จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้
“เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า ด้วยท่าทางผ่อนคลายแต่ภายในใจเต้นระริกด้วยความปลาบปลื้มใจ เสนาว่านรับมาเปิดอ่านก่อนดวงตาจะเบิกกว้าง ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน แอบขำท่าทางของบิดาที่ตกใจและเปลี่ยนมาดีใจในเวลาต่อมา “นี่มันบัตรเชิญงานเลี้ยงของท่านหญิงจวินจู่” เสนาว่านรู้สึกว่าวันนี้เขามีเรื่องให้ได้ยินดีมากมายเหลือเกิน หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้นเพราะดีใจมากเกินไป “แล้วนางเอ่อท่านหญิงไปที่ใด?” “เห็นว่าฮ่องเต้ต้องการพบเลย เหว่ยอ๋องเลยพาไปในวังเจ้าค่ะ” ชิงหลินเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็ต้องเริ่มเตรียมตัวอาภรณ์ที่จะใส่ในงาน จะให้เสียหน้าท่านหญิงจวินจู่ไม่ได้” “เจ้าค่ะ” เหว่ยอ๋องออกมารับว่านชิงอีเพื่อไปพบกับฮ่องเต้ แต่ในระหว่างอยู่บนรถม้า เหว่ยอ๋องก็นั่งเงียบขรึมไม่พูดไม่จา จนว่านชิงอีรู้สึกอึดอัด บุรุษอะไรช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน เหว่ยอ๋องปรายตามองนาง ที่ขยับไปขยับมาอย่างกับนั่งไม่สบายจึงเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไร?” “เป็นคนเพคะ” นางตอบออกไปเช่นนั้น เพราะรู้สึกขัดใจกับท่าทางของเขา ก่อนจะขยับไปนั่งข้างหน้าต่างแล้วใช้คางวางลงบนขอบหน้าต่าง มองดูบรรยากาศภายนอก เหว่ยอ๋องได้ยินนางตอบกลับมาเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่านางอารมณ์ไม่ดี นี่เขาไปทำอะไรให้นางไม่พอใจหรือไม่? “เจ้าอยากไปกินบะหมี่ก่อนเข้าวังหรือไม่?”ว่านชิงอีพอได้ยินคำว่าบะหมี่ ความขุ่นมัวภายในใจก็มลายหายไป นางรีบขยับมานั่งตัวตรงยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ “ได้หรือเพคะหม่อมฉันอยากกินอยู่พอดีเลย ท่านอ๋องทำไมวันนี้ใจดี?” “พอดีเห็นหมาหงอยแถวนี้เลยจะพาไปกินกระดูกเสียหน่อย” “ท่านอ๋อง!” เหว่ยอ๋องไม่คาดคิดว่านาง จะกระโจนขึ้นมาคร่อมเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมใช้ปากงับที่ต้นคอเขาแต่ไม่ได้แรงมาก ก่อนจะผงกหัวขึ้นมามองเขาสายตาเอาเรื่อง “หากพระองค์ว่าหม่อมฉันเป็นหมาอีก หม่อมฉันจะกัดพระองค์ให้จบเขี้ยวเหมือนหมาเลยเพคะ” ก่อนนางจะถอยหลังไปนั่งที่เดิมพร้อมกอดอกมองเขาอย่างขุ่นเคือง แต่ในสายตาเขานางช่างน่ารักเสียจริง เขาได้แต่แอบยิ้มมุมปากกับกิริยาท่าทางของนาง “พอมาถึงตลาดเหว่ยอ๋องก็บอกอู่ถงให้หยุดรถม้า ก่อนเขาจะเดินลงไปก่อนและยืนรอรับว่านชิงอีอยู่ข้างรถม้า ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็หยุดมองอย่างให้ความสนใจ บุรุษรูปงามกับดรุณีน้อยผู้เลอโฉมช่างเป็นภาพที่งดงาม แต่ไม่ใช่กับคุณหนูซูโม่หลัน ยามนี้ภายในใจร้อนระอุด้วยไฟริษยา เป็นนางอีกแล้วที่แย่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งท่านหญิง หรือแม้แต่สตรีของเหว่ยอ๋อง นางเพียรพยายามมาหลายปีเพื่อให้เป็นที่สนใจของเขา ตั้งแต่นางอายุได้13หนาวจนบัดนี้ผ่านไปสี่ปีแล้ว ครั้งหนึ่งนางได้มีโอกาสเข้าไปในงานเลี้ยงในวังหลวง และได้พบกับเขาที่ตอนนั้นเป็นเพียงองค์ชายเจินจางเหว่ย นางตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้น และพยายามฝึกฝนให้เป็นสตรีที่เพียบพร้อม เพื่อเขาจะได้ชายตามามองนางบ้าง แต่เขาช่างเป็นบุรษที่แสนเย็นชา ไม่เคยเหลียวแลสตรี แต่ว่าเหตุใดกับสตรีนิสัยไม่ดีนางนั้นเขาถึงให้ความใส่ใจ ซูโม่หลันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น จางเจียอีที่สังเกตุเห็นซูโม่หลันจู่ๆ ก็เหมือนจะอารมณ์ไม่ดี จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไปหรือโม่หลัน? “เจ้าดูนั่น” ซูโม่หลันส่งสายตาให้จางเจียอีมองด้านล่างฝั่งตรงข้าม “นั้นมันเหว่ยอ๋องนี่มากับใครคุ้นๆ” “จะใครก็บุตรสาวสกุลว่าน ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงอย่างไรละ ข้าไม่เข้าใจกับราชวงศ์นี้เลยจริงๆ ฝ่าบาทแต่งตั้งนาง ส่วนเหว่ยอ๋องก็ให้ความใส่ใจนาง นี่พวกเราเพียรพยายามทำตัวเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปเพื่ออะไร?” “เจ้าก็ใจเย็นลงหน่อยเถิด เหว่ยอ๋องอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับนางก็เป็นได้ อายุเขากับนางก็ต่างกันมาก อาจจะความประสงค์ของฝ่าบาท ให้เขาช่วยดูแลนางก็เป็นได้” “จางเจียอีเจ้าก็พูดได้สิ เพราะเขาไม่ใช่รัชทายาท ข้าก็อยากจะรู้หากเป็นรัชทายาท เจ้าจะยังใจเย็นอยู่แบบนี้ได้หรือไม่?” ซูโม่หลันเอ่ยน้ำเสียงเย้ยหยันกับจางเจียอี แต่พลันสายตาของนางก็ต้องไปสะดุดกับ องค์รัชทายาทและองค์ชายเจินซีห่าว ที่กำลังเดินเข้าไปหาเหว่ยอ๋อง อย่าบอกนะว่าพวกเขา “จางเจียอี กู้ผิงอัน พวกเจ้ามาดูอะไร” ซูโม่หลันรีบเอ่ยเรียกพวกนางให้มาดูอย่างแค้นใจ พอสองสาวเห็นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ซูโม่หลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะสหายด้วยความสะใจ ดูสิว่าจางเจียอีจะเก็บกิริยามารยาทที่ดีพร้อมไว้ได้อีกหรือไม่ กู้ผิงอันก็เช่นกันเสแสร้งเป็นคุณหนูในห้องหอผู้สมบูรณ์แบบ หากเห็นเช่นนี้แล้วจะยังนิ่งสงบอยู่ได้หรือไม่ “เราลงไปทักทายพวกเขากันเถอะ” เป็นจางเจียอีที่เอ่ยขึ้น สร้างความพอใจให้กับซูโม่หลันเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านเหว่ยอ๋องก็ต้องหมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ที่องค์รัชทายาทและองค์ชายซีซวน ออกมาข้างนอกด้วยเช่นกัน ไหนว่าพวกเขาต้องไปทำธุระให้เสด็จพ่อมิใช่หรือ “พวกเจ้าทำธุระเสร็จแล้วรึ? เหว่ยอ๋องเอ่ยน้ำเสียงคล้ายหงุดหงิดที่เห็นหน้าพวกเขา “แน่นอนพอทำธุระเสร็จข้าก็รีบมาเลย” รัชทายาทเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี “คุณหนูว่านสบายดีหรือไม่? “คุณชายท่านถามข้าว่าสบายดีหรือไม่ พวกเราเพิ่งเจอกันไปเมื่อวานเองนะเพคะ” ว่านชิงอีนึกขำคำถามของเขา เจินซีห่าวยิ้มเขินกับคำถามไม่เข้าท่าของตน” แล้วเจ้าจะไปไหนหรือ?” “ข้าจะพานางไปหาเสด็จพ่อแต่ว่านางอยากกินบะหมี่ ข้าเลยพานางแวะตลาดเสียก่อน” ประโยคนี้เหว่ยอ๋องชิงตอบเสียเอง เจินซีห่าวมองท่าทางหงุดหงิดของพี่ชายต่างมารดาอย่างไม่เข้าใจ เป็นอะไรของเขา แต่ไม่นานเสียงทักทายหวานหูก็ดังเข้ามา ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองเหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า