย
“เจ้าค่ะ...ถึงแล้ว” แล้วยังไงล่ะเจ้าคะ?
อาจูเหลียวมองทัศนียภาพรอบๆ ตัว จากนั้นก็ลอบช้อนตาสังเกตสีหน้าท่านจ้าวหุบเขา พยายามคาดเดาว่าเขาจะอยากพาลูกศิษย์มาที่เรือนหลังเล็กๆ ที่ปิดประตูหน้าต่างไว้มิดชิดนี่ทำไม
นี่คงจะไม่ใช่พามาดูห้องเก็บข้าวของน่าตกใจ แล้วสารภาพว่า “ซือฝุเป็นผู้มีรสนิยมเฉพาะ” แบบในนิยายอีโรติก S M[1] ที่เคยอ่านหรอกนะ? โดยมากพวกแสร้งทำตัวสงบนิ่งเก็บอารมณ์มักเป็นพวกมี “อะไร” ซ่อนอยู่ภายในเสียด้วยสิ...
หวาย...ซือฝุเจ้าคะ เสี่ยวฮวาของท่านมาที่นี่เพื่อบำบัดพิษในกายและฝึกเดินลมปราณทะลวงจุด ฝึกเดินลมปราณกับบำบัดพิษในร่างกายนี่คงไม่ต้องใช้โซ่แซ่กุญแจมือกระมัง?
ลูกศิษย์จิตใจสกปรกเริ่มคิดไปไกล...
“นี่คือห้องพัก”
เอ๊ะเอ๋?
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาพามาที่นี่ทำไม อาจูก็ยังพยายามแสดงออกว่ารับรู้
“เจ้าค่ะ...” เสี่ยวจวี๋ฮวาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ดูแช่มช้อยงามสง่า
“ด้านหลังคือห้องครัว ถัดไปเป็นห้องเก็บของ”
“เจ้าค่ะ...”
“ส่วนบ่อน้ำ อยู่ที่ลานเล็กหน้าห้องครัว”
“เจ้าค่ะ...”
“นับแต่นี้ไป ที่นี่คือที่อยู่ของเจ้า”
“จะ...” หือ?!
ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองหน้าเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นับตั้งแต่คนไข้เงินหนาอย่างคุณชายใหญ่สำนักคุ้มภัยสกุลซุนและผู้ติดตามทั้งหมดลงจากเขา ให้เจ้าย้ายมาที่เรือนหลังนี้เพื่อความสะดวกในการตักน้ำ ทำอาหาร ล้างจานชาม ซักผ้า ผ่าฟืน ก็เหมาะสมดีแล้ว”
เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยวนะ...
ตักน้ำ ทำอาหาร ล้างจาน ซักผ้า ผ่าฟืน!
ซือฝุเจ้าคะ ข้าเป็นลูกศิษย์ท่าน “ลูกศิษย์” ไม่ใช่ “คนรับใช้” สองคำนี้ต่างกัน ท่านสะกดเป็นหรือไม่?
อาจูพยายามควบคุมน้ำเสียงและใบหน้าให้อ่อนหวานซื่อใสอย่างที่สุด
“ซือฝุเจ้าขา หากจวี๋ฮวามาอยู่ที่นี่ แล้วคนรับใช้ในหุบเขานี้จะไปอยู่ที่ใด? ไม่ใช่ว่าศิษย์จะทำให้เรือนหลังนี้คับแคบแออัดจนเกินไปหรือ?” ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาเหยียบหน้าเรือนหลังนี้ แต่ดูจากสภาพภายนอกและสรรพคุณที่ท่านจ้าวหุบเขาบรรยาย เธอค่อนข้างแน่ใจว่าที่นี่คือเรือนพักคนรับใช้และโรงครัว!
“คนรับใช้หรือ”
“เจ้าค่ะ...” ท่านต้องแยกให้ออกนะ ข้ามาคุกเข่าขอเป็นศิษย์ ไม่ได้สมัครเข้ามาเป็นคนรับใช้!
“หมายถึงผู้ติดตามซุนเย่น่ะรึ? แน่นอนว่าต้องกลับออกไปพร้อมกับคุณชายสำนักคุ้มภัยสกุลซุนผู้นั้น”
เวรล่ะ...หุบเขาตั้งกว้าง คฤหาสน์ก็ดูใหญ่โต แต่ไม่มีคนรับใช้เป็นของตัวเอง!
“แม้ดั้นด้นมาถึงนี่เพื่อฝึกเดินลมปราณ แต่การมีร่างกายที่แข็งแกร่งเองก็สำคัญ สุขภาพและชีพจรไม่เคยโกหก ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป ต้องออกกำลังให้มาก”
แข็งแกร่ง...! นี่เขาเพิ่งพูดว่าจะให้สาวน้อยมีร่างกายแข็งแกร่งงั้นเรอะ!
แล้วขอประทานโทษเถอะ ท่านกำลังจะบอกว่าสาเหตุที่วางแผนจะใช้งานข้าเยี่ยงทาสแบบนั้นเป็นเพราะหวังดีงั้นเรอะ!
“งานพวกนี้จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป”
ฮึ่ย! ใครว่าข้าเป็นผู้หญิงฟุ้งซ่านกัน!
ท่านจ้าวหุบเขายังคงเอ่ยต่อไปด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง
“ตัวข้านั้นไม่ใช่คนจุกจิก ขอเพียงมีอาหารเช้าตอนยามเฉิน[2]เวลาไม่เกินสองเค่อ[3]ก่อนยามอุ้ย[4]มีมื้อกลางวัน และไม่เกินสองเค่อก่อนยามซวี[5]มีอาหารเย็นตั้งโต๊ะที่เรือนใหญ่ ตอนเช้ามีน้ำให้ล้างหน้าและมีเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยน ระหว่างวันมีชาอุ่นร้อนพร้อมจิบและตอนเย็นมีน้ำล้างเท้า เท่านี้ก็เพียงพอ”
นั่นหมายความว่า นอกจากจะต้องตักน้ำ ซักผ้า ล้างจาน ผ่าฟืน ทำอาหาร ข้าก็ต้องไปคอยรับใช้ท่านที่เรือนหลังใหญ่ด้วยงั้นสิ!
“แต่...ซือฝุเจ้าขา ร่างกายศิษย์ยังไม่แข็งแรงดี...”
ถาดไม้ที่จวี๋ฮวาถือมาตลอดทางพลันดูหนักอึ้งจนเจ้าตัวเมื่อยล้า ใบหน้าซีดเซียว
“ยังไม่แข็งแรงดีหรือ” ในที่สุดท่านจ้าวหุบเขาก็หันมามองหน้าเธอตรงๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ทั้งที่สีหน้ายังคงนิ่งสนิท “ไม่ใช่ว่าแข็งแรงดีถึงขั้นออกมาร้องเล่นเต้นระบำล่อผีเสื้อได้แล้วรึ?”
อั๋ยหยา...เขาเห็น!!!
อันที่จริง ตอนที่อ้าปากร้องเพลงแล้วหมุนตัวเต้นระบำสามร้อยหกสิบองศากลางทุ่งดอกเบญจมาศนั่น เธอก็แอบบวกลบคูณหารในใจแล้วว่า ถึงแม้จะมีใครสักคนผ่านมาเห็นความร่าเริงใสซื่อบริสุทธิ์ของสาวงามวัยแรกแย้ม ก็คงจะไม่เป็นไร ถือเสียว่าเป็นการบริหารเสน่ห์สาวน้อยเล่นๆ ก็เลยจัดหนักจัดเต็ม ไม่มีกั๊ก ใครจะคาดคิดว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนี้!
“ล่วงเข้ายามซื่อ[6]แล้ว ยังมีเส้นทางที่จำเป็นต้องรู้อีกมาก ตามมา” บอกเพียงเท่านี้ จ้าวหุบเขาเดียวดายก็สะบัดชายเสื้อคลุม ก้าวขาเดินนำอีกหน
อาจูมองภาพแผ่นหลังที่ดูหยิ่งทะนงและเย็นชาแล้วก็พาให้ยิ่งหัวเสียมากขึ้น
หึ...คนดีมีคุณธรรมบ้าบออะไรกัน! ท่านรับข้าไว้เป็นทาสชัดๆ เอาคะแนนเต็มสิบได้ร้อยที่ว่านั่นคืนมา!
[1] S ย่อมาจาก ซาดิสม์ (sadism)หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจในความเจ็บปวดและความทุกข์ของผู้อื่น และ M ย่อมาจาก มาโซคิสม์ (masochism)หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศเมื่อได้รับความเจ็บปวด
[2] เวลา 07.00 น. จนถึง 08.59 น.
[3] หนึ่งเค่อ เท่ากับประมาณ 15 นาที
[4] เวลา 13.00 น. จนถึง 14.59 น.
[5] เวลา 19.00 น. จนถึง 20.59 น.
[6] เวลา 09.00 น. จนถึง 10.59 น.
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd







