จวนตระกูลกู้ วันนี้นัดพบอีกสองตระกูลใหญ่เพื่อปรึกษาหารือกัน เสนาบดีกู้ฟู่อัน เสนาบดีซูโม่เฉิง เสนาบดีจางเจียโยว ทั้งสามตระกูลคบหากันมาอย่างยาวนาน ในท้องพระโรงทั้งสามตระกูลไม่เคยขัดขากันเลยสักครั้ง ทำงานกันอย่างสามัคคีเกาะเกี่ยวกันอย่างเหนี่ยวแน่น อย่างในครั้งนี้ทั้งสามตระกูลมองเห็นแกะดำที่โผล่ออกมา นั้นก็คือสกุลว่าน ที่เมื่อก่อนไม่เคยมีบทบาทในราชสำนัก แต่จู่ๆ ก็เป็นม้ามืดคว้าทุกอย่างไปเป็นของตน สามตระกูลยอมรับว่าเสียหน้าไม่น้อย จึงต้องเรียกประชุมด่วน
“เหตุใดฮ่องเต้ถึงแต่งตั้งบุตรสาวของสกุลว่านเป็นท่านหญิง เรื่องนี้ข้าว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย หากคนที่แต่งตั้งมีความรู้ความสามารถข้าจะว่าเลย แต่ว่าชื่อเสียงของนางไม่มีข้อไหนดีเลย ข้าว่าเราควรยื่นฎีกาถอดถอนนางเรื่องความไม่เหมาะสม” กู้ฟู่อันเสนอขึ้น “ข้าก็คิดเหมือนกันกับท่าน คุณหนูสามอายุเพียงสิบสี่หนาวไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นอะไร ส่วนชื่อเสียงของนางตามที่ได้ยินมา ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้เป็นท่านหญิง ข้าขอสนับสนุนท่านเสนากู้ ถอดถอนนางออกจากตำแหน่ง” ซูโม่เฉิงเอ่ยจุดยืนของตน “คนที่ถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงคุณสมบัติต้องเพียบพร้อม ข้าก็ยอมไม่ได้เช่นกันที่ให้ใครก็ได้มาเป็นท่านหญิง สกุลว่านมีดีอะไรตลอดเวลาที่ผ่านมา แทบไม่เคยเห็นผลงาน อยู่ๆ จะมาชุบมือเปิบเช่นนี้ข้ายอมไม่ได้” จางเจียโยวคัดค้านเต็มที่ “ในเมื่อพวกท่านเห็นด้วยกับข้า พรุ่งนี้ข้าจะร่างฎีกายื่นในวันพรุ่งนี้ อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องเสียงของพวกเรา ไม่รู้ว่าเสนาว่านไปพูดเป่าหูฝ่าบาทอะไร ฝ่าบาทถึงพระทานตำแหน่งให้บุตรสาวนาง เรื่องนี้ข้าคิดว่าเหล่าเสนาบดีในท้องพระโรงต้องเห็นด้วยกับเราแน่นอน” กู้ฟู่อันกล่าวอย่างมั่นใจ เช้าวันต่อมา ณท้องพระโรง เหล่าขุนนางตบเท้าเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งเหว่ยอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชายเจินซีห่าวก็เข้าร่วมประชุมด้วย พอทุกคนเห็นฮ่องเต้เดินขึ้นบัลลังก์ ก็กล่าวอวยพรตามธรรมเนียม จากนั้นฝ่าบาทก็เริ่มประชุมตามปกติ แต่ฮ่องเต้เจินเฉินหลงพอจะรู้อยู่บ้างว่าวันนี้พวกเขาจะพูดเรื่องอะไร หลังจากเขาถูกวางยาและหายดี เขาก็เริ่มจัดการเปลี่ยนแปลงระบบในราชสำนัก และส่งคนไปแอบสืบเหล่าขุนนางอย่างเงียบๆ เขาจะไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว โชคดีที่คุณหนูว่านช่วยเขาเอาไว้ “ฝ่าบาทกระหม่อมอยากยื่นฎีกาถอดถอน ตำแหน่งท่านหญิงของคุณหนูว่านพ่ะย่ะค่ะ” เสนากู้เริ่มเปิดประเด็นทันที “กระหม่อมก็ขอยื่นฎีกาถอดถอนตำแหน่งท่านหญิงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” คนแรกผ่านไปคนที่สองก็ตามมา เสนาซู “กระหม่อมก็ขอยื่นฎีกาถอดถอนตำแหน่งท่านหญิงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เสนาจางก็มาเสริม “เราอยากฟังเหตุผลว่าทำไมต้องถอดถอนนาง” ฮ่องเต้ถามขึ้นอย่างใจเย็น “ทูลฝ่าบาทคุณหนูสามว่านชิงอี ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง นางไร้ความสามารถ อีกทั้งชื่อเสียงเลวร้าย ไม่เหมาะจะเป็นท่านหญิงเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” “แล้วในความคิดท่านเสนากู้ คิดว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งท่านหญิง” ? “คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งท่านหญิง ต้องมีความรู้ความสามารถโดดเด่น สามารถเชิดหน้าชูตาให้กับแคว้น กระหม่อมคิดว่าบุตรสาวกระหม่อม กู้ผิงอันเหมาะสมยิ่ง กับตำแหน่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีว่านเมื่อได้ยินเหล่าขุนนางคัดค้าน และยื่นฎีกาถอดถอนบุตรสาวของตนก็เริ่มไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่กล้าออกไปงัดข้อกับพวกเขา ได้แต่เก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เหว่ยอ๋องเริ่มมีโทสะขึ้นมา สุดท้ายเสนากู้ก็อยากให้บุตรสาวของตนได้ตำแหน่งนี้ น่าสมเพชจริงๆ หางโผล่ออกมาจนได้ “ข้ามีเรื่องจะเล่าให้พวกท่านฟังเรื่องหนึ่งตั้งใจฟังกันให้ดีๆ ไม่นานมานี้เราล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอหลวงที่ว่ามีความสามารถที่สุด ตรวจไม่พบว่าเราเป็นอะไร อาการของเราแย่ลงเรื่อยๆ จนแทบไม่รอด เราอยากถามเสนากู้ว่า หากเป็นบุตรสาวของท่าน จะสามารถช่วยชีวิตเราได้หรือไม่?” “ทูลฝ่าบาทบุตรสาวกระหม่อมไม่ได้เรียนวิชาเเพทย์ คงไม่อาจทำได้พ่ะย่ะค่ะ” เสนากู้ตอบออกไปตามความเป็นจริง “แล้วหากมีคนที่ช่วยชีวิตเราได้ เราควรตอบแทนเขาอย่างไร อันนี้เราอยากได้ยินทุกคนตอบ” ภายในท้องพระโรงเงียบสนิท ก่อนเหล่าเสนาจะตอบออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน “ตอบแทนให้อย่างเหมาะสมกับความสามารถของเขาพ่ะย่ะค่ะ” “ดี!พวกท่านพูดได้ดี ซึ่งเราก็ตอบแทนคุณหนูว่านด้วยตำแหน่งท่านหญิง พวกท่านคิดว่ามีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?” “หา!…..เป็นคุณหนูว่านที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทหรือ” ฮ่องเต้แสยะยิ้มด้วยความสะใจ สบตากับโอรสทั้งสามอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ได้ตบหน้าเหล่าขุนนางโดยไม่ต้องใช้กำลัง ความรู้สึกมันดีอย่างนี้นี่เอง เสนาว่านเองก็เพิ่งรู้ว่าว่านชิงอีเป็นคนช่วยฝ่าบาท เขารู้สึกปลาบปลื้มจนแทบจะล้นอก บุตรสาวของเขาคนนี้มันได้ใจพ่อจริงๆ แต่แล้วจู่ๆ เหล่าขุนนางก็มายินดีกับเขา กันอย่างมากหน้าหลายตา จนเขารับไม่หวาดไม่ไหว เขารอไม่ไหวที่จะกลับไปบอกข่าวดีกับมารดาและคนในครอบครัว หลังจากเลิกประชุม ฮ่องเต้ได้เรียกโอรสทั้งสาม ให้ไปพบที่ห้องทรงอักษร ที่จริงเขามีโอรสมากกว่านี้ แต่สามคนนี้เท่าที่เขาสังเกตและเฝ้าดู ค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว ไม่โลภมากและมักใหญ่ใฝ่สูงและเคารพในความเป็นพี่น้องซึ่งกันและกัน เขายอมรับว่าโชคดีกว่าราชวงศ์อื่น ที่พี่น้องห้ำหั่นฆ่ากันเองเพื่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ” สามโอรสเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ฮ่องเต้เจินเฉินหลง ระบายยิ้มบนใบหน้าอย่างพอใจ พวกเขาปีนี้อายุ23ปียังไม่มีคู่ครองเป็นของตัวเอง เขาไม่อยากบังคับแต่องค์รัชทายาทนั้น มีคู่หมั้นที่ได้พูดคุยกันมาเนิ่นนานกับตระกูลจาง แต่องค์รัชทายาทก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ตั้งแต่เขาหายป่วยร่างกายเขาก็แข็งแรงขึ้นมาก แต่เขาก็ไม่อาจวางใจ อย่างไรเสียหากรัชทายาท แต่งงานออกเรือน เมื่อใดที่ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ก็จะมั่นคง สกุลจางก็คงพร้อมสนับสนุนเขา “ที่เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้าเรื่องคู่ครอง รัชทายาทเจ้ามีคนที่อยากจะแต่งด้วยหรือไม่ หากยังคุณหนูตระกูลจางก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้จะยังไม่ได้ไปพูดคุยอย่างเป็นทางการ แต่ทางฝั่งนั้นก็ได้เตรียมตัวไว้แล้ว รอแต่เจ้าพร้อมก็ไปเจรจาได้เลย ข้าไม่คิดจะบังคับเจ้า แต่บัลลังก์จะมั่นคงได้ก็ต้องมีคนหนุนหลัง พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” “เสด็จพ่อลูกอยากขอเวลาอีกหน่อย ได้ข่าวเป็นท่านหญิงทำการรักษาเสด็จพ่อ หากว่าให้นางจัดยาให้เสด็จพ่อ ร่างกายของเสด็จพ่อก็คงแข็งแรง อยู่ไปได้อีกร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทรีบเสนอแนวทางเพราะเขายังไม่เจอคนที่ชอบ แต่ที่เพิ่งพบก็ยังเยาว์วัยนักเขาต้องรอนางอีกหน่อย “เหว่ยอ๋องพบเจอกับท่านหญิงบ้างหรือไม่? พานางมาพูดคุยกับข้าบ้างก็ดี” เขาอยากเจอเด็กคนนั้นที่ช่วยชีวิตเขา นางเหมือนมีพลังบางอย่าง ที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและปลอดภัย “ทูลเสด็จพ่อ ข้าเพิ่งพบเจอท่านหญิงเมื่อวาน นางได้ช่วยหญิงชาวบ้านที่ถูกสามีฆ่าตาย และยังได้ช่วยเด็กๆ อีกสามคนพ่ะย่ะค่ะ” พูดถึงนางเขาก็รู้สึกดีอย่างประหลาด หากเสด็จพ่อให้พานางมาพบ เขาก็มีเรื่องไปพบนางได้อย่างไม่เคอะเขิน “เด็กคนนี้ช่างทำให้ข้าประหลาดใจ แล้วเจ้าละองค์ชายเจินซีห่าว เรื่องคู่ครองเจ้าได้เคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่?” “ทูลเสด็จพ่อลูกยังไม่เคยคิดเลยพ่ะย่ะค่ะ” จะให้เขาพูดอย่างไรดี ที่จริงเขาถูกใจคุณหนูว่านมาก แต่ว่านางยังดูเยาว์วัยและไร้เดียงสา เขาจึงอยากจะเก็บความรู้สึกดีๆ นี้ไว้เงียบๆ คนเดียว “อีกเรื่องที่ข้าจะพูด วันนี้ข้าได้เปิดเผยเรื่องที่ท่านหญิงเป็นคนรักษาข้า ข้ากังวลว่านางจะไม่ปลอดภัย เหว่ยอ๋องจัดหายอดฝีมือคอยคุ้มครองท่านหญิง องค์ชายเจินซีห่าวจัดหาองครักษ์ลับเพิ่มอีก รัชทายาทช่วงนี้ฝึกกองกำลังค่ายพยัคย์ ให้แข็งแกร่งและเตรียมพร้อมตลอดเวลา เหว่ยอ๋องกองกำลังลับของเจ้าก็ให้กระจายกำลัง จับตาทุกการเคลื่อนไหวของทุกตระกูล ข้าว่าหลังจากวันนี้พวกเขาไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ และอีกสามวันข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ อย่างไรเหว่ยอ๋องก็พานางมาพบข้าด้วย “พ่ะย่ะค่ะ”เหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า