เข้าสู่ระบบ“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน
“เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่วย เรื่องวิญญาณพวกนั่นที่มาขอให้นางช่วย ที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาของนางที่ต้องมาช่วย แต่เพราะวิญญาณสามารถติดต่อนางได้เพียงผู้เดียว ราษฎรเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หากมีนางพวกเราสามารถกำจัดคนชั่วได้มากมาย พวกเราต้องไปหาเสด็จพ่อ” เหว่ยอ๋องกล่าวประโยคยาวๆ เป็นครั้งแรก เขาเองก็นึกแปลกใจ “เสด็จพี่มีแผนแล้วหรือ?” องค์ชายซีห่าวเอ่ยถามเพราะหากไปพบเสด็จพ่อนั้นคือมีแผน เพียงแต่ให้เสด็จพ่อออกหน้า “อืมไปกันเถอะ” จวนสกุลว่าน ยามนี้เรือนใหญ่กำลังกังวลกับข่าวของท่านหญิง ท่านผู้เฒ่าถึงกับเป็นลม ส่วนเสนาว่านเดินไปเดินมา จนทำให้ทุกคนเวียนหัว ฮูหยินว่านซูอวี้ ชิงหลิน ชิงหลาน ก็พากันนั่งหน้าเครียด โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่าเจ้าตัวอย่างว่านชิงอี นางไม่กังวลกับข่าวนี้เลยสักนิด ยามนี้นางกำลังทำน้ำแดงที่ทำจากน้ำแตงโม และน้ำเขียวที่ทำจากน้ำใบเตย นางเคี่ยวน้ำตาลผสมน้ำใบเตย ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ปิงปิงที่ยืนมองนางทำก็ยิ้มหน้าบาน “เดี๋ยวเราต้องตักไปให้พวกเขาชิมด้วย” “เสร็จแล้วหรือเจ้าค่ะ” “น้ำแตงโมเจ้าดื่มได้เลย แต่น้ำใบเตยต้องรอให้เย็นเสียก่อน เจ้านั่งดื่มอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้าจะยกไปให้พวกเขา” ชิงอียกเหยือกน้ำใบเตยเดินไปที่เรือนใหญ่ แต่ก็ต้องชะงักที่เห็นท่าทางและอาการของทุกคน ที่ดูตึงเครียดและวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด นางรีบวางเหยือกน้ำใบเตยลงบนโต๊ะ ก่อนจะเทน้ำใบเตยใส่ถ้วยชา เพื่อให้คลายความร้อนลง “วันนี้ข้าทำน้ำใบเตยที่มีกลิ่นหอมเพื่อเป็นนิมิตรหมายอันดี ว่าข้าว่านชิงอีจะมีแต่ข่าวดีๆ ข่าวเน่าๆ เสียๆ เหม็นๆ ไม่มีทางเกิดขึ้น” นางกล่าวจบ ขันทีจากวังหลวงก็เดินเข้ามา “ประกาศราชโองการ แต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ให้เป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายสืบสวนคดี ทำงานควบคู่กับ เหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท จบราชโองการ” ท่านผู้เฒ่าจากท่าทีอ่อนแรง ยามนี้เรี่ยวแรงกลับมาอย่างกระทันหัน เสนาว่านคราวนี้นั่งลงได้เสียที หลังจากเดินไปเดินมาทั้งวัน ส่วนฮูหยินซูอวี้และบุตรสาวอีกสองคน รีบไปหยิบน้ำใบเตยมานั่งเป่าอย่างผ่อนคลายและสบายใจ ว่านชิงอีถือราชโองการอย่างเหม่อลอย แบบนี้ก็ดีภารกิจช่วยเหลือผู้คนและวิญญาณจะได้ง่ายขึ้น ทั่วเมืองหลวงยามนี้มีแผ่นกระดาษติดป้ายประกาศจากวังหลวง “ประกาศราชโองการแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ เป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายสืบสวนคดี ทำงานร่วมกับ เหว่ยอ๋อง รัชทายาทเฟยเทียน องค์ชายเจินซีห่าว หากยังมีข่าวลือเรื่องความไม่เหมาะสม จะถือว่าขัดราชโองการ มีโทษประหารชีวิต” ผู้คนมาต่างห้อมล้อมเข้ามาอ่านกันอย่างเนืองแน่น พออ่านเสร็จก็พากันทำหน้างงกับข่าวลือก่อนหน้า แล้วข่าวที่ว่าพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน เหตุเพราะต้องทำงานสืบสวนร่วมกันสินะ หลายคนอ่านเสร็จก็นึกโทษตัวเองที่เชื่อข่าวลือง่ายเกินไป เกือบจะโดนประหารชีวิตไปแล้ว ตามจุดติดประกาศยังมีทหารยืนอธิบายอีกด้วยว่า คราแรกที่ฝ่าบาทยังไม่ประกาศ เป็นเพราะอยากให้ท่านหญิงทดลองงานดูก่อน ยามนี้รู้แล้วว่าท่านหญิงมีความสามารถ ยากจะหาใครเทียบได้ ฝ่าบาทจึงได้ประกาศแต่งตั้งออกมา ยามนี้ลมเปลี่ยนทิศทาง ผู้คนเปลี่ยนมาชื่นชมท่านหญิง ที่ถึงแม้จะเป็นสตรีวัยเยาว์ แต่ก็มีความสามารถ และยังทำงานเยี่ยงบุรุษ สมควรเอาเป็นตัวอย่าง จวนตระกูลซูยามนี้เสนาซูโม่เฉิงกราดเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด” เพล้ง!เสียงถ้วยชาแตกกระทบพื้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! พวกเขาลงทุนลงแรงเปลืองสมอง สุดท้ายนางได้มาอีกตำแหน่ง เสียงของตกแตกดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินซูและซูโม่หลันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ จวนตระกูลกู้ เสนากู้ฟู่อันกราดเกรี้ยวไม่แพ้เสนาซูโม่เฉิง ห้องหนังสือยามนี้เละเทะไม่เป็นท่า ฮูหยินกู้และกู้ผิงอันไม่กล้าสู้หน้า เพราะแผนการนี้จะว่าไปนางก็ช่วยฮูหยินจางคิด แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน ท่านหญิงไม่เสียหายแต่กลับได้รับคำเยินยอ แถมได้มาอีกตำแหน่ง เสนากู้ไม่โมโหสิแปลก เหมือนลงทุนเปลืองสมองเเต่ไม่ได้อะไรกลับมา จวนตระกูลจาง เพี๊ยะ!เสนาจางเจียโหวระงับความโกรธไม่ไหว ฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าฮูหยินจางเสียงดังสนั่น “ความคิดนี้เป็นความคิดของเจ้าใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรละคราวนี้ นางได้ไปอีกตำแหน่งแล้ว แผนของเจ้ามันไม่ได้เรื่อง ต่อไปเจ้าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องคิดแผนอะไรอีก”แล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







