หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้
พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในวังหลวงทำออกมาได้น่ากินมาก คนทำอาหารของวังหลวงคงคัดสรรมาอย่างดี ชิงอีชิมนั่นชิมนี่ไปเรื่อยด้วยความพอใจ ก่อนจะบอกให้ปิงปิงลองกินดู “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ” “แน่ละอาหารในวังเลยเชียวนะ แต่ข้าก็ยังนึกอยากกินบะหมี่ข้างทางอยู่ดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปกินตอนออกไปสืบคดี” ว่านชิงอีแอบปรายตามองผู้คนในงานก็ต้องสะดุ้งกับสายตาไม่เป็นมิตรของทุกคน อะไรกันพวกเขาไม่เก็บอาการกันเลย เปิดเผยชัดเจนขนานนี้เลยหรือ จู่ๆ ก็มีสตรีที่แต่งกายคล้ายบุรุษท่าทางทะมัดทะแมงเข้ามาทำความเคารพนาง “ถวายบังคมท่านหญิง หม่อมฉันฮุ่ยเจียงเป็นองครักษ์หญิงประจำพระองค์เพคะ” ว่านชิงอีฉีกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เริ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะสายตาของแต่ละคนในงาน ดูไม่มีใครชอบนางกันเลย พอการแสดงจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้น ก่อนไทเฮาที่นั่งข้างฮ่องเต้จะเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ทางเหล่าขุนนางจึงส่งบุตรสาว มาทำการแสดงถวาย หวังว่าท่านหญิงจะชื่นชอบ” ไทเฮาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน ว่าแล้วต้องมีอะไรแบบนี้ นางละเบื่อฉากแบบนี้เสียจริง ดูซีรีย์อ่านนิยายมาก็เยอะ ส่วนใหญ่มักมีฉากนี้อยู่เสมอ “ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะตั้งใจชมอย่างเต็มที่” ขันทีผู้ทำหน้าที่ประกาศความเป็นไปของงาน ก็ตะโกนบอกทุกคนด้วยเสียงอันดังว่า “คุณหนูตระจาง จางเจียอี จะมาทำการแสดงดีดพินกู่เจิง คุณหนูกู้ กู้ผิงอันจะแสดงการเป่าขลุ่ย คุณหนูตระกูลซู ซูโม่หลันจะมาร่ายรำ” สามสตรีผู้แสนงดงามกิริยาท่าทาง การเดินการนั่งงดงามไร้ที่ติ ก้าวไปนั่งตรงลานการแสดง ตรงกลางเว้นไว้สำหรับการร่ายรำ ก่อนเสียงเพลงจะบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ เสียงดีดกู่เจิงผสมผสานเสียงขลุ่ยอย่างลงตัว ทำเอาผู้คนในงานเคลิบเคลิ้ม ว่านชิงอีเองก็นึกชื่นชมที่พวกนางเล่นดนตรีได้อย่างไพเราะ การร่ายรำก็แสนอ่อนช้อยละมุนละไมงดงามยิ่ง จู่ๆ ฮุ่ยเจียงก็ถือถาดมายืนข้างนาง พอนางมองดูก็เห็นกำไลหยกที่ดูก็รู้ว่าล้ำค่ามาก อีกชิ้นเป็นปิ่นหยกห้อยระย้าด้วยนกยูง อีกอันเป็นสร้อยทับทิมราคาแพงและงดงามมาก ชิงอีขมวดคิ้วมองฮุ่ยเจียงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนนางจะแอบกระซิบว่า นางต้องมอบรางวัลให้กับพวกนางที่ทำการแสดง ว่านชิงอีจึงพยักหน้าเข้าใจ แต่ว่าใครเป็นคนเตรียมของพวกนี้กันนะ พอจบการแสดงทุกคนปรบมือให้อย่างกึกก้อง สตรีสามนางก้าวออกมายืนเรียงกัน ก่อนจะยอบกายทำความเคารพให้กับผู้สูงศักดิ์ หลังจากนั้นฮ่องเต้จึงเอ่ย “ไพเราะและงดงามมาก คุณหนูทั้งสามไปรับรางวัลจากท่านหญิงเถิด” ว่านชิงอียื่นของแต่ละชิ้นให้พวกนาง ก่อนจะคิดในใจคงเป็นฝ่าบาทที่เตรียมการไว้ มิเช่นนั้นนางคงต้องขายหน้าที่ไม่มีของรางวัลให้ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงของเสนาซูโม่เฉิงเอ่ยขึ้น “ทูลฝ่าบาท ในเมื่อวันนี้เป็นงานฉลองการแต่งตั้งท่านหญิง เหตุใดไม่ให้ท่านหญิง แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์พ่ะย่ะค่ะ” พอมีคนเสนอแน่นอนย่อมมีคนสนับสนุนตามมา ฮ่องเต้มองพวกเขาอย่างเย็นชาและเยียบเย็น เจ้าพวกลูกเต๋าเจ้าเล่ห์คงกะจะเล่นงานนางให้ได้เลยสินะ แล้วเขาจะช่วยนางได้อย่างไรดี เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกหันไปมอง เจินซีห่าว และรัชทายาท ที่ยามนี้มีสีหน้าเป็นกังวล ก่อนฮองเฮาที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น “ข้าก็อยากจะชมการแสดงของท่านหญิงเช่นกัน ฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นท่านหญิง ฝีมือและความสามารถคงไม่ธรรมดากระมัง” ฮองเฮาแย้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เด็กน้อยวันนี้ข้าก็อยากจะรู้ ว่าใครจะกางปีกปกป้องเจ้าได้ ว่านชิงอีมองเห็นสายตายิ้มเยาะและเหยียดหยามของทุกคน ในใจก็ฮึดสู้และพยายามคิดหาวิธี นางไม่ถนัดดนตรี นางเต้นรำไม่เป็น นางเขียนกาพย์กลอนไม่เป็น แล้วนางจะทำอะไรดีละ แต่แล้วจู่ๆ นางก็มีความคิด คนจีนชอบเล่นการพนันเป็นที่สุดได้การละ ว่านชิงอีกระซิบบอกฮุ่ยเจียง ก่อนฮุ่ยเจียงจะรีบไปเตรียมสถานที่ ที่ลานการแสดง ก่อนว่านชิงอีขยับลุกขึ้น และก้าวเดินตรงไปยังลานการแสดง ฮ่องเต้ เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว รัชทายาทเฟยเทียน มองตามนางตาไม่กะพริบ นางจะทำการแสดงอะไรกันนะ “ข้าร่ายรำไม่เป็น ดนตรีก็ยิ่งไม่ถนัด กาพย์กลอนก็ไม่ได้เลย แต่มีที่ข้าถนัดและอยากเชิญทุกคนมาร่วมเล่น นั่นก็คือการเล่นคำทายปริศนา หากผู้ใดตอบได้ภายในเวลาที่กำหนด ก็จะได้รับรางวัล การละเล่นนี้จะวัดภูมิปัญญาว่าฉลาดมากน้อยเพียงใด” ว่านชิงอีเน้นคำว่าภูมิปัญญาและความฉลาด เพราะนางอยากกดดันเหล่าขุนนาง พอนางกล่าวจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น นางกล้าท้าทายภูมิปัญญาของเหล่าขุนนาง! เช่นนี้จะยอมได้อย่างไรกัน! ฮ่องเต้ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ นางช่างฉลาดเฉลียววิธีนี้มองผิวเผินก็เป็นการละเล่น แต่ถ้ามองให้ลึกหากพวกเขาตอบไม่ได้นั้นหมายถึง พวกเขาไร้ซึ่งปัญญา และพวกเขานั้นดำรงตำแหน่งเป็นถึงขุนนาง “เอาละเรามาเริ่มกันเลย ข้าจะเริ่มจากคำถามง่ายๆ ไปก่อน รางวัลคำทายนี้อยู่ที่อยู่ที่500ตำลึง คำตอบข้าให้ฝ่าบาทเก็บเอาไว้” กล่าวจบนางก็ให้ฮุุ่ยเจียงเอาคำตอบไปเก็บไว้กับฝ่าบาท พอมีรางวัลมาหลอกล่อ เหล่าขุนนางก็เริ่มคึกคัก “คำทายมีอยู่ว่า อะไรเอ่ย หัวโต ตัวยาว คอเล็ก มันชอบไปเรียนศิลปะที่เรือกสวนไร่นา ฆ่าคนของโจโฉตายหมดบ้าน เหลือเพียงต้นอ่อนของผักเต็มไปหมด ข้ามีเวลาให้ครึ่งก้านธูป หากใครได้คำตอบ ให้เขียนใส่กระดาษ ข้าจะเอาไปให้ฝ่าบาทตรวจ”เหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า