เช้าวันต่อมา เหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และรัชทายาทก็นำรถม้ามารับว่านชิงอีที่จวนสกุลว่าน แต่ว่าวันนี้พวกเขาเปลี่ยนเป็นขี่ม้าแทน หลังจากเกิดคำครหาเมื่อวันก่อน พวกเขาจึงปรึกษากันว่า จะพยายามไม่ทำให้นางต้องถูกผู้คนตำหนิอีก
ว่านชิงอีวันนี้แต่งกายด้วยชุดเรียบๆ แต่คล่องแคล่วและทะมัดทะแมง นางมัดผมรวบตึงก่อนจะม้วนเป็นก้อนกลมและปักปิ่นธรรมดาอันหนึ่ง เพราะวันนี้นางต้องออกไปสืบข่าวของบุรุษสารเลวนั่น นางจึงไม่อยากแต่งกายให้เป็นที่สะดุดตามากนัก ว่านชิงอีเดินออกมาพร้อมฮุ่ยเจียงองค์รักษ์สาวข้างกาย พอเห็นพวกเขานั่งอยู่บนหลังมา ก็ไม่รีรอรีบก้าวขึ้นรถม้าทันที “ฮุ่ยเจียงเจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าสามารถมองเห็นวิญญาณ ที่ข้าถามเพราะกลัวว่าเจ้าจะตกใจ ยามที่ข้าสนทนากับสิ่งที่เจ้ามองไม่เห็น” “ทราบแล้วเพคะ” “เจ้าไม่ต้องกลัววิญญาณเหล่านี้ไม่ทำร้ายเรา แต่จะมีอีกวิญญาณหนึ่งที่สามารถทำร้ายเราได้ นั่นก็คือวิญญาณที่ถูกปลุกเสกเวทมนตร์ ให้กลายเป็นวิญญาณที่ดุร้าย อันนั้นเราต้องระวังให้ดี แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ถึงแม้ว่ากับคนข้าจะสู้ไม่เก่ง แต่กับผีข้าสู้ได้สบายมาก” พอนางพูดจบฮุ่ยเจียงก็รู้สึกขนลุก หากมีวิญญาณร้ายโผล่มาจริงๆ ท่านหญิงจะสู้ได้จริงหรือ รูปร่างนางเพรียวบางสมส่วน ผิวก็กระจ่างใสอมชมพูดั่งกับผิวเด็ก อายุก็เพียง14ย่าง15ในเร็ววันนี้ แต่ดูอย่างไรนางก็ไม่เหมือนคนที่จะปราบผีที่ดุร้ายได้เลย ปราบบุรุษที่ดุร้ายน่าจะง่ายกว่า เพราะนางงดงามมาก “เจ้ามองข้าเช่นนี้ ไม่เชื่อละสิ เจ้าไม่เชื่อก็ไม่แปลก เพราะข้าเองก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน” “ท่านหญิง!” ว่านชิงอีหลุดหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของฮุ่ยเจียง ที่หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ “ข้าพูดเล่น มีข้าอยู่วิญญาณร้ายไม่กล้ามาทำอะไรแน่” รถม้าแล่นมาจอดตรงสำหนักงานหน่วยสืบสวนคดี ฮุ่ยเจียงเดินลงไปก่อน เพื่อยืนรอรับว่านชิงอีที่ก้าวลงจากรถม้า สามบุรุษรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้ามาหานาง เหว่ยอ๋องมองสำรวจการแต่งกายของนางอย่างพอใจ นางก็รู้จักกาละเทสะอยู่บ้าง จึงพยักหน้าให้นางเดินตามเข้าไปด้านใน แต่พอเข้าไปถึงก็แปลกใจที่เห็น สตรีสามนางนั่งรออยู่ กู้ผิงอันเหลือบเห็นพวกเขาเข้ามา ก็รีบสะกิดให้ซูโม่หลันและจางเจียอี ถวายความเคารพ “ถวายบังคมเหว่ยอ๋อง องค์ชาย องค์รัชทายาท ท่านหญิงจวินจู่เพคะ” คราวนี้พวกนางไม่ทำผิดพลาดอีกแล้ว เหว่ยอ๋องเริ่มปล่อยรังสีอำมหิต เมื่อพอจะเดาเหตุการได้ว่าพวกนางมาทำอะไร เพราะดูจากการแต่งตัว กู้ผิงอันรีบยื่นจดหมายให้รัชทายาท ก่อนเขาจะรับมาอ่านด้วยท่าทีหงุดหงิด “คุณหนูทั้งสามตระกูลมีความรู้ความสามารถ ย่าเลยให้พวกนางมาช่วยงานพวกเจ้า ฝากพวกนางด้วยละ” เขาอ่านเสร็จก็ยื่นให้องค์ชายซีห่าวและเหว่ยอ๋อง แต่พวกเขากลับเมินและเดินหนี รัชทายาทมีสีหน้ายุ่งยากใจ มาช่วยหรือจะมาเป็นภาระ เขากลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย คงเป็นเสด็จแม่ฮองเฮาที่ลากเสด็จย่ามายุ่งด้วย ว่านชิงอีเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ทางหน่วยสืบสวนจัดไว้ให้และมีชื่อนางเขียนติดไว้ว่าท่านหญิงจวินจู่ ฮุ่ยเจียงรีบรินชาให้นางอย่างเอาใจ ก่อนทหารหน่วยสืบสวนราว50คนจะเดินเข้าอย่างเป็นระเบียบ และทำความเคารพท่านหญิงที่เป็นผู้บังคับบัญชาอย่างแข็งขัน “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่พ่ะย่ะค่ะ” ซูโม่หลันมองภาพนั้นด้วยความเคียดแค้นและริษยา ตำแหน่งนั้นควรเป็นของนางไม่ใช่ของยัยเด็กนั้น! “ถวายบังคมเหว่ยอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” “ตามสบายเถิด” “ขอบพระทัย” เหล่าทหารมองท่านหญิง ที่ยกชาขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย และเปิดสมุดบันทึกคดีต่างๆ อ่านอย่างใส่ใจ ดรุณีเยาว์วัยนางนี้ มาเป็นผู้บังคับบัญชาพวกเขาจริงหรือ? นางมีความสามารถขนาดฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง และผู้บังคับบัญชาหน่วยสืบสวน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เหว่ยอ๋องที่เห็นเหล่าทหารเอาแต่จ้องมองนาง ก็เริ่มไม่พอใจ เช่นเดียวกับองค์ชายซีห่าวและรัชทายาท “หากไม่มีอะไรแล้ว ออกไปได้” เหว่ยอ๋องกล่าวน้ำเสียงดุดันสีหน้าบ่งบอกว่าหงุดหงิด ทหารเหล่านี้ยืนมองนางกันอยู่ได้ไม่การไม่มีมีงานให้ทำหรืออย่างไร ก่อนพวกเขาจะมานั่งโต๊ะด้านข้างที่จัดเตรียมเอาไว้ ก่อนว่านชิงอีจะเรียกสามบุตรสาวตระกูลดังเข้ามา นางไม่คิดจะพูดจาแบบกันเองกับพวกนาง เพราะนางรู้ถึงเจตนาของพวกนางดี มาทำงานหรือว่ามาคอยจับผิดนางกันแน่ “พวกเจ้าสามคนมาเอาสำนวนบันทึกคดีคนละเล่มไปอ่าน แล้ววิเคราะห์สรุปผลรูปคดีออกมา” กู้ผิงอัน ซูโม่หลัน จางเจียอี มองหน้ากันไปมา เคยแต่เรียนกาพย์กลอน ดนตรี เย็บปักถักร้อยและร่ายรำ ให้มาอ่านสำนวนคดีแล้วสรุป พวกนางจะทำได้อย่างไรกัน “ทำไมทำไม่ได้หรือ?” ว่านชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยถามออกไป “ท่านหญิงเอ่อ..หม่อมยังไม่เคยทำมาก่อน ท่านช่วยให้คนสอนงานได้หรือไม่?” จางเจียอีแม้จะลำบากใจเพียงใด แต่ก็กัดฟันเอ่ยออกไป บิดาอุตส่าห์บากหน้าไปหาฮองเฮาเพื่อขอความช่วยเหลือ นางจะทำให้บิดาผิดหวังไม่ได้ “ได้สิ” กล่าวจบนางก็หันไปหาพวกเขาสามคน ซึ่งพอนางหันมา พวกเขาก็รีบส่งสายตาปฎิเสธทันที “เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าหน้าที่มาช่วยสอน วันนี้พวกเจ้าก็ทำงานอยู่ที่นี่ให้เสร็จ ข้าจะออกไปสืบคดีข้างนอก คงไม่ได้กลับเข้ามา ถ้างานเสร็จพวกเจ้าก็กลับกันได้เลย” ว่านชิงอีกล่าวเป็นงานเป็นการ ก่อนนางจะลุกขึ้นส่วนบุรุษที่พวกนางหมายปองก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน สามสตรีมีสีหน้าตกใจและผิดหวังขึ้นมา อุตส่าห์ได้มาทำงานที่นี่แล้ว แต่กลับไม่ได้ใกล้ชิดกับบุรุษที่ชอบ น่าผิดหวังยิ่งนัก ว่านชิงอีเดินก้าวเท้าออกมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็น วิญญาณของบุรุษวัยกลางคน นั่งคุกเข่ารออยู่ด้านนอก พอเห็นนางเดินออกมาก็รีบก้มหัวลง แล้วเอ่ยขอความช่วยเหลือ หากนางเดาไม่ผิดวิญญาณของสตรีนางนั้น คงแนะนำวิญญาณตนนี้มาหานางเป็นแน่ “ท่านหญิงโปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “ลุกขึ้นมาพูดเถอะ แล้วเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” ว่านชิงอี กล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านหญิงข้าทำงานอยู่บ่อนโรงพนันฉางกุ้ย แต่ถูกลูกค้าเสียการพนันแล้วมีโทสะ ลงมือทำร้ายข้าจนเสียชีวิต เจ้าของบ่อนไม่กล้าทำอะไรเขา เพราะเขาเป็นลูกค้าที่มีเงินหนาและแวะมาเล่นเป็นประจำ ยามนี้ลูกเมียข้าคงเป็นห่วงที่ข้าหายไป ท่านหญิงได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วย” นางได้ฟังก็ถอนใจออกมา ไม่ว่าจะยุคไหนคนมีเงินก็ชอบอวดเบ่งบารมีและอำนาจ “ข้าจะช่วยเจ้าแต่ว่าศพเจ้าฝั่งอยู่ที่ใด?” “ทูลท่านหญิง พวกเขาเอาศพของกระหม่อมฝั่งไว้ที่สุสานไว้อาลัยพ่ะย่ะค่ะ” ว่านชิงอีพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะให้ฮุ่ยเจียงวิ่งไปเอาสมุดบันทึก แล้วบันทึกรายละเอียดเรื่องราวที่ชายคนนี้เล่า ก่อนนางจะหันมาหาพวกเขาแล้ว “พวกเราต้องไปที่โรงพนันฉางกุ้ยเพคะ” “อืมไปกันเถอะ”หลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล