บทที่ 7 หอโอสถเสียนเย่า
สองฝั่งฟากถนนของเมืองอี้เฉิง เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ตามหน้าร้านเหล่านั้นล้วนแขวนโคมประดับสีสันแตกต่างกันไป เพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาให้กับย่านการค้าของเมือง ประชาชนมากมายเดินจับจ่ายใช้สอยกันขวักไขว่ เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจากการพูดคุย ผสานกับเสียงร้องเรียกลูกค้า จากบรรดาลูกจ้างหรือพ่อค้าแม่ค้าแผงลอย กลิ่นอาหารปรุงสุกใหม่ลอยกรุ่น บันดาลให้บรรยากาศถนนฝั่งทิศเหนือของเมืองอี้เฉิงคึกคักเป็นพิเศษ ดวงตาเมล็ดซิ่งของมู่หนิงชิงพราวระยับ สว่างไสวตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพที่เห็น ตึกรามบ้านช่องรวมถึงผู้คนทั้งหมดล้วนเป็นของจริง มิใช่ฉากหรือตัวประกอบในซีรีย์อย่างที่เคยเห็น! นางคงต้องหาเวลามาเดินเล่นในเมืองอี้เฉิงแห่งนี้บ่อยๆแล้ว มู่เฟิงบอกนางว่า ตลาดแห่งนี้คือตลาดทางทิศเหนือ ตั้งอยู่บนถนนที่มีชื่อว่า เสินเป่ย นอกจากตลาดที่นางได้ประจักษ์กับตา บนถนนเสินเป่ยยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการ และสถานศึกษาของเมืองนี้ หอโอสถซึ่งใหญ่และดีที่สุดของเมืองอี้เฉิง ก็ตั้งอยู่บนถนนเสินเป่ยเช่นเดียวกัน ส่วนทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยของบรรดาขุนนางและคหบดีใหญ่ของเมือง ตลาดของที่นั่นจึงมีแต่ร้านค้าและสินค้าราคาแพง… ตลาดทางทิศตะวันตกและทิศใต้ อยู่ติดกับท่าเรือและแหล่งที่อยู่อาศัยของประชาชนฐานะปานกลาง รวมถึงแหล่งชุมชนแออัด สินค้าที่ขายส่วนใหญ่จึงเป็นจำพวกอาหารทะเล และสินค้าจากโพ้นทะเลซึ่งบรรทุกมากับเรือสำเภา มู่หนิงชิงวางแผนเรื่องการไปเยือนตลาดท่าเรือในคราวหน้า ภาพของอาหารทะเลสดล่องลอยอยู่ในความคิด ทุกอย่างน่ากินจนนางต้องลอบกลืนน้ำลาย และเมื่อเดินถึงหน้าร้านขายสมุนไพรที่เป็นจุดหมาย ตั้งอยู่ใกล้กับร้านขายตำราขนาดใหญ่ "ถึงแล้วชิงเอ๋อร์ ที่นี่แหละ หอโอสถเสียนเย่า" เบื้องหน้าครอบครัวสกุลมู่บ้านรอง คืออาคารสูงห้าชั้นสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน รูปแบบเรียบง่ายทว่าสง่างาม พื้นที่ด้านหน้ากว้างราวสามสิบจั้ง ถือว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สุดในย่านการค้าบนถนนเสินเป่ย หน้าหอโอสถมีปี่เซียะแกะสลักจากหินสูงราวหนึ่งจั้งตั้งอยู่สองตัว ตัวอักษรชื่อร้านสีทองที่อยู่บนป้ายไม้สักทองงดงามอ่อนช้อยทว่าทรงพลังยิ่ง มู่หนิงชิงรู้สึกทึ่งในลายมือ เงยหน้ามองตัวอักษรสองตัวนั้นด้วยแววตาชื่นชมเต็มเปี่ยม นางอยากรู้เหลือเกินว่าใครกันคือเจ้าของฝีพู่กันงดงามนี้! หญิงสาวซึ่งในเวลานี้สวมผ้าคาดปิดหน้าเพื่อปิดบังความโทรม! แผ่นหลังของนางเหยียดตรงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มือทั้งสองประสานไว้ที่หน้าท้อง เหมือนอย่างในซีรีย์จีนที่เคยเห็น ขยับขาก้าวเข้าไปในหอโอสถเพียงลำพัง… คราแรกมู่เฟิงไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของบุตรสาว เขาจึงยอมพาซูเหม่ยและเจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสอง ไปนั่งรอที่ม้านั่งหินใต้ต้นซิ่งข้างหอโอสถ “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าอยากให้ท่านเชื่อใจข้า ถึงเวลาที่ข้าต้องเติบโตและต้องเริ่มทำหลายสิ่งด้วยตนเองบ้างแล้ว ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ หากหอโอสถแห่งนี้ ให้ราคายุติธรรมอย่างที่สหายของท่านพ่อกล่าวจริง พวกเราก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล และข้าก็จะไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบแน่นอนเจ้าค่ะ!“ ชั้นแรกของหอโอสถเป็นห้องโถงเปิดกว้างสะอาดสะอ้าน กลิ่นสมุนไพรลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ ทว่ากลับมิได้ฉุนจนแสบจมูก หลงจู๊ชายที่คอยดูแลลูกค้า ก้าวมาหามู่หนิงชิงด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ยามเห็นว่ามีลูกค้ามาใหม่ "แม่นางน้อยท่านนี้ ไม่ทราบว่าวันนี้มาซื้อหรือมาขายสมุนไพรขอรับ" คำทักทายจากปากหลงจู๊ สร้างความประทับใจกึ่งประหลาดใจให้มู่หนิงชิงไม่น้อย ทั้งที่นางแต่งกายซอมซ่อ ร่างกายผ่ายผอม มองมุมไหนก็รู้ว่าเป็นคน..จน แต่กลับได้รับการต้อนรับที่ดีเช่นนี้ "ข้ามาขายสมุนไพรเจ้าค่ะ" เสียงไพเราะเป็นเอกลักษณ์ของนางดังขึ้น ลอบเพ่งมองกำแพงซึ่งเต็มไปด้วยชั้นใส่สมุนไพรสูงจรดเพดาน ทว่าด้านหลังกลับมีห้องลับซ่อนอยู่…น่าสนใจจริงๆ "วันนี้เอาสมุนไพรชนิดไหนมาขายหรือขอรับ ข้าจะได้ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมิน" มือบางปลดถุงผ้าที่สะพายมาด้วย ยกริมผ้าที่ปิดทับหลินจือแดงออกเล็กน้อย และยื่นให้หลงจู๊ผู้นั้นดู "สิ่งนี้เจ้าค่ะ" ครั้นได้เห็นสิ่งที่อยู่ในห่อผ้า หลงจู๊รีบพานางขึ้นไปยังชั้นสามทันที หน้าห้องประเมิน มีองครักษ์รูปร่างสูงท่าทางแข็งแรงยืนเฝ้าประตูอยู่สองนาย มู่หนิงชิงลอบมองด้วยความสนใจ เพียงแค่ห้องประเมินสมุนไพรต้องคุ้มกันขนาดนี้เชียวหรือ "เชิญแม่นางรอสักครู่ ข้าจะเชิญผู้ประเมินมาพบท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ" หลงจู๊ผละไปหลังจากพานางไปนั่งยังเก้าอี้รับรอง คล้อยหลังหลงจู๊ มู่หนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจ กวาดมองสำรวจรายละเอียดภายในห้อง ตามประสาดรุณีขี้สงสัย… ภายในห้องประเมิน เครื่องเรือนทุกชิ้นทำขึ้นจากไม้จันทร์ สลักเสลาลวดลายฝีมือประณีต นางชื่นชมคนออกแบบ จัดวางของตกแต่งในห้องด้วยใจจริง ถึงขั้นอยากรู้จักคนผู้นั้น 'รสนิยมใช้ได้เลยนะเนี่ย ใครกันนะที่เป็นนักออกแบบภายในของหอโอสถแห่งนี้ เผื่ออนาคตจะจ้างไปออกแบบให้ข้าบ้าง' มู่หนิงชิงกวาดตามองเครื่องเรือนทีละชิ้น จนกระทั่งสายตาไปตกอยู่ที่หลังตู้วางของตกแต่ง ซึ่งด้านหลังปิดทึบ… บุรุษรูปร่างสูงสง่าหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดผ้าไหมสีดำเนื้อดีปักดิ้นสีทองแดง ถือพัดในมือยืนหลบซ่อนอยู่หลังตู้ใบนั้นบทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้า
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลัง
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"