LOGINจวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้
“เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า ด้วยท่าทางผ่อนคลายแต่ภายในใจเต้นระริกด้วยความปลาบปลื้มใจ เสนาว่านรับมาเปิดอ่านก่อนดวงตาจะเบิกกว้าง ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน แอบขำท่าทางของบิดาที่ตกใจและเปลี่ยนมาดีใจในเวลาต่อมา “นี่มันบัตรเชิญงานเลี้ยงของท่านหญิงจวินจู่” เสนาว่านรู้สึกว่าวันนี้เขามีเรื่องให้ได้ยินดีมากมายเหลือเกิน หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้นเพราะดีใจมากเกินไป “แล้วนางเอ่อท่านหญิงไปที่ใด?” “เห็นว่าฮ่องเต้ต้องการพบเลย เหว่ยอ๋องเลยพาไปในวังเจ้าค่ะ” ชิงหลินเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็ต้องเริ่มเตรียมตัวอาภรณ์ที่จะใส่ในงาน จะให้เสียหน้าท่านหญิงจวินจู่ไม่ได้” “เจ้าค่ะ” เหว่ยอ๋องออกมารับว่านชิงอีเพื่อไปพบกับฮ่องเต้ แต่ในระหว่างอยู่บนรถม้า เหว่ยอ๋องก็นั่งเงียบขรึมไม่พูดไม่จา จนว่านชิงอีรู้สึกอึดอัด บุรุษอะไรช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน เหว่ยอ๋องปรายตามองนาง ที่ขยับไปขยับมาอย่างกับนั่งไม่สบายจึงเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไร?” “เป็นคนเพคะ” นางตอบออกไปเช่นนั้น เพราะรู้สึกขัดใจกับท่าทางของเขา ก่อนจะขยับไปนั่งข้างหน้าต่างแล้วใช้คางวางลงบนขอบหน้าต่าง มองดูบรรยากาศภายนอก เหว่ยอ๋องได้ยินนางตอบกลับมาเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่านางอารมณ์ไม่ดี นี่เขาไปทำอะไรให้นางไม่พอใจหรือไม่? “เจ้าอยากไปกินบะหมี่ก่อนเข้าวังหรือไม่?”ว่านชิงอีพอได้ยินคำว่าบะหมี่ ความขุ่นมัวภายในใจก็มลายหายไป นางรีบขยับมานั่งตัวตรงยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ “ได้หรือเพคะหม่อมฉันอยากกินอยู่พอดีเลย ท่านอ๋องทำไมวันนี้ใจดี?” “พอดีเห็นหมาหงอยแถวนี้เลยจะพาไปกินกระดูกเสียหน่อย” “ท่านอ๋อง!” เหว่ยอ๋องไม่คาดคิดว่านาง จะกระโจนขึ้นมาคร่อมเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมใช้ปากงับที่ต้นคอเขาแต่ไม่ได้แรงมาก ก่อนจะผงกหัวขึ้นมามองเขาสายตาเอาเรื่อง “หากพระองค์ว่าหม่อมฉันเป็นหมาอีก หม่อมฉันจะกัดพระองค์ให้จบเขี้ยวเหมือนหมาเลยเพคะ” ก่อนนางจะถอยหลังไปนั่งที่เดิมพร้อมกอดอกมองเขาอย่างขุ่นเคือง แต่ในสายตาเขานางช่างน่ารักเสียจริง เขาได้แต่แอบยิ้มมุมปากกับกิริยาท่าทางของนาง “พอมาถึงตลาดเหว่ยอ๋องก็บอกอู่ถงให้หยุดรถม้า ก่อนเขาจะเดินลงไปก่อนและยืนรอรับว่านชิงอีอยู่ข้างรถม้า ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็หยุดมองอย่างให้ความสนใจ บุรุษรูปงามกับดรุณีน้อยผู้เลอโฉมช่างเป็นภาพที่งดงาม แต่ไม่ใช่กับคุณหนูซูโม่หลัน ยามนี้ภายในใจร้อนระอุด้วยไฟริษยา เป็นนางอีกแล้วที่แย่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งท่านหญิง หรือแม้แต่สตรีของเหว่ยอ๋อง นางเพียรพยายามมาหลายปีเพื่อให้เป็นที่สนใจของเขา ตั้งแต่นางอายุได้13หนาวจนบัดนี้ผ่านไปสี่ปีแล้ว ครั้งหนึ่งนางได้มีโอกาสเข้าไปในงานเลี้ยงในวังหลวง และได้พบกับเขาที่ตอนนั้นเป็นเพียงองค์ชายเจินจางเหว่ย นางตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้น และพยายามฝึกฝนให้เป็นสตรีที่เพียบพร้อม เพื่อเขาจะได้ชายตามามองนางบ้าง แต่เขาช่างเป็นบุรษที่แสนเย็นชา ไม่เคยเหลียวแลสตรี แต่ว่าเหตุใดกับสตรีนิสัยไม่ดีนางนั้นเขาถึงให้ความใส่ใจ ซูโม่หลันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น จางเจียอีที่สังเกตุเห็นซูโม่หลันจู่ๆ ก็เหมือนจะอารมณ์ไม่ดี จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไปหรือโม่หลัน? “เจ้าดูนั่น” ซูโม่หลันส่งสายตาให้จางเจียอีมองด้านล่างฝั่งตรงข้าม “นั้นมันเหว่ยอ๋องนี่มากับใครคุ้นๆ” “จะใครก็บุตรสาวสกุลว่าน ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงอย่างไรละ ข้าไม่เข้าใจกับราชวงศ์นี้เลยจริงๆ ฝ่าบาทแต่งตั้งนาง ส่วนเหว่ยอ๋องก็ให้ความใส่ใจนาง นี่พวกเราเพียรพยายามทำตัวเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปเพื่ออะไร?” “เจ้าก็ใจเย็นลงหน่อยเถิด เหว่ยอ๋องอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับนางก็เป็นได้ อายุเขากับนางก็ต่างกันมาก อาจจะความประสงค์ของฝ่าบาท ให้เขาช่วยดูแลนางก็เป็นได้” “จางเจียอีเจ้าก็พูดได้สิ เพราะเขาไม่ใช่รัชทายาท ข้าก็อยากจะรู้หากเป็นรัชทายาท เจ้าจะยังใจเย็นอยู่แบบนี้ได้หรือไม่?” ซูโม่หลันเอ่ยน้ำเสียงเย้ยหยันกับจางเจียอี แต่พลันสายตาของนางก็ต้องไปสะดุดกับ องค์รัชทายาทและองค์ชายเจินซีห่าว ที่กำลังเดินเข้าไปหาเหว่ยอ๋อง อย่าบอกนะว่าพวกเขา “จางเจียอี กู้ผิงอัน พวกเจ้ามาดูอะไร” ซูโม่หลันรีบเอ่ยเรียกพวกนางให้มาดูอย่างแค้นใจ พอสองสาวเห็นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ซูโม่หลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะสหายด้วยความสะใจ ดูสิว่าจางเจียอีจะเก็บกิริยามารยาทที่ดีพร้อมไว้ได้อีกหรือไม่ กู้ผิงอันก็เช่นกันเสแสร้งเป็นคุณหนูในห้องหอผู้สมบูรณ์แบบ หากเห็นเช่นนี้แล้วจะยังนิ่งสงบอยู่ได้หรือไม่ “เราลงไปทักทายพวกเขากันเถอะ” เป็นจางเจียอีที่เอ่ยขึ้น สร้างความพอใจให้กับซูโม่หลันเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านเหว่ยอ๋องก็ต้องหมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ที่องค์รัชทายาทและองค์ชายซีซวน ออกมาข้างนอกด้วยเช่นกัน ไหนว่าพวกเขาต้องไปทำธุระให้เสด็จพ่อมิใช่หรือ “พวกเจ้าทำธุระเสร็จแล้วรึ? เหว่ยอ๋องเอ่ยน้ำเสียงคล้ายหงุดหงิดที่เห็นหน้าพวกเขา “แน่นอนพอทำธุระเสร็จข้าก็รีบมาเลย” รัชทายาทเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี “คุณหนูว่านสบายดีหรือไม่? “คุณชายท่านถามข้าว่าสบายดีหรือไม่ พวกเราเพิ่งเจอกันไปเมื่อวานเองนะเพคะ” ว่านชิงอีนึกขำคำถามของเขา เจินซีห่าวยิ้มเขินกับคำถามไม่เข้าท่าของตน” แล้วเจ้าจะไปไหนหรือ?” “ข้าจะพานางไปหาเสด็จพ่อแต่ว่านางอยากกินบะหมี่ ข้าเลยพานางแวะตลาดเสียก่อน” ประโยคนี้เหว่ยอ๋องชิงตอบเสียเอง เจินซีห่าวมองท่าทางหงุดหงิดของพี่ชายต่างมารดาอย่างไม่เข้าใจ เป็นอะไรของเขา แต่ไม่นานเสียงทักทายหวานหูก็ดังเข้ามา ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองแล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







