ถึงแม้จะพยายามบอกตัวเองสักแค่ไหน ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจกลับไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
คนข้างกายอย่างอาจูติดใจสงสัย แต่ท่านจ้าวหุบเขากลับดูคล้ายไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “เช่นนั้นก็ดี...” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ย น้ำเสียงเรียบเรื่อย “ที่นี่มีคนไม่พอซ้ำยังขาดแคลนผู้รู้วิชาแพทย์ แม้ตำหนักพันพิษจะได้ชื่อว่าเป็นสำนักฝ่ายมารที่เชี่ยวชาญแต่เรื่องพิษ ทว่าแต่เดิมประมุขเซี่ยเคยเป็นศิษย์ของหุบเขาเดียวดาย น่าจะพอจดจำวิธีรักษาดูแลผู้ป่วยโรคระบาดชนิดนี้ได้กระมัง”
“ย่อมต้องจดจำได้”
“เช่นนั้นเริ่มจากคัดแยกผู้ป่วยกันก่อนก็แล้วกัน” ท่านจ้าวหุบเขาพูดเรื่องความเป็นสำนักฝ่ายมารแล้วมอบหมายหน้าที่ให้อย่างไม่ขัดเขิน กิริยาอาการลื่นไหลเสียจนเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ สีหน้าแข็งค้างไปชั่วครู่ แม้แต่อาจูยังรู้สึกว่าพฤติกรรมเน้นงานไม่เน้นความสัมพันธ์ จู่ๆ ก็เรียกใช้งานผู้อื่นหน้าตาเฉยพรรค์นี้ ติดจะดูแล้งน้ำใจไร้มารยาทจนเกินไป
โถ...ซือฝุเจ้าขา ท่านก็ช่วยแกล้งถามไถ่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยนางสักหน่อยไม่ได้หรือ...ฮื้ม?
อาจารย์ป้าผู้นี้ก็ช่างมีรสนิยมน่าตกใจดีจริงๆ ผู้ชายเขาเคยทำดีด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดจึงงมงายไม่เลิก?
หรือเมื่อก่อนตอนที่พวกท่านยังเยาว์ จ้าวหุบเขาหลี่ยังไม่ได้มีเพียงสีหน้าเดียว ไม่ได้มีอุปนิสัยแปลกประหลาดเย็นชาถึงเพียงนี้?
อาจูเหลียวมองท่านบุรุษข้างกาย สองมือน้อยๆ ยังคงจับแขนเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มเอาไว้แน่น ยิ่งมองก็ยิ่งนึกภาพท่านจ้าวหุบเขาคลี่ยิ้มอ่อนโยนพูดจาน่าฟังไม่ออกเลยสักนิด ลืมไปเสียสนิทว่าท่านจ้าวหุบเขาก็ไม่เคยพูดจาอ่อนโยนน่าฟังต่อหน้าตัวเองด้วยเหมือนกัน
อา...คอแห้งจังเลยแฮะ อีกเดี๋ยวท่านจ้าวหุบเขาก็คงคอแห้งแล้วเหมือนกัน ที่หุบเขาเดียวดายใช้วิธีขุดบ่อน้ำ และผันน้ำบริสุทธิ์จากภูเขา ปล่อยให้น้ำค้าง น้ำที่รากไม้คายออกมา และน้ำจากตาน้ำ ไหลลงมาตามรางหิน น้ำใสสะอาดกรุ่นกลิ่นป่าเขาลำเนาไพรที่รองรับจากรางหินชนิดนี้โดยตรงเอามาใช้ชงชาได้รสชาติดี ต่อให้ใช่หรือไม่ใช่รสชาติที่ถูกปากจ้าวหุบเขาหลี่ที่สุดก็เป็นรสชาติที่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าในหุบเขาเล็กๆ นี่จะหาน้ำแบบนั้นได้จากที่ไหน...
อาจูกวาดสายตามองไปรอบๆ จนเจอลำคลองแปลกๆ ที่ไม่มีดิน
ลำคลองที่ว่านี้ทอดตัวเป็นเส้นยาว ตำแหน่งที่ตีวงเป็นเส้นโค้งก็ตีวงได้งดงามหมดจดเหมือนภาพวาด ตำแหน่งที่ทอดตัวเป็นเส้นตรงก็ดูตรงดิ่งจนผิดธรรมชาติ ยิ่งเพ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นตามากจริงๆ
“นั่นคลองหินขุด” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
“คลองนั่นดูคล้ายรางหินในหุบเขาเดียวดาย...”
“เป็นเพราะปรมาจารย์จ้าวหุบเขารุ่นก่อนเป็นผู้เดินทางมาชี้แนะให้สร้างไว้”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้...
อาจูจ้องน้ำสีใสในรางหินขุด ดวงตาเป็นประกาย
ระบบรางน้ำหินขุดของท่านปรมาจารย์จ้าวหุบเขารุ่นก่อนไม่เพียงใช้การได้ดียังคล้ายมีระบบกรองน้ำ กว่าน้ำจะไหลมาถึงปลายรางก็ใสสะอาดเสียยิ่งกว่าใส ไม่รู้ว่าน้ำใสๆ ในคลองนั่นจะสะอาดบริสุทธิ์แถมยังเอามาใช้ชงชาได้ดีเหมือนน้ำในหุบเขาเดียวดายหรือเปล่า...
ขณะคนทั้งหมดกำลังจะแยกย้ายกันไปเริ่มงานตามหน้าที่ องครักษ์ผู้หนึ่งของสมาพันธ์เฮยอิงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาประสานมือรายงาน
“เรียนท่านประมุข แย่แล้ว...พบแล้ว...พบเด็กคนนั้นแล้วขอรับ!”
อาจูไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเป็นเรื่องอะไร ได้แต่เหลียวสบตาท่านจ้าวหุบเขา เกิดสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
มีเด็กหายไปงั้นเรอะ...?
จะเป็นเด็กที่ไหนก็ช่างเถอะ...ในเมื่อตอนนี้เจอตัวแล้วจะนับว่าเป็นเรื่อง “แย่” ได้ยังไง นอกเสียจากว่าเด็กคนนั้นจะเป็นตัวอันตรายหรือไม่ก็...
“พูด!” เยว่เทียนฟงกระชากเสียงถาม ไม่มีแก่ใจจะเล่นเป็นประมุขหนุ่มผู้สุภาพสำรวมอีกต่อไป
“อยู่ต้นคลอง...ศพอยู่ในบ่อพักน้ำต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านขอรับ!” ผู้รายงานเค้นเสียงบอก “ตอนนี้ศพเริ่มเน่าเปื่อยจึงได้กลิ่น ดูจากสภาพศพ
เดาว่า...” องครักษ์หนุ่มลังเลที่จะพูดเล็กน้อย สุดท้ายก็กลั้นใจเอ่ยออกมาจนได้ “เดาว่าศพคงแช่อยู่ตรงนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน!”ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านมีศพนอนแช่อยู่ในนั้นมากกว่าสามวัน...
ตอนนี้อาจูหายคอแห้งแล้ว
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo