Mag-log in“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอีก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะนางชอบกินบะหมี่มาก แต่จู่ๆ นางก็สัมผัสได้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆ ว่านชิงอีจึงเหลือบตามองจึงเห็นสตรีรูปร่างผอมบางยืนอยู่ คงเป็นวิญญาณมาขอความช่วยเหลืออีกแล้วสินะ แต่คราวนี้ว่านชิงอีไม่รีบร้อนรีบบอกวิญญาณตนนั้นว่า “ข้าขอกินก่อนได้มั้ย ปิงปิงไปคุยกับนางก่อน” คราวนี้นางพูดออกไปเลย ไม่ส่งจิตพูดคุยอีกแล้ว พวกเขาเห็นนางพูดขึ้นมาลอยๆ ก็พอจะเดาได้ จึงรีบลงมือกินบะหมี่เพราะคิดว่าอาจต้องได้ช่วยเหลือนาง พอทุกคนกินบะหมี่เสร็จรัชทายาทจึงรีบเสนอเป็นคนจ่าย ว่านชิงอีจึงยิ้มแป้นด้วยความถูกใจ อิ่มท้องแถมไม่ต้องเสียเงินนั้นมีอยู่จริง ก่อนนางจะหันมาหาปิงปิงแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นวิญญาณที่นางได้ช่วยเหลือวันก่อน และวิญญาณของสตรีร่างบางยืนอยู่คู่กัน ก่อนนางจะบอกให้พวกเขาตามนางออกมา ตรงสถานที่ปลอดผู้คน น ก่อนว่านชิงอีจึงเอื้อมมือไปจับแขนเหว่ยอ๋อง แล้วนางบอกให้องค์ชายซีห่าวจับมือเหว่ยอ๋อง ทำต่อๆ กันไป ทำให้ตอนนี้ทุกคนมองเห็นวิญญาณได้อย่างชัดเจน และพวกเขายังเห็นเด็กน้อยใส่ชุดจีนหน้าตาน่ารักผู้หนึ่ง “เด็กคนนั้นเป็นผู้ช่วยหม่อมฉันนามว่าปิงปิง” พอนางแนะนำปิงปิงก็โบกมือ และส่งยิ้มคล้ายกับนางงามมิตรภาพ “ว่าแต่เจ้าเหตุใดยังไม่ไป? ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลบุตรของเจ้าให้เอง” ว่านชิงอีถามสตรีนางนั้นอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนูมันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าต้องไป ทางยมโลกยังไม่ส่งใครมารับวิญญาณของข้า ข้าก็เลยคิดว่าจะอยู่เป็นผู้ช่วยท่านชั่วคราว จนกว่าเขาจะมารับวิญญาณข้าเจ้าค่ะ” “เป็นผู้ช่วยข้า? เจ้าก็เลยไปแนะนำวิญญาณที่เดือดร้อนตนนี้ แล้วพามาหาสินะ?” ว่านชิงอีเริ่มรู้สึกว่านางจะมีงานเพิ่มขึ้นในเร็วๆ วันนี้ วิญญาณตนนั้นพยักหน้าอย่างใสซื่อ ว่านชิงอีถอนใจอย่างแรง นี่คงเป็นเหตุผลที่นางทะลุมิติมาสินะ “แล้วเจ้าละเป็นอะไรถึงตาย” เหว่ยอ๋องเห็นนางมีอาการหงุดหงิดและอารมณ์ฉุนเฉียว จึงเอื้อมมือไปตบหลังนางเบาๆ เพราะอยากให้นางใจเย็นลง ปกติเขาเป็นคนใจร้อนแต่พอเจอนางเขากลับใจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ ว่านชิงอีหันมาส่งสายตาขอบคุณ ก่อนจะหันไปสอบถามเรื่องราวต่อ “ข้าทำงานเป็นนางโลมอยู่ในหอคณิกาชมจันทร์ ปกติก็ทำงานรับแขกไปเรื่อย แต่หลังๆ มามีลูกค้าท่านหนึ่งจ่ายหนักมาก มักจะมาเดือนละครั้ง สตรีในหอนางโลมอยากไปค้างกับเขาแทบทุกคน แต่แปลกทุกคนไม่เคยได้กลับมา จริงๆ ข้าก็กลัวที่จะไปค้างกับชายผู้นี้ แต่แม่ข้าล้มป่วยต้องการค่ารักษา ข้าถึงตัดสินใจไป แต่พอไปแล้วข้าถึงรู้ว่าเขามันไม่ใช่คน เขาเสพสมกับร่างกายข้าแต่ก็ทรมารข้าไปพร้อมๆ กัน ข้าทนไม่ไหวจึงได้เสียชีวิตเจ้าค่ะ” “ไอ้ผู้ชายสารเลว!” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า นางมีพวกเขาอยู่ด้วยที่นี่ด้วย แต่พวกเขาสามคนก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ นางจึงถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนจะบอกกับวิญญาณตนนั้นว่า อย่าได้กังวลนางจะพยายาม หาทางจัดการกับชายผู้นั้นให้จงได้ “ข้าต้องจัดการกับเขาแน่ ปล่อยไว้ก็เป็นจะเป็นภัยและอันตรายต่อผู้อื่น หากจับเขาได้ต้องหั่นหนอนน้อยให้ขาด แล้วโยนให้เป็ดกินซะ” อีกครั้งที่นางลืมตัว แต่พวกเขาก็ไม่ใสใจกับคำพูดนาง แต่ใบหูของทั้งสามคนกลับเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อกับคำพูดของนาง นางเรียกตรงนั้นของบุรุษว่าหนอนน้อย ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริงว่านชิงอี พอมาถึงที่วัง พวกเขาก็ตรงไปห้องทรงอักษร ยามนี้ฮ่องเต้ได้ขันทีคนใหม่แล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจไว้ใจใครได้อีก หลังจากพวกเขาเข้ามา เขาก็ให้ขันทีนางกำนัลออกไป ส่วนคนที่ทำหน้าที่รินชากลายมาเป็นว่านชิงอี แต่สามบุรุษพากันแย่งทำหน้าที่นี้ จนฮ่องเต้ปวดหัวแต่ก็ยกยิ้มด้วยความชอบใจ ท่าทางบุบเพคงจะเริ่มอาละวาดเสียแล้วกระมัง ว่านชิงอีเห็นก็เริ่มรำคาญที่พวกเขาทำตัวเหมือนเด็ก จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “พวกท่านทำตัวน่าเบื่อเสียจริง” ประโยคเดียวสามบุรุษกลับมานั่งโดยทันที ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาจนตัวโยน แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องว่าเสด็จพ่อหัวเราะเรื่องอันใด “ที่ข้าให้เจ้ามาพบเพราะอยากจะขอโทษ วันนี้ข้าได้บอกทุกคนในท้องพระโรง ว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้า เหตุผลที่ข้าต้องบอก เพราะเหล่าเสนายื่นฎีกาถอดถอนเจ้าจากตำแหน่งท่านหญิง ต่อไปชีวิตของเจ้าจะไม่ง่ายอีก เจ้าต้องระวังตัว” “ที่จริงหม่อมฉันก็ไม่ได้อยากเป็นท่านหญิง ฝ่าบาทเก็บตำแหน่งคืนก็ได้เพคะ” “จะได้อย่างไรกษัตริย์ตรัสแล้วจะคืนคำได้รึ ข้าได้ส่งคนไว้คอยคุ้มครองเจ้าแล้ว แล้วยังมีองครักษ์ลับที่คอยคุ้มครองที่จวนเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าจะไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “แล้วอาการของฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ วันนี้หม่อมฉันนำยาลูกกลอนมากระปุกหนึ่ง ฝ่าทานเสวยวันละเม็ดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง” ที่จริงนางไม่มีความรู้เรื่องยาแต่อย่างใด รู้เพียงแค่ว่าเลือดของนางเป็นยา นางจึงบดโสมและเห็ดหลินจือเข้าด้วยกัน แล้วนำน้ำต้มที่ผสมเลือดของนาง มาผสมกับโสมและเห็ดหลินจือที่บดไว้ผสมน้ำผึ้งด้วยนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ แค่นี้ก็ได้ยาบำรุงทำจากว่านชิงอี “ขอบใจเจ้ามาก อีกเรื่องที่ข้าจะพูดอีกสามวันจะมีงานเลี้ยง ข้าได้จัดขึ้นเพื่อฉลองตำแหน่งของท่านหญิง เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม” “เพคะ”แล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม





![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

