LOGINจางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรัชทายาท ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ข้าขอตายเสียดีกว่า” “ใจเย็นๆ ลูกรัก แม่ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปง่ายๆ แม่จะต้องปรึกษากับท่านพ่อของเจ้า และเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน แต่เจ้าว่าพวกเขาอยู่ที่ตลาดวันนี้ ก็แสดงว่ามีผู้คนพบเห็นมากมาย” “ใช่เจ้าค่ะ” จางเจียอีขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่ามารดาจะถามย้ำเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใด ยิ่งถามนางก็ยิ่งเจ็บใจ “ก็ถ้าคนเห็นเยอะก็ยิ่งดี ชื่อเสียงของท่านหญิงก็จะดูไม่ดีตามไปด้วย สตรีเพียงคนเดียวไปไหนมาไหนกับบุรุษถึงสามคน มีสตรีดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน ยิ่งเป็นท่านหญิงยิ่งไม่เหมาะสม” จางเจียอีพอได้ฟังก็เริ่มเข้าใจ ท่านแม่ช่างฉลาดนัก ฮึข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะแบกรับคำครหานี้ได้หรือไม่ “เดี๋ยวแม่จะให้คนไปแจ้งอีกสองตระกูล ให้มาพูดคุยกันพรุ่งนี้ และแม่ก็จะไปคุยกับท่านพ่อเจ้าด้วย เรื่องนี้จะปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ทางเราต้องเร่งจัดการงานหมั้นให้เกิดขึ้นโดยเร็ว” วันต่อมาอีกสองตระกูลก็เดินทางตามคำเชิญด้วยความร้อนใจ เพราะซูโม่หลันกลับถึงจวนก็เล่าเรื่องราวให้เสนาซูและฮูหยินซูฟัง แม้ทางตระกูลซูจะยังไม่อะไรกับเหว่ยอ๋อง แต่เพราะซูโม่หลันได้บอกกับเสนาซูว่า คนที่อยู่ภายในใจนางคือเหว่ยอ๋อง ตระกูลซูจึงพร้อมจะสนับสนุน ที่จะให้บุตรสาวออกเรือนกับเขา ส่วนตระกูลกู้หลังรับรู้เรื่องราวจากปากของกู้ผิงอัน เสนากู้ก็ถึงกับกัดฟันกรอด! บุตรสาวเขาหมายปององค์ชายซีห่าวมานาน แม้เขาจะเสนอให้นางแต่งกับรัชทายาท แต่นางก็ยืนยันว่าจะแต่งกับองค์ชายซีห่าวเท่านั้น เขาเองก็ไม่กล้าขัดใจบุตรสาว มาวันนี้ได้ยินว่า ท่านหญิงโลภมากหวังจับปลาสามมือ แบบนี้เขาจะไม่ทน! “ได้ตำแหน่งท่านหญิงข้าก็ว่าไม่เหมาะอยู่แล้ว แต่ฝ่าบาทบอกว่านางเป็นคนช่วยชีวิต ข้าก็พูดอะไรไม่ได้ แต่เรื่องจับปลาสามมือเช่นนี้ แคว้นเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” เสนากู้เอ่ยขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว “อีกสองวันก็จะเป็นวันงาน เลี้ยงฉลองการแต่งตั้งท่านหญิง หากข่าวด้านนอกวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของท่านหญิง ผู้คนต้องรวมตัวกัน คัดค้านตำแหน่งของนางแน่ เรื่องนี้มีผู้คนในท้องตลาดเป็นพยาน” ฮูหยินจางกล่าวเสริมขึ้น “ข้าก็เห็นด้วยกับฮูหยินจาง หากท่านหญิงจะใช้ตำแหน่งของนางมาแย่งบุรุษของผู้อื่นเช่นนี้ คนธรรมดาเช่นเราจะทำอย่างไรได้” ฮูหยินซูเริ่มสุ่มไฟทันที “ถ้าเช่นนั้นก็สร้างข่าวให้มันเกินจริงไปเลย อย่างน้อยมันก็มีมูลความจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน” กู้ฮูหยินเริ่มเสนอแนะ และสองฮูหยินก็พยักหน้าเห็นด้วย อีกสามเสนาบดีนั่งจิบชาฟังสตรีปรึกษาแล้ว ก็ยกยิ้มด้วยความพอใจ บางครั้งเรื่องของสตรี ก็ให้สตรีจัดการจะง่ายกว่า ก่อนจะบุรษจะแยกออกไปปรึกษางานกันอีกห้องหนึ่ง “แผนการท่านไปถึงไหนแล้วเสนาซู?” กู้ฟู่อันเอ่ยถามขึ้นเมื่อมาอยู่ในห้องหนังสือ ซูโม่เฉิงแสยะยิ้มออกมาอย่างมาดร้าย “อีกไม่นานก็จะเริ่มแล้วรออีกสักหน่อยเถิดท่านเสนา ใกล้จะถึงวันปีใหม่อีกไม่กี่วัน ผู้คนจะหลั่งไหลไปกราบไหว้ขอพรตามวัดต่างๆ และผู้คนมักเชื่อเรื่องคำทำนายทายทัก ข้าจะเริ่มสร้างสถานการณ์ในวันนั้น ว่าแต่แผนของท่านไปถึงไหน?” “กำลังเตรียมการอยู่ อีกไม่นานท่านก็จะได้เห็น” กู้ฟู่อันเอ่ยขึ้นก่อนจะยกจอกสุราขึ้นกระดก ก่อนเขาจะหันไปถามเสนาจางที่นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง” เสนาจางแล้วแผนท่านละ?” จางเจียโยวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด ก่อนจะหันมาตอบอย่างเฉื่อยชา “แผนข้าก็อีกไม่นานกำลังเตรียมการอยู่ พวกท่านสบายใจได้” ก่อนที่ทั้งสามจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ดั่งคำที่ว่าผีย่อมเห็นผี “คุณหนูข้ามีข่าวมารายงาน ตอนนี้ท่านดังมากเลยเจ้าค่ะ ไปทางไหนมีแต่คนพูดถึงแต่ท่าน” ปิงปิงรีบลอยมาเกาะตรงขอบหน้าต่างแล้วรายงาน “ข่าวว่าอย่างไร?” ชงอีเอ่ยถามแต่ตาก็ยังจ้องแผ่นกระดาษสีแดงที่นางเขียนอย่างตั้งใจ นางเขียนยันต์ป้องกันภูตผีปีศาจเอาไว้ เพื่อว่าอาจได้ใช้ในวันข้างหน้า “ข่าวว่าท่านชอบจับปลาสามมือ” “ดะ..เดี๋ยวข้าเคยแต่ได้ยินจับปลาสองมือ แล้วสามมือมายังไง?” ปิงปิงเท้าสะเอวมองชิงอีอย่างขัดใจ “ท่านก็ฟังข้าให้จบก่อนสิเจ้าคะ ที่มาของสามมือคือ เหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ” ชิงอีได้ฟังก็หมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ กับคำอธิบายของนาง “ก็วันก่อนท่านก็ไปกินบะหมี่กับสามคนนั้น และวันต่อมาท่านก็ไปกินบะหมี่กับสามคนนั้นอีก ผู้คนที่ตลาดเขาบอกว่าเขาเห็นพวกท่านอยู่ด้วยกันจริงๆ และข่าวยังพูดอีกว่า ท่านใช้ตำแหน่งท่านหญิงดึงบุรุษมาเป็นของตน เพราะคนธรรมดามิอาจทำได้ ข่าวยังบอกอีกว่าพฤติกรรมของท่านไม่เหมาะกับท่านหญิง เพราะสตรีที่ดีไม่สมควรไปไหนมาไหนกับบุรุษ ที่ไม่ใช่คู่หมายของตน เฮ้อ!พูดเยอะเหนื่อย อยากกินน้ำแดง” น้องกุมารปิงปิงรายยาวจนเหนื่อย ชิงอียกยิ้มด้วยความเอ็นดู “เดี๋ยวข้าจะลองทำน้ำแดง น้ำเขียว ให้เจ้า แต่ว่าอาจจะไม่เหมือนซะทีเดียวแต่ก็พอทดแทนกันได้” พอได้ยินว่านางจะทำของโปรดให้ ปิงปิงก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “แล้วสามคนนี้ท่านชอบคนไหน?” จู่ๆ ปิงปิงก็ถามขึ้น “ไม่ชอบใครสักคน เพิ่งจะรู้จักจะให้ชอบแล้วเหรอ อีกอย่างเรามาอยู่ในยุคจีนโบราณ ข้าต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือ” “หมายถึงคบเพื่อผลประโยชน์” ปิงปิงแย้งขึ้น “มันก็ไม่ถึงขนานนั้น เจ้าก็เห็นวิญญาณเหล่านั้นมาขอให้ข้าช่วย หากมีพวกเขาทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น” “แต่ว่าท่านก็ได้กินบะหมี่ฟรีทุกวัน” ชิงอีได้ยินปิงปิงดักนางทุกทาง ก็เริ่มโมโหเจ้าตัวน้อนที่ฉลาดเกินไป “ข้าเปลี่ยนใจไม่ทำละน้ำแดงน้ำเขียว พูดมากดีนัก” “ท่านก็น้อยใจไปได้ คำว่าคบเพื่อผลประโยชน์ กับคบเพื่อพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มันมีเส้นบางๆ กันเอาไว้ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้คำแบบไหน ในสถานการณ์ใด” “ปิงปิงเด็กน้อยเจ้าพูดได้ดีมาก เช่นนั้นข้าจะทำน้ำแดงและน้ำเขียวให้เจ้า” ปิงปิงยกยิ้ม “ขอบพระทัยเพคะท่านหญิง” ปิงปิงโค้งขอบคุณชิงอีด้วยความทะเล้น ชิงอีก็หัวเราะออกมากับท่าทางของนาง “ท่านไม่กังวลกับข่าวนี้หรือ?” “ปิงปิงเรามาจากยุคไหน ข้าไม่ใส่ใจหรอก แต่ว่าหากถึงที่สุดฝ่าบาทต้องปลดตำแหน่งของข้า ข้าก็ไม่เดือดร้อนอะไร ตำแหน่งนี้เป็นฝ่าบาทที่มอบให้ข้าเอง ข้าไม่ได้ไปเรียกร้องอยากได้เสียเมื่อไหร่ ข้าสรุปให้เจ้าฟังง่ายๆ พวกเขาต้องการทำลายชื่อเสียง และปลดตำแหน่งของข้า”แล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







