LOGINหากจะถามว่าหุบเขาเดียวดายแห่งนี้เป็นสถานที่เช่นไร...
อาจู หรือในตอนนี้คือ จวี๋ฮวา ก็กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าหุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่งดงามเหนือคำบรรยาย
ที่นี่ชวนให้นึกถึงพวกหนังจีนแนวเทพเซียน
หุบเขาแห่งนี้ไม่เพียงตั้งอยู่บนเทือกเขาอีกชั้นหนึ่ง ยังล้อมรอบด้วยภูเขาหินสูงชันที่ปกคลุมด้วยสมุนไพรนานาชนิด มองแล้วดูเขียวชอุ่มสบายตา
เนื่องจากรายล้อมด้วยภูเขาลูกเล็กลูกน้อย ที่นี่จึงมีปากทางเข้าเพียงทางเดียวคือด้านที่เป็นสวนป่าสาลี่ลำต้นสีดำสนิทออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง ลานดอกไม้งดงามชวนฝันแห่งนั้นถูกกางกั้นจากโลกภายนอกด้วยหุบเหวที่ทั้งลึกและกว้างอีกหนึ่งชั้น มองจากฝั่งตรงข้ามของหน้าผาแล้วดูคล้ายสวนป่าสาลี่ในม่านหมอก
เพราะตั้งอยู่บนที่สูงและมีหุบเหวกับภูเขาหินตีกรอบล้อมดุจปราการเช่นนี้นี่เอง สถานที่แห่งนี้จึงไม่เพียงเป็นสถานที่ที่มีม่านหมอกปกคลุมตลอดทั้งวันทั้งยังสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวชัดเจน แต่มันยังเป็นสถานที่เงียบสงบซึ่งต้นหญ้า ดอกไม้ ธารน้ำ และผืนดินภายในอาณาบริเวณ แทบไม่ปรากฏร่องรอยมนุษย์ย่างเหยียบ
ในสายตาเธอ สถานที่แห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่ดี เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่พักร้อน...
“หึหึ” อาจูหลุดหัวเราะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอย่างน้อยๆ การหลงมิติก็เหมือนได้มาท่องเที่ยวฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินค่าเดินทาง พยายามไม่คิดเรื่องพิษในตัวหรือเรื่องจะได้กลับยุคสมัยของตัวเองหรือไม่ได้กลับให้ปวดหัว
เรื่องพิษในตัว...เธอไม่มีความรู้เรื่องพิษเรื่องสมุนไพรทั้งยังไม่มีลมปราณแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็มีแค่ต้องคอยระวังรักษาสุขภาพให้ดี เรื่องยาเรื่องแผนการรักษาทั้งหลายแหล่ ก็มีแต่ต้องไว้วางใจยกเรื่องเหล่านั้นให้ท่านจ้าวหุบเขาช่วยดูแล
ส่วนเรื่องกลับโลกอนาคต...จากสถิติแล้ว พวกตัวเอกในนิยายกับหนังจีนแนวทะลุมิติข้ามกาลเวลาทั้งหลายแหล่มีเปอร์เซ็นต์ได้กลับยุคปัจจุบันน้อยมาก ในบรรดาพวกที่ได้กลับยุคปัจจุบันจำนวนน้อยแสนน้อยนั้น บทจะได้กลับไป พวกเขาก็ได้กลับไปเองกันแบบเบลอๆ งงๆ ทั้งๆ ที่ตลอดหลายปีที่ใช้ชีวิตในยุคโบร่ำโบราณอุตส่าห์ทุ่มเทเวลา เปลืองมันสมอง พยายามค้นหาวิธีกลับโลกปัจจุบันแทบตาย
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะคิดมากให้วุ่นวายทำไมกัน?
ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหุบเขากางแขนออก ก้มลงมองชุดผ้าเนื้อดีสีมรกตบนร่างแล้วหมุนตัวให้ชายแขนเสื้อยาวๆ พลิ้วไปในอากาศ เสพความสุขของการได้อยู่ในร่างสาวงาม จากนั้นก็เขย่งปลายเท้า ยืดตัว พยายามสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก่อนจะเริ่มกางแขนกางขายืดเส้นยืดสาย หลังจากออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ จนพอใจถึงค่อยเดินกลับเรือนพักไปทักทายอาหารเช้าแสนอร่อย
“อาหาร~ อาหาร~ อาหาร~ ” คนเริ่มหิวร้องเพลงแต่งเองที่มีเนื้อร้องอยู่แค่คำเดียวเสียงใส เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่เห็นว่ามีใครมองอยู่จริงๆ ก็หมุนตัวเล่น เต้นระบำแถมให้อีกหนึ่งยก
อา...จะว่าไปแล้ว ร่างเล็กๆ ที่อกเป็นอกเอวเป็นเอวร่างนี้ ก็ช่างใช้เต้นระบำมั่วซั่วได้คล่องตัวดีจริงๆ
นับตั้งแต่จ้าวหุบเขาเดียวดายยอมให้เธออาศัยอยู่ที่นี่ เขาก็พาเธอมาที่เรือนพักหลังใหญ่ทางด้านตะวันออก แล้วกำชับให้กินอาหาร แช่น้ำร้อน พักผ่อน และเดินออกมาสูดอากาศตามช่วงเวลาที่จัดให้ โดยสั่งห้ามขั้นเด็ดขาดว่าห้ามเดินสะเปะสะปะออกนอกเส้นทางที่กำหนดให้แม้เพียงครึ่งก้าว
ทีแรกอาจูไม่ค่อยพอใจนักที่โดนสั่งให้รีบตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงไก่ขันแรกของวันเพียงเพื่อเดินทางฝ่าหมอกฝ่าน้ำค้างเย็นจัดไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อนทางด้านหลังหุบเขา แต่หลังกลับจากแช่น้ำอุ่นๆ แล้วเห็นข้าวปลาอาหารวางรออยู่เต็มโต๊ะ เธอก็อดสรรเสริญทั้งเจ้าบ้านช่างคิดและคนรับใช้ผู้จัดเตรียมข้าวปลาอาหารในแต่ละมื้อไม่ได้
ได้ตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็เต้นระบำไปในหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้กับสายหมอก แถมยังได้กินข้าวปลาอาหารดีๆ หลังแช่บ่อน้ำร้อนธรรมชาติตั้งวันละสองเวลา กลางคืนไม่ต้องคิดอะไรนอกจากนอนหลับให้เต็มอิ่ม กลางวันไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งๆ นอนๆ รอให้ท่านจ้าวหุบเขามาตรวจอาการประจำวัน นอกเหนือไปจากนั้นก็มีแค่คอยรอลุ้นว่ามื้อเที่ยงกับมื้อเย็นจะเป็นอาหารรสเลิศชนิดไหน หึหึหึ...ในยามนี้ ทั่วทั้งหุบเขา ผู้ใดจะสุขกายสบายใจกว่าเสี่ยวจวี๋ฮวาคงไม่มี
พูดถึงความสะดวกสบาย...
อาจูยกถ้วยน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมหอมหวานรสกลมกล่อมขึ้นจิบแล้วก็ชวนให้สงสัย
ในสายตาเธอ ที่นี่ดูเงียบเหงาราวกับสถานตากอากาศผีสิง นอกจากท่านจ้าวหุบเขาหน้านิ่งคนนั้นแล้ว เธอแน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นมนุษย์หน้าไหนเลยสักราย ทั้งอย่างนั้น อาณาบริเวณรอบๆ ที่พักและทางเดินทุกเส้นทางที่จำเป็นต้องเดินผ่านกลับไม่ได้ดูรกร้าง นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน หมอน ผ้าห่ม เสื้อผ้า รองเท้า ยา น้ำชา น้ำล้างหน้า น้ำล้างมือ น้ำล้างเท้า และอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันล้วนมีคนจัดเตรียมให้พร้อมสรรพโดยไม่ต้องร้องขอ ราวกับว่าในหุบเขาเดียวดายแห่งนี้เลี้ยงดูคนรับใช้ล่องหนไร้เสียงไร้เงาไว้รองมือรองเท้าสักสี่ซ้าห้าคนเป็นอย่างต่ำ
คนรับใช้บ้านไหนกัน จะทำงานโดยไร้เสียงไร้เงาได้ถึงขนาดนั้น?
คนที่ทำแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ภูติผีปีศาจ ก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีวิชาตัวเบาเลิศล้ำ นอกจากนี้กฎระเบียบของที่นี่คงจะต้องเข้มงวดเอามากๆ
พอนึกถึงตรงนี้ ภาพสีหน้ายามท่านจ้าวหุบเขาออกคำสั่งให้เธอทำนี่ทำนั่นตามที่เขาบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ น้ำเสียงราบเรียบก็ลอยขึ้นมา
อืม...
เสี่ยวจวี๋ฮวายกมือเรียวงามขึ้นทาบอก คลี่ยิ้มแบบกุลสตรี ส่ายหน้าน้อยๆ
“เฮ้อ...ชีวิตข้าช่างโชคดีเสียจริง กระทั่งความจำเสื่อมก็ยังมีคนคอยรองมือรองเท้าให้กินอยู่สุขสบาย~”
ชื่นชมวาสนาตัวเองแล้ว คนได้รับการปรนนิบัติราวคุณหนูของหุบเขาก็ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นจิบอีกอึกด้วยกิริยาแช่มช้อยงามสง่าตามแบบที่เคยเห็นในละคร ค่อนข้างแน่ใจว่าถ้ามีใครสักคนหรืออาจจะหลายคนเฝ้ามองจากที่ไกล พวกเขาจะต้องรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองสาวงามในอุดมคติและยิ่งกว่ารู้สึกชื่นชมเป็นแน่
ทว่า...
“เกรงว่าโชคดีของเจ้าคงหมดลงเพียงเท่านี้”
“แค่ก แค่ก แค่ก” สาวงามถึงขั้นสำลักน้ำแกง “ซะ ซือฝุ ท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรสักนิด!” ตอนเธอแอ๊บแบ๊วทำตัวโลกสวยไม่ยักกะโผล่มา ดันโผล่มาอิตอนเผลอเผยธาตุแท้ซะได้ โอย...พัง!
จ้าวหุบเขาเดียวดายจ้องมองลูกศิษย์คนใหม่ที่สำลักน้ำแกงไก่จนใบหน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหล ไอไม่หยุด แล้วเลื่อนสายตาลงมองบรรดาจานชามที่แทบไม่มีเศษอาหารหลงเหลือ จากนั้นก็เลื่อนสายตากลับขึ้นมองหน้าเธออีกครั้ง
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าแววตาสงบนิ่ง คล้ายเทพเซียนผู้สูงส่ง
“นั่นคงเพราะเจ้าเป็นผู้มีสมาธิจดจ่อเป็นเลิศกระมัง”
มีสมาธิจดจ่อเป็นเลิศ...?
กับอาหารเนี่ยนะ!
อาจูอดช้อนตาจ้องหน้าเขากลับไม่ได้
“นี่ท่านกำลังแดกดันข้าใช่ไหม? จงใจด่าข้าว่าเป็นลูกหมูจอมตะกละสินะ!” ถ้าไม่ติดว่าไอหนักจนพูดอะไรไม่ได้ เธออาจหลุดโวยวายใส่ต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องสำลักไปแล้ว
หึ...ทั้งหมดก็เพราะท่านนั่นแหละ ใครใช้ให้ท่านปรากฏตัวโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันล่ะ!
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd







