LOGINเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม ชายหนุ่มหญิงสาวยังคงอ่อนแรงเกินกว่าจะคิดออกไปทางใด
อีกทั้งด้านนอกของถ้ำแห่งนี้นั้นยังคงปกคลุมไปด้วยความมืดดำของราตรียามค่ำคืน
หงเหม่ยหลงยังคงนั่งพิงผนังถ้ำในท่าเดียวกันกับตอนที่นางตื่นขึ้นมา
ส่วนหลี่ซ่งหมินที่เดิมทีทำได้แค่นั่งตัวตรงเพราะมีหัวธนูปักอยู่ ตอนนี้ก็สามารถนั่งพิงผนังถ้ำได้เช่นเดียวกัน
ทั้งสองนั่งเคียงข้างกัน ไหล่ห่างกันเพียงคืบ เนื่องจากในถ้ำค่อนข้างคับแคบ อีกทั้งด้านหนึ่งของถ้ำใช้เป็นที่ก่อกองไฟ จึงทำให้เหลือที่นั่งเพียงด้านเดียว
ทั้งสองเพียงนั่งเคียงข้างกันท่ามกลางความเงียบ...
ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ
ไม่มีใครถามเรื่องราวของใคร
มีเพียงเสียงของไฟที่ปะทุดัง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ท่ามกลางความเงียบที่โรยอยู่รอบตัว
จนเวลาล่วงเลย…
ทั้งสองก็ยังคงนั่งเงียบนิ่งงันไร้วาจาใดๆต่อกันอยู่
พรึ่บ! พรึ่บ!
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังอยู่นอกถ้ำ สองชายหญิงรีบดับไฟอย่างใจตรงกันประหนึ่งว่านัดกันอย่างนั้น
ทั้งสองอยู่ในความมืดในทันที
เงียบ...
ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ
มีเพียงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดกันเท่านั้น
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของกันและกัน
ทั้งคู่อยู่ในท่าปกป้องกันและกันอย่างคาดไม่ถึง
“ข้าจะออกไปดู” หงเหม่ยหลงกระซิบเสียงเบาอยู่ข้างใบหูของชายหนุ่นในความมืด
“เจ้าเองก็บาดเจ็บเช่นกัน อยู่นี่เถอะ” หลี่ซ่งหมินกระซิบตอบกลับใส่ใบหูของนางในระยะประชิดเช่นเดียวกัน
แต่ขณะเขาทำท่าจะลุกขึ้นก็ถูกหญิงสาวกดไหล่เอาไว้
“ท่านไปไม่ได้ แผลท่านยังไม่สมาน มันจะปริแตกเอาได้”
“ข้าไม่เป็นไร”
“นั่งลง”
“ข้าไม่...”
“ยังจะเถียงอีก”
“เจ้า!”
ทั้งสองกระซิบกระซาบเถียงกันไปมาใส่หน้ากันและกัน ต่างฝ่ายต่างกดไหล่กันและกันอยู่อย่างนั้น ประหนึ่งกำลังกอดกันอยู่ก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงโคมไฟส่องสว่างดัง ฟรึ่บ เข้ามาในถ้ำตรงตำแหน่งที่ทั้งสองนั่งอยู่
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้น “องค์ชาย!”
“ในที่สุดก็หาท่านจนพบ พวกเรา ทางนี้ เร็ว!” เพียงอึดใจเดียวก็มีนายทหารกลุ่มหนึ่งเบียดเสียดกันเข้ามาในถ้ำ ทำให้ถ้ำที่คับแคบอยู่แล้วยิ่งคับแคบไปกันใหญ่
“ที่แท้เป็นพวกเจ้า” หลี่ซ่งหมินกล่าวออกมาเมื่อเห็นเป็นเหล่าทหารคนสนิทของตน
“กราบทูลองค์ชาย สตรีนางนี้ เอ่อ...” ทหารคนแรกที่เข้ามาก่อนถามขึ้นอย่างอึกอัก
สายตาของทหารทุกคู่มองมายังหงเหม่ยหลงเป็นตาเดียวกัน
จะไม่ให้พวกเขามองได้อย่างไร ในเมื่อองค์ชายกับสตรีนางนี้เหมือนกอดกันอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นสายตาทุกคู่มองมาอย่างมีเลศนัยบางอย่าง หนุ่มสาวในท่วงท่าคล้ายกอดกันอยู่พลันได้สติ
ผลั่ก!
“อึก!”
หงเหม่ยหงเผลอตัวผลักชายหนุ่มออกจากตัวอย่างแรง จนร่างของชายหนุ่มกระแทกผนังถ้ำอย่างจัง
“เจ้าทำอะไรเนี่ย” หลี่ซ่งหมินถามด้วยเสียงแหบพร่า เจ็บแผลจนตาร้อน
“อ๊ะ ข้าขอโทษ” หงเหม่ยหลงนึกขึ้นได้ว่านางเองที่เป็นฝ่ายกดไหล่ของเขาเอาไว้
“ข้าขอโทษ เจ็บหรือไม่”
“ถามได้ แผลฉีกแล้วกระมัง”
“ไหน ขอข้าดูหน่อย หันหลังมาสิ” ชายหนุ่งขืนตัวเองไว้ ไม่ยอมหันหลังให้นางดู
หญิงสาวตบไหล่เขาเบาๆ หนึ่งที แล้วจับไหล่ของเขาหมุนมาเพื่อดูบาดแผล
กิริยาแบบนั้นทำเอาหลี่ซ่งหมินรู้สึกแปลกๆอย่างประหลาด
หญิงสาวเพียงกระซิบอยู่ด้านหลัง “ไม่เป็นไร เลือดซึมออกมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
ชายหนุ่มมิได้ต่อปากต่อคำอันใด เขานั่งทื่ออยู่อย่างนั้น
เหล่าทหารที่เห็นกิริยาของคนทั้งสองจึงทำท่าอึกอักมองตากันปริบๆไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
ถึงแม้ว่าฝ่ายหญิงคล้ายกับกำลังล่วงเกินองค์ชายของตนอยู่ แต่กิริยาขององค์ชายทำให้พวกเขาไม่กล้าวู่วามใดๆกับสตรีแปลกหน้านางนี้
“องค์ชาย...เรารีบออกไปกันเถิด” ทหารของหลี่ซ่งหมิน กล่าวอย่างเป็นห่วงจากใจจริงก่อนจะทำความเคารพเพื่อขออนุญาตเข้ามาประคอง
ชายหนุ่มทำท่าลุกขึ้น แต่ยังหันไปถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ “เจ้าควรไปกับข้า เจ้าเองก็บาดเจ็บไม่น้อย”
“ข้าไม่เป็นไร” หงเหม่ยหลงตอบเนิบๆ “ท่านไปเถอะ ปล่อยข้าไว้ที่นี่กับคบไฟอันหนึ่งก็พอ”
หลี่ซ่งหมินเพียงปรายสายตามองหงเหม่ยหลงนิ่งๆ ไม่คิดจะต่อคำ แม้ในใจจะนึกห่วงอยู่บ้าง
เขาเพียงส่งสายตาให้ทหารของเขาทำตามที่หญิงสาวต้องการ ก่อนจะออกจากถ้ำไป
ภายในตำหนักหลวงของแคว้นต้าหลี่..."สิบกว่าปีมานี่ หยางเอ๋อร์ของเรา ไม่เคยทำให้ผิดหวัง" หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นกับหงเหม่ยหลงที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงริมระเบียงของตำหนัก ชายหนุ่มยังคงประคองกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย ขณะกล่าวต่อเนิบนาบน้ำเสียงเรียบเรื่อย "หยางเอ๋อร์เคยบอกกล่าวแก่ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรับสนมเพื่อเสริมอำนาจแต่อย่างใด เพราะอำนาจเหล่านั้นเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้" สีหน้าภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายหนึ่งเดียวแสดงออกฉายชัดพร้อมๆกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยหงเหม่ยหลงที่เพียงนั่งฟังเงียบๆจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล "เป็นเพราะข้า หยางเอ๋อร์จึงต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะข้าเห็นแก่ตัว ซ่งหมิน...ความรักของเราเป็นดาบสองคม" หญิงสาวหยุดคำอยู่อึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "ปีนี้หยางเอ๋อร์อายุย่างเข้ายี่สิบห้าปีแล้ว เขายังคงครองตัวเป็นโสด ไม่สนใจอิสตรี ทำแต่ศึกสงคราม ไม่สนใจใคร สนใจแต่อำนาจ ทำตัวเหี้ยมโหดเย็นชา สร้างกำแพงให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเราผู้เป็นบิดามารดา"หลี่ซ่งหมินก้มหน้าน้อยๆยิ้มบางเบาใส่สตรีในอ้อมกอดก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ
"พวกเจ้า พวกเจ้า" เว่ยฟางเริ่มเอ่ยสิ่งใดไม่ถูกนางคล้ายจะเป็นลมจนสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องรีบเข้ามาประคองหยางเจียนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน "พวกเจ้าอายุเพียงแค่นี้ มันเร็วไปหรือไม่ที่จะด่วนตัดสินใจ" แต่เหมือนอิ้งลี่จะมิได้ฟังคำห้ามปรามใดๆ หญิงสาวเพียงวิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจแล้วตะบึงควบออกไปจากกลุ่มของหยางเจียนและเว่ยฟาง ซักพักเสียงถกเถียงกันจึงตามมา"ใครเป็นคนรักของเจ้า อิ้งลี่" เสียงนั้นเป็นเสียงของเฟิงหลินนั่นเอง หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งควบม้าให้หนีออกห่างจากการตามติดของอิ้งลี่ "ข้าก็แค่พูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า 5 ปี มิได้รึ" อิ้งลี่ตะโกนขึ้นพลางควบม้าไล่ตามเฟิงหลิน"ไม่ได้" "ทำไมเล่า"และเสียงถกเถียงกันของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยก็หายไปพร้อมกับคณะเดินทางขององค์ชายหลี่หงจินหยางท่ามกลางความสับสนงุนงงของผู้เป็นมารดาอย่างเว่ยฟางและหยางเจียนท่ามกลางร่มไม้ตรงทางเดินทอดยาวภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสโอบล้อมไปด้วยสายลมแผ่วเบา"เจ้าคิดว่าอย่างไร หลงเอ๋อร์" หลี่ซ่งหมินเอ่ยถามหงเหม่ยหลงขณะทั้งสองพากันเดินชมนกชมไม้ไปตามทางของอุทยานหลวง"ข้ารู้สึกกังวลเสียยิ่งกว่าการตั้งครรภ์ของตัวเองเ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดสามัญชนทั่วไปแต่ด้วยใบหน้าที่สะอาดหมดจดงดงามปานเทพเซียน และดวงตาคมกริบฉายแววกล้าแกร่งเกินวัย กำลังควบม้าตะบึงมาก่อนจะผ่อนเป็นเชื่องช้าเดิน เหยาะ เหยาะ เข้ามาหาผู้เป็นบิดาและมารดาที่ยืนรอตนอยู่ด้านตรงลานกว้างกลางพระราชวังราศีของผู้นำผู้มีอำนาจบารมีได้แผ่ออกมาจากตัวหนุ่มน้อยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงยืนมองหลี่หงจินหยางที่กำลังนั่งงามสง่าอยู่บนอาชาคู่ใจ ยามนี้ได้เวลาที่บุตรชายหนึ่งเดียวของพวกเขาจะได้ออกเรียนรู้การเป็นผู้นำที่แท้จริง ศึกครานี้หลี่หงจินหยางได้รับหน้าที่ให้ไปเปิดศึกเพื่อที่จะทำการปิดศึกให้ได้อย่างถาวรกับพวกแคว้นเว่ยที่ยังคงหลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าพวกแคว้นเว่ยนั้นจะยังไม่มีการจู่โจมหรือเปิดศึกใดๆ กับแคว้นต้าหลี่ แต่จากข่าวกรองที่หลี่ซ่งหมินได้รับนั้น มิใช่ว่าพวกแคว้นเว่ยจะรามือจากการแก้แค้นแต่อย่างใด พวกมันยังคงก่อตั้งกลุ่มกำลังและขยายเพิ่มอำนาจอย่างต่อเนื่องเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกมัน แต่การที่จะเป็นฝ่ายรอรับมิสู้เป็นฝ่ายรุกเสียก่อนยามที่
และเสียงดาบฟาดฟันประสานกันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาหงเหม่ยหลงเพียงนั่งชมภาพของสองพ่อลูกแลกหมัดประสานกระบี่กันไปมาอย่างนึกชื่นชม ยามนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะพยายามตั้งครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจบรรดาสนมนางใดอีกต่อไป แต่ถ้านางไม่สามารถมีลูกได้ดังใจหวังนางก็จะเป็นทุกอย่างให้บุตรชายหนึ่งเดียวของนาง หลี่หงจินหยางนั้น นางจะเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งสหายในทุกสถานการณ์ให้กับบุตรชายของนาง แต่การที่จะทำให้หลี่หงจินหยางอยู่ได้ด้วยหน้าที่อันหนักหน่วงในภายภาคหน้าได้นั้น การประคบประหงมย่อมเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เขาต้องเรียนรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายในตำหนักกลางบริเวณห้องรับประทานอาหารของครอบครัวสกุลหลี่ “ออกรบหรือเสด็จพ่อ” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นไปทางหลี่ซ่งหมินภายในตำหนักกลางหลังจากทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย“ถูกต้อง” หลี่ซ่งหมินรับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยต่อเพื่อขยายความ“ขณะนี้มีข่าวกรองเกี่ยวกับพวกของแคว้นเว่ยที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันสามารถสร้างขุมกำลังเอาไว้ในเขตแดนต้าไห่ ข้าอยากให้เจ้
นางช่างโง่งมจริงดังคำเขากล่าว“ซ่งหมิน... ข้า...” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด นางเพียงยืนก้มหน้าและเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น “หลงเอ๋อร์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิมเรียกนางจนนางต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตา “ข้าเองที่เห็นแก่ตัว” หลี่ซ่งหมินขยับเพียงนิดเพื่อดึงร่างบางของหงเหม่ยหลงเข้ามาโอบกอดอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยต่อ“ข้าเห็นแก่ตัวจนละเลยสิ่งที่ควรจะเป็นไปของเมืองหลวง และข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ข้าเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ ข้าเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ข้าย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม มีเพียงแต่เจ้า แค่เรื่องของเจ้า ที่ข้ามักจะเห็นแก่ตัว”ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มมองใบหน้าของนางยามนี้เขายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การตั้งครรภ์ การสร้างทายาท เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับสตรี ข้าย่อมเข้าใจ แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้แทนเจ้า มีเพียงเจ้า...”หลี่ซ่งหมินหยุดเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนดันร่างของหญิงสาวออกก่อนก้มหน้ามองนางและให้นางได้เงยหน้าสบตาหงเหม่ยหลงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไม่กล้ากล่าวสิ่งใดหลี่ซ่งหมินยังคงเอ่ยต
หลังจากที่หงเหม่ยหลงได้ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเห็นแก่ระบบเมืองหลวงตามกฎมณเฑียรบาลที่ควรจะเป็นเพื่อประโยชน์สูงสุดของหลี่หงจินหยางบุตรชายหนึ่งเดียวของนาง แต่ยามนี้ นางกลับทำใจไม่ได้ นางทำใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อนึกถึงภาพของหลี่ซ่งหมินกำลังร่วมรักอยู่กับสตรีอื่น ใจของนางเหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่หงเหม่ยหลงกำลังก้มหน้าก้มตากำหนดจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงแท่นที่นางกำลังนั่งหมกหมุ่นอยู่ เมื่อนางกำลังควบคุมสติและสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงทุ่มต่ำคุ้นหูของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าต้องการอย่างนี้หรือ”ทั้งน้ำเสียงและประโยคนั้นทำหงเหม่ยหลงถึงกับชะงักงันหันไปสบตากับเจ้าของเสียงในทันที“เจ้าต้องการอย่างนี้จริงๆใช่หรือไม่ หลงเอ๋อร์” ประโยคนั้นของหลี่ซ่งหมินแม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หงเหม่ยหลงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเจือจางผสมผสานอยู่“ท่าน...” หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านควรจะอยู่ตำหนักของสนมมิใช่หรือ” และประโยคนั้นของหญิงสาวก็ทำหลี่ซ่งหมินชะงันไปในทันทีเช่นกัน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองโดย







