เธอกอดเข่าก้มหน้าลงร้องไห้อย่างหมดหวัง หากทะลุมิติมาจริงเธอจะใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไร ซูหนี่ไม่รู้เลยว่าการกระทำทุกอย่างของเธออยู่ในสายตาของคนคนหนึ่ง
ซูหนี่ร้องไห้จนหลับไป เธอตื่นขึ้นอีกครั้งก็ดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน มองผ้าห่มหมอนอย่างนึกรังเกียจ ชีวิตดั่งเจ้าหญิงที่แสนสุขสบายต้องมาอยู่ในห้องนี้เธอได้แต่ถอนหายใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตไปเรียนมีคนรถส่งตลอด มีพี่เลี้ยงดูแลทุกอย่างจนไปเรียนเป็นเชฟก็ไม่เคยลำบาก พอเป็นนักแสดงแม้จะเคยได้รับบทที่ต้องใช้ชีวิตในชนบท ทุกอย่างมีทีมงานจัดฉากขึ้นมาทั้งหมดจึงไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากจริงๆ ต่อให้เข้าร่วมเกมโชว์ก็ไม่ได้เป็นถึงขั้นที่อยู่ในตอนนี้
ร่างนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ชื่ออะไร รู้เพียง ร่างกายที่ผอมบาง หากไปยืนที่ลมแรงๆคงจะปลิวไปตามลมเป็นแน่ มือขาวราวหยกแม้ไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไรก็คงจะพอดูได้อยู่ มือข้างที่โดนแก้วบาดเมื่อคืนยังเจ็บอยู่ดีที่แผลไม่ลึกนัก ทำให้เธอรู้อีกอย่างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริง
"นางตายหรือยังท่านพ่อ" เสียงเด็กถามแบบนี้อีกแล้วหรือคนพวกนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตนางไว้
"นางยังไม่ตาย"
"ถ้า ถ้าเช่นนั้น นางจะตีพวกข้าหรือไม่ท่านพ่อ"เสียงเด็กอีกคนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงบ่งบอกว่าหวาดกลัว
"หากนางทำอันใดพวกเจ้าอีก ข้าจะฆ่านางเอง" ซูหนี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นางไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าอยู่ต่อไปไม่ได้ ชายคนนั้นคิดจะฆ่านางทิ้ง
แต่ตอนนี้เธอหิวมาก หิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว พวกเขายังอยู่ข้างนอกเธอไม่กล้าที่จะออกไปหาอะไรกิน ได้แต่นั่งรอให้พวกเขาออกไปก่อนเท่านั้น หรือเธอจะเดินไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องไปเลย แต่ถ้าเธอบอกว่าเธอมาสิงร่างนี้อยู่เขาจะเผาเธอทั้งเป็นหรือไม่
กลัวก็กลัว หิวก็หิว จนรวบรวมความกล้าเปิดประตูออกไป ทั้งสามคนหันมามองที่ประตู
"เอ่ออ ขอยืมครัวได้ไหม" ซูหนี่เอ่ยถามขึ้น หากเขาให้เธอใช้ครัว ต่อไปเธอก็หาของมาคืนก็น่าจะได้
มีเพียงสายตาที่มองอย่างกดดันเท่านั้น แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เด็กน้อยทั้งสองคนเป็นฝาแฝดชาย ตัวผอมแห้งแต่หน้าตาน่ารักน่าชัง หลบอยู่ด้านหลังของชายคนนั้นโผล่เพียงส่วนหัวออกมามองเท่านั้น
"ไว้ฉัน เอ่อ ข้าจะหาของมาคืน" เมื่อเห็นเขายังเงียบเธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง แต่เขายังคงเงียบ ในดวงตามีแต่ความรังเกียจที่ได้มองหน้าเธอ
ซูหนี่ไม่รู้จะทำเช่นไรเธอจึงหันหลังกลับเข้าห้องไป สายตาคู่นั้นมองตามอย่างแปลกใจ นางแปลกไปตั้งแต่เมื่อคืน หากเป็นทุกครั้งที่พวกเขากินข้าวกันนางจะเดินมานั่งแล้วแย่งอาหารที่เขาทำไว้แล้วไปกิน
ซูหนี่กลับไปนั่งบนเตียงเช่นเดิม เธอต้องทนหิวไปก่อนรอให้เขาออกไปเธอคิดว่าค่อยออกไปหาอะไรกินอีกครั้ง เมื่อท้องหิวสมองก็คิดอะไรไม่ออก ต้องกินให้อิ่มก่อนค่อยคิดที่จะทำอะไรต่อไป
แอ๊ดดดด เสียงเปิดประตู ชายคนนั้นโยนแผ่นแป้งมาที่ตัวนางสองแผ่นแล้วปิดประตูเสียงดังออกไป ซูหนี่อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ทัน เธอมองแผ่นแป้งบนเตียงอย่างรังเกียจ แต่ถึงยังไงก็ต้องกิน กินไปก็ไม่สบอารมณ์ไป จะให้ก็ไม่ให้ดีๆ ทำอย่างกับเธอเป็นขอทานไปได้ แต่ตอนนี้เธอก็เหมือนขอทานจริงๆ
หากจะไปจากที่นี่เธอต้องมีเงินก่อน แล้วจะหาเงินจากที่ไหน ถ้าตามนิยายก็ต้องขึ้นเขาเพื่อหาของป่าไปขาย แต่สภาพของเธอขึ้นเขาไปจะโดนสัตว์ป่าจับไปกินเสียมากกว่า เธอคิดไปค่อยๆกัดแผ่นแป้งไปด้วย
เธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีคนมองเธอจากหน้าต่างของห้อง ซูหนี่ที่กินแผ่นแป้งหมดแล้วก็ลุกขึ้นจะไปหาน้ำกิน เธอรู้สึกว่ามีคนมองจึงหันไปดู แต่ไม่มีใคร เธอเปิดประตูห้องออกไปแล้วมองรอบๆเมื่อไม่มีใครอยู่แล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว หาถ้วยเพื่อตักน้ำกิน แต่ครั้งนี้เธอตรวจดูแล้วไม่พบรอยบิ่นจึงกล้าใช้
เด็กน้อยสองคนแอบมองเธออยู่ เมื่อหันไปเด็กทั้งสองก็หลบ พอเธอหันไปอีกทางเด็กทั้งสองก็โผล่หน้ามามอง ทั้งสามทำเช่นนี้กันอยู่หลายรอบจนซูหนี่หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะของเธอใสกังวานจนเด็กน้อยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
"นางหัวเราะด้วยท่านพี่ หรือนางสติไม่ดีไปแล้ว"
"คงจะเป็นเช่นนั้น"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกหน้าบ้าน
"พี่หลงอยู่หรือไม่เจ้าคะ เฉิงเออร์ อันเออร์ เปิดประตูให้น้าหน่อย" ซูหนี่หันไปมองที่ประตูหน้าบ้าน เธอไม่รู้ว่าควรออกไปเปิดหรือหลบออกไปก่อนดี
"น้าลี่อินท่านพ่อไม่อยู่ขอรับ"
เหมือนฟ้าผ่ากลางหัวของซูหนี่ ลี่อิน ลี่อิน นางเอกของเรื่องขุนนางยอดดวงใจ ใช่ไหม ถ้าใช่งั้นบุรุษที่นางมาหาคงจะเป็นจ้าวหนิงหลง เช่นนั้น เช่นนั้น เธอก็คือซูหนี่นางร้ายที่ใกล้จะตายแล้วสิ
ซูหนี่หน้าซีดใจสั่น ขออย่าให้เป็นเช่นที่นางคิดเลย นางรีบเดินกลับเข้าไปในห้อง ในซีรีส์ของนางซูหนี่ไม่มีลูก แล้วเด็กสองคนนั้นลูกใคร หากเป็นลูกนางจริง เช่นนั้นก็เธอก็คงไม่ต้องตายไปตามบทที่มีในซีรีส์ใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องคุยกับจ้าวหนิงหลงให้รู้เรื่อง ในเมื่อตอนนี้นางไม่ใช่ซูหนี่คนเดิมเขาคงจะไม่ฆ่าเธอแล้วปล่อยให้เธอไปใช้ชีวิตของเธอเอง หากจ้าวหนิงหลงกับ ลี่อินรักกันเช่นนั้นเธอก็ให้เขาหย่ากับเธอเสีย ทั้งคู่จะได้สมหวังกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอก็สงบสติแล้วรอให้จ้าวหนิงหลงกลับมาเพื่อตกลงกัน เธอจะขออยู่กลับเขาจนกว่าจะหาเงินได้เพื่อย้ายออกไป แต่ตอนนี้จะพูดอย่างไรให้เขายินยอมให้เธออาศัยอยู่ก่อน
ในเมื่อจะอยู่ต่อ เธอจึงขนของในห้องเพื่อออกไปซัก แล้วจัดการขยะทั้งหมดออกไปด้วย กว่าจะเก็บกวาดเรียบร้อยก็เล่นเอาเหงื่อไหลเลยทีเดียว
"เด็กน้อยต้องไปซักผ้าที่ไหนจ๊ะ" ซูหนี่ยิ้มหวานถามเด็กทั้งสองคน เธอพยายามยิ้มหวานเต็มทีเพื่อไม่ให้เด็กกลัว เพราะทั้งคู่ไม่อยากจะเข้าใกล้เธอ
"ท่านต้องไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ" เด็กคนที่พูดน่าจะเป็นพี่ สายตาที่มองเธออย่างหวาดระแวงปกป้องน้องชายไว้ด้านหลัง ริมแม่น้ำอยู่ที่ใดนางก็ไม่รู้จัก ผงซักฟอกก็ไม่มี น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ไม่มี ผ้าเหม็นขนาดนี้ต้องซักน้ำเปล่านานแค่ไหนถึงจะหมดกลิ่น
"พวกเจ้าชื่ออะไรกัน แล้วพาข้าไปที่ริมแม่น้ำได้หรือไม่" นางพูดตามบทจีนโบราณที่เคยได้รับมาอย่างคล่องแคล่ว แต่เด็กทั้งสองมองด้วยสายตาแปลกๆ ยอมบอกว่าริมแม่น้ำอยู่ไหนแต่ไม่ยอมที่จะพาไป เธอก็ไม่ได้บังคับแต่ก็ขนของทั้งหมดไปเอง
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ