“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!”
ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้น
สวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!
“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”
“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน
“จ้าวหุบเขา เชิญ” เยว่เทียนฟงเอ่ยสีหน้าจริงจัง ในดวงตาไม่เหลือแววขี้เล่นรักสนุกใดใดอีก
อาจูอยากจะบอกว่าจะช่วยคัดแยกผู้ป่วยอยู่ตรงนี้ แต่ติดที่อาจารย์ป้าผู้ยามนี้น่าจะได้วรยุทธกลับคืนมาแล้วดูน่ากลัวจนเกินไป หลังจากชั่งตวงวัดในใจก็ตัดสินใจเผชิญหน้ากับศพ เดินตามซือฝุผู้สงบนิ่งคล้ายไม่หือไม่อือต่อสิ่งใดไปอย่างว่าง่าย
บ่อพักน้ำของหมู่บ้านสือหู ก็คือจุดที่น้ำไหลจากรางหินซึ่งทอดยาวตามแนวเขาลงมารวมกันนั่นเอง หากไม่นับเรื่องที่ว่าข้างหน้านี้มีศพนอนแช่อยู่ แนวการขุดรางหินตามภูเขาและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รอบบ่อขับให้พื้นที่ส่วนนี้ดูน่าเจริญหูเจริญตาไม่เบา
น่าเสียดายที่สาวเท้าไปข้างหน้าอีกแค่ไม่กี่วา ภาพทิวทัศน์งดงามก็ถูกทำลายลงด้วยภาพเล้าหมูที่ตั้งอยู่บนแอ่งดินขนาดใหญ่ และกลิ่นเหม็นหมักหมมที่ชวนให้คนไม่คุ้นชินแสบจมูกปนคลื่นไส้
อาจูกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ อันที่จริงแล้ว ตอนที่อยู่ในเขตที่พักอาศัยก็ได้กลิ่นชนิดนี้โชยมาเป็นระยะเหมือนกัน แต่เพราะมีผ้าคล้องปิดปากและจมูกกั้นอยู่อีกชั้น ทั้งยังไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณนี้เท่าไหร่นัก กลิ่นที่จำเป็นต้องสูดเข้าไปจึงไม่นับว่าย่ำแย่เกินรับไหว
ทีแรกเธอนึกว่าจะเป็นกลิ่นที่เกิดเพราะโรคระบาดหรือการใช้ชีวิตชนิดไม่ถูกสุขอนามัยของพวกชาวบ้าน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นกลิ่นปศุสัตว์...มิหนำซ้ำยังเป็นการทำปศุสัตว์ที่สกปรกไร้ระเบียบเอามากๆ
พื้นที่แถบนี้ไม่ใช่แค่มีคอกหมู เวลานี้เจ้าสัตว์สารร่างอ้วนตันหลายตัวยังหลุดออกมาเดินเพ่นพ่านไปทั่ว แต่ละตัวทั้งสกปรกมอมแมม ทั้งตะกละ ตะกลาม ดวงตาขวางๆ กับพฤติกรรมก้มหน้าก้มตากินผักกินหญ้าเหมือนอดอาหารมานานทำเอาอาจูอดนึกถึงข่าวน่าตกใจที่เคยอ่านในโลกอนาคตไม่ได้
หลายปีก่อนหน้าที่เธอจะทะลุมิติข้ามกาลเวลามาอยู่ในร่างนี้ ที่รัฐโอเรกอนในสหรัฐอเมริกามีคนเลี้ยงหมูโดนหมูของตัวเองรุมกินเนื้อจนมีคนเอาไปสร้างเป็นละครสยองขวัญสั่นประสาท ต่อมาในมลฑลเจียงซูของจีนก็เกิดคดีเด็กตัวเล็กๆ โดนแม่หมูจับกิน ทั้งละครและข่าวเรื่องนี้ทำเอาอาจูขยาดหมูตัวเป็นๆ จนเก็บไปนอนฝันร้ายอยู่พักใหญ่ ในฝันร้ายจิตใต้สำนึกยังสั่งให้วิ่งหนีหมูไปกอดงู ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเคยทั้งเกลียดทั้งกลัวสัตว์เลื้อยคลานยิ่งกว่าอะไร
“ซือฝุ...” ลูกศิษย์ที่กลัวหมูยิ่งกว่างูเผลอขยับเข้าคว้าแขนเสื้ออาจารย์อีกจนได้
หมะ...หมูพวกนั้นทั้งอวบอ้วนทั้งตัวใหญ่ ถ้าโดนพวกมันพุ่งเข้าใส่ สาวน้อยสารร่างเล็กจ้อยกระดูกบางอย่างจวี๋ฮวาต้องเอาตัวรอดไม่ไหวแน่ๆ!
“ปล่อยให้พวกกินล้างกินผลาญพวกนี้หลุดออกมาได้ที่ไหน รีบๆ มาช่วยกันไล่ต้อน เร็วเข้า!” ชาวบ้านสักคนตะโกนบอกพวกพ้องเสียงดังลั่น เพียงเท่านั้นชาวบ้านชายหลายคนก็ช่วยกันไล่ต้อน ล้อมจับหมูพัลวัน
“ชาวบ้านสร้างคอกเลี้ยงสุกรบังทางลม มิน่า ก่อนหน้านี้ประมุขเยว่ถึงได้ไม่ทันเอะใจอะไร” จ้าวหุบเขาหลี่เอ่ยไม่ดังไม่เบา
ฟังท่านจ้าวหุบเขาพูดแล้ว อาจูก็เข้าอกเข้าใจขึ้นมาทันที
มีคนสร้างคอกเลี้ยงหมูขวางทางลมอยู่แบบนี้...ทั้งกลิ่นสาบ ทั้งกลิ่นเหม็นๆ จากอาหารและมูลสัตว์ คงช่วยกลบกลิ่นศพเด็กเคราะห์ร้ายรายนั้นเอาไว้จนเกือบมิด
ห่างออกไปไม่มาก หญิงชราที่กัดฟันแน่นมาตลอดทาง มองพวกชาวบ้านชายไล่ต้อนหมูแล้วเปิดปากถ่มน้ำลาย “หึ! นึกเอาไว้ไม่มีผิด สักวันตัวสกปรกพวกนี้ต้องก่อเรื่องใหญ่!” แม่เฒ่าแผดเสียงดังขึ้น เหมือนต้องตะโกนถึงจะสาแก่ใจ “พวกเจ้าดู ดูซากกระดูกนั่น!” นางถลึงตา ชี้มือชี้ไม้ “เจ้าตัวสกปรกพวกนี้ไม่ใช่กินแค่ผักกับหญ้าแต่ยังรู้จักกินเนื้อกินซากสัตว์! มาถึงตอนนี้ตาเฒ่านั่นกับลูกชายล้มป่วย ไม่มีคนดูแล ที่นี่เหม็นเน่าจนกลบกลิ่นอัปมงคลที่ควรได้กลิ่นเช่นนี้ จะนับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร!”
หญิงชรากำมือเหี่ยวแห้ง ออกท่าออกทางเหมือนอยากท้าตีท้าต่อย ทำเอาแม่นางคนงามที่ตามประคองหน้าเสีย
“ล้วนเป็นเรื่องสุดวิสัย...ท่านแม่อย่าโมโหเกินไป หากกระทบถึงสุขภาพ...”
“สุดวิสัยอะไรกัน ลูกสะใภ้ใจดีเกินไปแล้ว!” หญิงชราตวาดลั่น “ตาเฒ่าดื้อดึงนั่นกับความตะกละของคนพวกนี้ทำให้พวกเราต้องกรอกน้ำแช่ซากศพลงท้องตั้งไม่รู้กี่วัน โรคระบาดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะศพนั่นหรือไม่ก็ไม่รู้! บางทีโรคระบาดอาจเกิดจากตัวสกปรกพวกนี้ก็ได้!”
ตอนนี้แม่เฒ่าพาลเอาเรื่องหมูกับเรื่องโรคระบาดมาเชื่อมโยงกันมั่วซั่ว
ไปหมด ยิ่งลูกสะใภ้ห้ามปรามก็ยิ่งโวยวาย พวกชาวบ้านที่ตามมาด้วยกันก็พลอยพยักหน้าเออออ ขอโทษขอโพยที่เคยเห็นแก่กินจนพลอยเห็นดีเห็นงามตามผู้เฒ่าสือ ละเลยความเห็นแม่เฒ่าสวี... ฟังจากที่พวกชาวบ้านร่วมกันก่นด่าแล้ว อาจูค่อนข้างแน่ใจว่าอีกไม่นานหมูพวกนี้คงมีอันต้องกลายร่างเป็นหมูย่าง หมูตุ๋น กับหมูตากแห้งแน่ๆท่ามกลางความวุ่นวายมีเพียงจ้าวหุบเขาหลี่ที่สงบนิ่ง มองเผินๆ จึงดูคล้ายเทพเซียนสูงส่งผู้เดินทางมาโปรดสัตว์ก็ไม่ปาน
“แผ่นหลังข้า” ท่านจ้าวหุบเขาสั่งคำเดิมสั้นๆ อาจูจึงละสายตาจากงิ้ว
ฉากเด็ดของหญิงชรานักปลุกปั่น เดินตามหลังอาจารย์อย่างว่าง่ายอาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo