“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอีก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะนางชอบกินบะหมี่มาก แต่จู่ๆ นางก็สัมผัสได้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆ ว่านชิงอีจึงเหลือบตามองจึงเห็นสตรีรูปร่างผอมบางยืนอยู่ คงเป็นวิญญาณมาขอความช่วยเหลืออีกแล้วสินะ แต่คราวนี้ว่านชิงอีไม่รีบร้อนรีบบอกวิญญาณตนนั้นว่า “ข้าขอกินก่อนได้มั้ย ปิงปิงไปคุยกับนางก่อน” คราวนี้นางพูดออกไปเลย ไม่ส่งจิตพูดคุยอีกแล้ว พวกเขาเห็นนางพูดขึ้นมาลอยๆ ก็พอจะเดาได้ จึงรีบลงมือกินบะหมี่เพราะคิดว่าอาจต้องได้ช่วยเหลือนาง พอทุกคนกินบะหมี่เสร็จรัชทายาทจึงรีบเสนอเป็นคนจ่าย ว่านชิงอีจึงยิ้มแป้นด้วยความถูกใจ อิ่มท้องแถมไม่ต้องเสียเงินนั้นมีอยู่จริง ก่อนนางจะหันมาหาปิงปิงแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นวิญญาณที่นางได้ช่วยเหลือวันก่อน และวิญญาณของสตรีร่างบางยืนอยู่คู่กัน ก่อนนางจะบอกให้พวกเขาตามนางออกมา ตรงสถานที่ปลอดผู้คน น ก่อนว่านชิงอีจึงเอื้อมมือไปจับแขนเหว่ยอ๋อง แล้วนางบอกให้องค์ชายซีห่าวจับมือเหว่ยอ๋อง ทำต่อๆ กันไป ทำให้ตอนนี้ทุกคนมองเห็นวิญญาณได้อย่างชัดเจน และพวกเขายังเห็นเด็กน้อยใส่ชุดจีนหน้าตาน่ารักผู้หนึ่ง “เด็กคนนั้นเป็นผู้ช่วยหม่อมฉันนามว่าปิงปิง” พอนางแนะนำปิงปิงก็โบกมือ และส่งยิ้มคล้ายกับนางงามมิตรภาพ “ว่าแต่เจ้าเหตุใดยังไม่ไป? ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลบุตรของเจ้าให้เอง” ว่านชิงอีถามสตรีนางนั้นอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนูมันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าต้องไป ทางยมโลกยังไม่ส่งใครมารับวิญญาณของข้า ข้าก็เลยคิดว่าจะอยู่เป็นผู้ช่วยท่านชั่วคราว จนกว่าเขาจะมารับวิญญาณข้าเจ้าค่ะ” “เป็นผู้ช่วยข้า? เจ้าก็เลยไปแนะนำวิญญาณที่เดือดร้อนตนนี้ แล้วพามาหาสินะ?” ว่านชิงอีเริ่มรู้สึกว่านางจะมีงานเพิ่มขึ้นในเร็วๆ วันนี้ วิญญาณตนนั้นพยักหน้าอย่างใสซื่อ ว่านชิงอีถอนใจอย่างแรง นี่คงเป็นเหตุผลที่นางทะลุมิติมาสินะ “แล้วเจ้าละเป็นอะไรถึงตาย” เหว่ยอ๋องเห็นนางมีอาการหงุดหงิดและอารมณ์ฉุนเฉียว จึงเอื้อมมือไปตบหลังนางเบาๆ เพราะอยากให้นางใจเย็นลง ปกติเขาเป็นคนใจร้อนแต่พอเจอนางเขากลับใจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ ว่านชิงอีหันมาส่งสายตาขอบคุณ ก่อนจะหันไปสอบถามเรื่องราวต่อ “ข้าทำงานเป็นนางโลมอยู่ในหอคณิกาชมจันทร์ ปกติก็ทำงานรับแขกไปเรื่อย แต่หลังๆ มามีลูกค้าท่านหนึ่งจ่ายหนักมาก มักจะมาเดือนละครั้ง สตรีในหอนางโลมอยากไปค้างกับเขาแทบทุกคน แต่แปลกทุกคนไม่เคยได้กลับมา จริงๆ ข้าก็กลัวที่จะไปค้างกับชายผู้นี้ แต่แม่ข้าล้มป่วยต้องการค่ารักษา ข้าถึงตัดสินใจไป แต่พอไปแล้วข้าถึงรู้ว่าเขามันไม่ใช่คน เขาเสพสมกับร่างกายข้าแต่ก็ทรมารข้าไปพร้อมๆ กัน ข้าทนไม่ไหวจึงได้เสียชีวิตเจ้าค่ะ” “ไอ้ผู้ชายสารเลว!” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า นางมีพวกเขาอยู่ด้วยที่นี่ด้วย แต่พวกเขาสามคนก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ นางจึงถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนจะบอกกับวิญญาณตนนั้นว่า อย่าได้กังวลนางจะพยายาม หาทางจัดการกับชายผู้นั้นให้จงได้ “ข้าต้องจัดการกับเขาแน่ ปล่อยไว้ก็เป็นจะเป็นภัยและอันตรายต่อผู้อื่น หากจับเขาได้ต้องหั่นหนอนน้อยให้ขาด แล้วโยนให้เป็ดกินซะ” อีกครั้งที่นางลืมตัว แต่พวกเขาก็ไม่ใสใจกับคำพูดนาง แต่ใบหูของทั้งสามคนกลับเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อกับคำพูดของนาง นางเรียกตรงนั้นของบุรุษว่าหนอนน้อย ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริงว่านชิงอี พอมาถึงที่วัง พวกเขาก็ตรงไปห้องทรงอักษร ยามนี้ฮ่องเต้ได้ขันทีคนใหม่แล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจไว้ใจใครได้อีก หลังจากพวกเขาเข้ามา เขาก็ให้ขันทีนางกำนัลออกไป ส่วนคนที่ทำหน้าที่รินชากลายมาเป็นว่านชิงอี แต่สามบุรุษพากันแย่งทำหน้าที่นี้ จนฮ่องเต้ปวดหัวแต่ก็ยกยิ้มด้วยความชอบใจ ท่าทางบุบเพคงจะเริ่มอาละวาดเสียแล้วกระมัง ว่านชิงอีเห็นก็เริ่มรำคาญที่พวกเขาทำตัวเหมือนเด็ก จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “พวกท่านทำตัวน่าเบื่อเสียจริง” ประโยคเดียวสามบุรุษกลับมานั่งโดยทันที ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาจนตัวโยน แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องว่าเสด็จพ่อหัวเราะเรื่องอันใด “ที่ข้าให้เจ้ามาพบเพราะอยากจะขอโทษ วันนี้ข้าได้บอกทุกคนในท้องพระโรง ว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้า เหตุผลที่ข้าต้องบอก เพราะเหล่าเสนายื่นฎีกาถอดถอนเจ้าจากตำแหน่งท่านหญิง ต่อไปชีวิตของเจ้าจะไม่ง่ายอีก เจ้าต้องระวังตัว” “ที่จริงหม่อมฉันก็ไม่ได้อยากเป็นท่านหญิง ฝ่าบาทเก็บตำแหน่งคืนก็ได้เพคะ” “จะได้อย่างไรกษัตริย์ตรัสแล้วจะคืนคำได้รึ ข้าได้ส่งคนไว้คอยคุ้มครองเจ้าแล้ว แล้วยังมีองครักษ์ลับที่คอยคุ้มครองที่จวนเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าจะไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “แล้วอาการของฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ วันนี้หม่อมฉันนำยาลูกกลอนมากระปุกหนึ่ง ฝ่าทานเสวยวันละเม็ดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง” ที่จริงนางไม่มีความรู้เรื่องยาแต่อย่างใด รู้เพียงแค่ว่าเลือดของนางเป็นยา นางจึงบดโสมและเห็ดหลินจือเข้าด้วยกัน แล้วนำน้ำต้มที่ผสมเลือดของนาง มาผสมกับโสมและเห็ดหลินจือที่บดไว้ผสมน้ำผึ้งด้วยนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ แค่นี้ก็ได้ยาบำรุงทำจากว่านชิงอี “ขอบใจเจ้ามาก อีกเรื่องที่ข้าจะพูดอีกสามวันจะมีงานเลี้ยง ข้าได้จัดขึ้นเพื่อฉลองตำแหน่งของท่านหญิง เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม” “เพคะ”เหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า