Войтиมาถึงการวาดภาพศิลปะปลายพู่กัน สตรีอื่นๆต่างวาดภาพเป็นทิวทัศน์ ภูเขา แม่น้ำ บ้างก็วาดภาพรูปบุปผาต่างๆ ดูแล้วงดงามสบายตา แต่หงเหม่ยหลงกลับวาดภาพออกมาเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ต่างๆเต็มหน้ากระดาษ จนเหล่าทหารที่คอยอารักขาอยู่ภายในบริเวณการแข่งขันแทบจะเข้ามาแย่งชิงกัน เพื่อนำมันไปฝึกฝน
จนสุดท้ายที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างฉงนจากบรรดาผู้มาร่วมงานก็คือการเล่นดนตรี สาวงามนางอื่นปล่อยพลังนิ้วมือเพื่อเล่นดนตรีล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู จนได้คะแนนเต็มสิบส่วนกันถ้วนหน้า มีเพียงหงเหม่ยหลงที่ไม่ได้คะแนนเลย
การเล่นดนตรีนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับนาง
เพราะนางฝึกแต่ดาบ ฝึกแต่พลังฝ่ามือ ไม่เคยฝึกเล่นดนตรีใดๆ กิจกรรมทั่วไปสำหรับเหล่าสตรีนางมิเคยได้แตะต้อง
ดังนั้นเมื่อนางเพียงแค่จรดปลายนิ้วเพื่อส่งพลังไปยังเครื่องดนตรีเหล่านั้น เครื่องดนตรีก็เป็นอันต้องเสียหาย บ้างก็สายขาด บ้างก็ปริแตก เปลี่ยนตัวใหม่ก็ยังเหมือนเดิม โจทย์ข้อนี้นางทำเครื่องดนตรีเสียหายไปหลายตัว จนนางต้องยอมแพ้
หลี่ซ่งหมินที่นั่งมองหงเหม่ยหลงอยู่เขารู้ดีถึงสาเหตุนั้น
เขาเคยเห็นพลังงานจากฝ่ามือนั้นของนางมาแล้ว ตอนที่นางช่วยชีวิตเขาเอาไว้ที่ริมแม่น้ำ
มันคล้ายกับว่า นางยังไม่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ดีเท่าไหร่นัก
เขาเพียงนึกอยากจะช่วยนางขึ้นมาอยู่หลายส่วน
เขาอยากให้นางผ่านการคัดเลือกสาวงามในวันนี้...
เวลาผ่านไปการแข่งขันต่างๆ ก็เป็นอันสิ้นสุดลง
มีสาวงามผ่านการคัดเลือกอยู่หลายนาง หนึ่งในนั้นมีหงเหม่ยหลงรวมอยู่ด้วย
แม้ว่าหงเหม่ยหลงนั้นจะได้คะแนนน้อย แต่ด้วยแรงกำลังใจอย่างท่วมท้นจากบรรดาสาวใช้ในเรือนที่ส่งไปยังขันที รวมถึงสายตากดดันจากใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงจุดสูงสุดของเวที ทำให้เหล่าขันทีเป็นอันเข้าใจได้ตรงกัน
ทำให้หงเหม่ยหลงผ่านการคัดเลือกได้อย่างหวุดหวิด สร้างความแปลกใจระคนขบขันให้สาวงามคนอื่นๆ
แต่หงเหม่ยหลงมิได้สนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าผ่าน
สิ่งที่นางสนใจและเป็นกังกลอยู่ในยามนี้ก็คือพลังฝ่ามือของนางมากกว่า
พลังฝ่ามือนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาหมื่นโลกันต์ วิชาที่นางไม่คิดจะฝึกฝนต่อจนจบ ตามที่บิดาของนางบังคับ
เพราะวิชาพลังฝ่ามือนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาของนางต้องจบชีวิตลง จนนางต้องผิดใจกับบิดาของนาง จนเป็นเหตุให้นางต้องมาอยู่ที่นี่
นางพยายามจะไม่ใช้พลังฝ่ามือนี้ เพราะเมื่อยามใดที่นางใช้มัน ร่างกายของนางจะบาดเจ็บ จนอวัยวะภายในบอบช้ำไปหลายส่วน เหตุการณ์ที่ริมแม่น้ำนั้นเป็นบทเรียนที่ดี
หงเหม่ยหลงยังคงนอนเหม่อมองฝ่ามือของตนเองพลางถอนหายใจอยู่บนเตียงภายในห้องนอนที่เสี่ยวซิงจัดเอาไว้ให้
นางนอนเหม่อมองฝ่ามืออยู่นาน จนผู้ที่มาเยือนอยู่หน้าประตูห้อง ต้องส่งเสียงกระแอมออกมา
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งดีดตัวขึ้นมา จัดเสื้อผ้าหน้าผมเป็นการใหญ่
“เป็นท่าน” หญิงสาวถามออกไปเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“เป็นข้าเอง” หลี่ซ่งหมินตอบคำนิ่งๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามวิสัยพลางเดินเข้ามานั่งตรงตั่งที่โต๊ะใกล้เตียงของหญิงสาว
“บุรุษไม่ควรเข้ามาในห้องนอนของสตรี”
“ห้องนอนเจ้า แต่เรือนข้า ข้ามีสิทธิ์” เขาตอบเรียบๆ หรี่ตามองนาง “เจ้าเองยังเคยเข้าห้องข้า”
“ท่าน” หญิงสาวถึงกับถลึงตาโตอย่างจนคำพูด
“เฮ่อ... ก็ได้” นางถอนหายใจคำโต แต่ก็ยังเดินไปชงชามารินให้เขาแต่โดยดี พลางคิดในใจ สาวงามคนอื่นไปไหนกันหมด อู้งานกันหรืออย่างไร
แต่นางหารู้ไม่ ว่าสาวงามที่นางบ่นถึงนั้น ต้องการที่จะทำในสิ่งที่นางกำลังทำ ใจจะขาด แต่ถูกหลี่ซ่งหมินไล่กลับไป
เขารอนางไปหาเขา แต่นางยังไม่ยอมไปหาเขา
เขารอนางอยู่เป็นนาน
จนทนไม่ไหว
เขาจึงเป็นฝ่ายเดินมาหานางที่ห้องนอนของนางอย่างถือสิทธิ์
ภายในตำหนักหลวงของแคว้นต้าหลี่..."สิบกว่าปีมานี่ หยางเอ๋อร์ของเรา ไม่เคยทำให้ผิดหวัง" หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นกับหงเหม่ยหลงที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงริมระเบียงของตำหนัก ชายหนุ่มยังคงประคองกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย ขณะกล่าวต่อเนิบนาบน้ำเสียงเรียบเรื่อย "หยางเอ๋อร์เคยบอกกล่าวแก่ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรับสนมเพื่อเสริมอำนาจแต่อย่างใด เพราะอำนาจเหล่านั้นเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้" สีหน้าภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายหนึ่งเดียวแสดงออกฉายชัดพร้อมๆกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยหงเหม่ยหลงที่เพียงนั่งฟังเงียบๆจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล "เป็นเพราะข้า หยางเอ๋อร์จึงต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะข้าเห็นแก่ตัว ซ่งหมิน...ความรักของเราเป็นดาบสองคม" หญิงสาวหยุดคำอยู่อึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "ปีนี้หยางเอ๋อร์อายุย่างเข้ายี่สิบห้าปีแล้ว เขายังคงครองตัวเป็นโสด ไม่สนใจอิสตรี ทำแต่ศึกสงคราม ไม่สนใจใคร สนใจแต่อำนาจ ทำตัวเหี้ยมโหดเย็นชา สร้างกำแพงให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเราผู้เป็นบิดามารดา"หลี่ซ่งหมินก้มหน้าน้อยๆยิ้มบางเบาใส่สตรีในอ้อมกอดก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ
"พวกเจ้า พวกเจ้า" เว่ยฟางเริ่มเอ่ยสิ่งใดไม่ถูกนางคล้ายจะเป็นลมจนสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องรีบเข้ามาประคองหยางเจียนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน "พวกเจ้าอายุเพียงแค่นี้ มันเร็วไปหรือไม่ที่จะด่วนตัดสินใจ" แต่เหมือนอิ้งลี่จะมิได้ฟังคำห้ามปรามใดๆ หญิงสาวเพียงวิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจแล้วตะบึงควบออกไปจากกลุ่มของหยางเจียนและเว่ยฟาง ซักพักเสียงถกเถียงกันจึงตามมา"ใครเป็นคนรักของเจ้า อิ้งลี่" เสียงนั้นเป็นเสียงของเฟิงหลินนั่นเอง หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งควบม้าให้หนีออกห่างจากการตามติดของอิ้งลี่ "ข้าก็แค่พูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า 5 ปี มิได้รึ" อิ้งลี่ตะโกนขึ้นพลางควบม้าไล่ตามเฟิงหลิน"ไม่ได้" "ทำไมเล่า"และเสียงถกเถียงกันของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยก็หายไปพร้อมกับคณะเดินทางขององค์ชายหลี่หงจินหยางท่ามกลางความสับสนงุนงงของผู้เป็นมารดาอย่างเว่ยฟางและหยางเจียนท่ามกลางร่มไม้ตรงทางเดินทอดยาวภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสโอบล้อมไปด้วยสายลมแผ่วเบา"เจ้าคิดว่าอย่างไร หลงเอ๋อร์" หลี่ซ่งหมินเอ่ยถามหงเหม่ยหลงขณะทั้งสองพากันเดินชมนกชมไม้ไปตามทางของอุทยานหลวง"ข้ารู้สึกกังวลเสียยิ่งกว่าการตั้งครรภ์ของตัวเองเ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดสามัญชนทั่วไปแต่ด้วยใบหน้าที่สะอาดหมดจดงดงามปานเทพเซียน และดวงตาคมกริบฉายแววกล้าแกร่งเกินวัย กำลังควบม้าตะบึงมาก่อนจะผ่อนเป็นเชื่องช้าเดิน เหยาะ เหยาะ เข้ามาหาผู้เป็นบิดาและมารดาที่ยืนรอตนอยู่ด้านตรงลานกว้างกลางพระราชวังราศีของผู้นำผู้มีอำนาจบารมีได้แผ่ออกมาจากตัวหนุ่มน้อยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงยืนมองหลี่หงจินหยางที่กำลังนั่งงามสง่าอยู่บนอาชาคู่ใจ ยามนี้ได้เวลาที่บุตรชายหนึ่งเดียวของพวกเขาจะได้ออกเรียนรู้การเป็นผู้นำที่แท้จริง ศึกครานี้หลี่หงจินหยางได้รับหน้าที่ให้ไปเปิดศึกเพื่อที่จะทำการปิดศึกให้ได้อย่างถาวรกับพวกแคว้นเว่ยที่ยังคงหลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าพวกแคว้นเว่ยนั้นจะยังไม่มีการจู่โจมหรือเปิดศึกใดๆ กับแคว้นต้าหลี่ แต่จากข่าวกรองที่หลี่ซ่งหมินได้รับนั้น มิใช่ว่าพวกแคว้นเว่ยจะรามือจากการแก้แค้นแต่อย่างใด พวกมันยังคงก่อตั้งกลุ่มกำลังและขยายเพิ่มอำนาจอย่างต่อเนื่องเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกมัน แต่การที่จะเป็นฝ่ายรอรับมิสู้เป็นฝ่ายรุกเสียก่อนยามที่
และเสียงดาบฟาดฟันประสานกันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาหงเหม่ยหลงเพียงนั่งชมภาพของสองพ่อลูกแลกหมัดประสานกระบี่กันไปมาอย่างนึกชื่นชม ยามนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะพยายามตั้งครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจบรรดาสนมนางใดอีกต่อไป แต่ถ้านางไม่สามารถมีลูกได้ดังใจหวังนางก็จะเป็นทุกอย่างให้บุตรชายหนึ่งเดียวของนาง หลี่หงจินหยางนั้น นางจะเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งสหายในทุกสถานการณ์ให้กับบุตรชายของนาง แต่การที่จะทำให้หลี่หงจินหยางอยู่ได้ด้วยหน้าที่อันหนักหน่วงในภายภาคหน้าได้นั้น การประคบประหงมย่อมเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เขาต้องเรียนรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายในตำหนักกลางบริเวณห้องรับประทานอาหารของครอบครัวสกุลหลี่ “ออกรบหรือเสด็จพ่อ” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นไปทางหลี่ซ่งหมินภายในตำหนักกลางหลังจากทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย“ถูกต้อง” หลี่ซ่งหมินรับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยต่อเพื่อขยายความ“ขณะนี้มีข่าวกรองเกี่ยวกับพวกของแคว้นเว่ยที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันสามารถสร้างขุมกำลังเอาไว้ในเขตแดนต้าไห่ ข้าอยากให้เจ้
นางช่างโง่งมจริงดังคำเขากล่าว“ซ่งหมิน... ข้า...” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด นางเพียงยืนก้มหน้าและเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น “หลงเอ๋อร์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิมเรียกนางจนนางต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตา “ข้าเองที่เห็นแก่ตัว” หลี่ซ่งหมินขยับเพียงนิดเพื่อดึงร่างบางของหงเหม่ยหลงเข้ามาโอบกอดอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยต่อ“ข้าเห็นแก่ตัวจนละเลยสิ่งที่ควรจะเป็นไปของเมืองหลวง และข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ข้าเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ ข้าเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ข้าย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม มีเพียงแต่เจ้า แค่เรื่องของเจ้า ที่ข้ามักจะเห็นแก่ตัว”ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มมองใบหน้าของนางยามนี้เขายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การตั้งครรภ์ การสร้างทายาท เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับสตรี ข้าย่อมเข้าใจ แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้แทนเจ้า มีเพียงเจ้า...”หลี่ซ่งหมินหยุดเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนดันร่างของหญิงสาวออกก่อนก้มหน้ามองนางและให้นางได้เงยหน้าสบตาหงเหม่ยหลงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไม่กล้ากล่าวสิ่งใดหลี่ซ่งหมินยังคงเอ่ยต
หลังจากที่หงเหม่ยหลงได้ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเห็นแก่ระบบเมืองหลวงตามกฎมณเฑียรบาลที่ควรจะเป็นเพื่อประโยชน์สูงสุดของหลี่หงจินหยางบุตรชายหนึ่งเดียวของนาง แต่ยามนี้ นางกลับทำใจไม่ได้ นางทำใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อนึกถึงภาพของหลี่ซ่งหมินกำลังร่วมรักอยู่กับสตรีอื่น ใจของนางเหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่หงเหม่ยหลงกำลังก้มหน้าก้มตากำหนดจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงแท่นที่นางกำลังนั่งหมกหมุ่นอยู่ เมื่อนางกำลังควบคุมสติและสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงทุ่มต่ำคุ้นหูของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าต้องการอย่างนี้หรือ”ทั้งน้ำเสียงและประโยคนั้นทำหงเหม่ยหลงถึงกับชะงักงันหันไปสบตากับเจ้าของเสียงในทันที“เจ้าต้องการอย่างนี้จริงๆใช่หรือไม่ หลงเอ๋อร์” ประโยคนั้นของหลี่ซ่งหมินแม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หงเหม่ยหลงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเจือจางผสมผสานอยู่“ท่าน...” หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านควรจะอยู่ตำหนักของสนมมิใช่หรือ” และประโยคนั้นของหญิงสาวก็ทำหลี่ซ่งหมินชะงันไปในทันทีเช่นกัน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองโดย







