บทที่ 6 หารือเรื่องแยกบ้าน
เร็วเท่าความคิด… "ท่านพ่อเจ้าคะ เมืองอี้เฉิงนี่ใหญ่มากหรือเปล่า แล้วมีท่านโหวหรือท่านอ๋องในเมืองนี้หรือไม่เจ้าคะ" "เมืองอี้เฉิงติดทะเล อีกทั้งยังมีท่าเรือย่อมต้องใหญ่อยู่แล้ว ชิงเอ๋อร์จำไม่ได้หรือ?" หัวคิ้วของมู่เฟิงมุ่นเข้าหากัน เขาเคยพาบุตรสาวไปในเมืองอี้เฉิงอยู่หลายครั้ง ไยนางถึงจำไม่ได้ "พี่ใหญ่คงลืมเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านจำเรื่องที่ท่านหมอหูบอกพวกเราไม่ได้หรือเจ้าคะ" มู่หนิงอันรีบเตือนความจำบิดา ยามเห็นสีหน้าของเขาดูงวยงงกับคำถามของพี่สาว "อ่าาา นั่นสินะ พ่อก็ลืมไป เมืองอี้เฉิงเป็นเมืองใหญ่มากชิงเอ๋อร์ ท่านเจ้าเมืองคือ รุ่ยอ๋อง ซวินเหิงเยว่ และมี หย่งหนานโหว จ้าวหลิวเหว่ย คอยดูแลเรื่องการทหาร ทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน อ้อ ยังมี จงเจาโหว เสิ่นปั๋วหลาง อีกคน ทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องท่าเรือน่ะ" คำอธิบายของบิดาช่วยให้มู่หนิงชิงพอเข้าใจสภาพการณ์ของเมืองอี้เฉิงขึ้นมาบ้าง ทว่ายังมีอีกเรื่องที่นางอยากรู้… "ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองกับท่านโหวอีกสองคน หนุ่มหรือแก่เจ้าคะ แล้ว…หล่อหรือเปล่าเจ้าคะ" ที่นางถามเพราะอยากรู้ว่าในชีวิตจริง กับนิยายที่แต่งขึ้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่านางบ้าผู้ชาย "…" มู่เฟิง "ท่านอ๋องกับหย่งหนานโหวอายุยี่สิบกว่าๆเท่ากัน ทั้งคู่รูปงามมาก ส่วนจงเจาโหว อายุราวสามสิบรูปงามเช่นเดียวกัน ชิงเอ๋อร์สนใจใคร่รู้เรื่องของผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองอี้เฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หืมม?" "รู้ไว้ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายนี่เจ้าคะ เกิดเข้าไปในเมืองแล้วบังเอิญได้พบเห็นบุรุษรูปงาม อายุราวๆที่ท่านพ่อบอกมา ข้าจะได้รู้ว่านี่คือคนใหญ่คนโตของเมือง จะได้ไม่ไปเดินเกะกะขวางทางพวกเขาเจ้าค่ะ" มู่หนิงชิงซึ่งลื่นยิ่งกว่าปลาไหลทาน้ำมัน รีบไขความกระจ่างเรื่องที่ตนเองไต่ถามให้มู่เฟิงฟัง ส่วนความคิดจริงๆนั้น…'แม่เจ้าา มีทั้งท่านอ๋อง มีทั้งท่านโหว แถมยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวอีกต่างหาก นี่มันซีรีย์จีนแนวพีเรียดชัดๆ!! อยากเห็นหน้าขึ้นมาแล้วซิ จะมีโอกาสรึเปล่านะ บรรดานักแสดงชายที่เราเคยร่วมงานด้วย ส่วนใหญ่ที่รับบทอ๋องหรือโหวจะหน้าดีกันทุกคน ไม่รู้ว่าของจริงจะหล่อระดับไหน ชักสงสัยแล้วสิว่านักเขียนรู้ได้อย่างไรว่าอ๋องกับโหวต้องหล่อ‘ มู่หนิงชิงผู้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ตามประสา ~ดรุณีขี้สงสัย~ หลังจากพูดคุยเรื่องเวลาในการเดินทางด้วยเกวียนหน้าหมู่บ้าน เพื่อไปยังตัวเมืองอี้เฉิงเรียบร้อย มู่เฟิงและบุตรชายจึงขอตัวไปอาบน้ำ ซูซื่อรีบเอ่ยถามบุตรสาวเรื่องเห็ดหลินจือ "ก่อนถึงตีนเขาข้าเอาเห็ดทั้งสองดอก ยัดไว้ในอกเสื้อเจ้าค่ะท่านแม่ เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่กังวลกลับเกิดขึ้นจริงๆ" อันที่จริง มู่หนิงชิงแอบเอาเห็ดหลินจือเข้าไปเก็บไว้ในมิติ ตอนที่เห็นหลัวซื่อและมู่อวี๋โหรวยืนอยู่หน้าบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น ราวยามเหม่า (05:00-06:59) สมาชิกสกุลมู่บ้านรองก็มารอนั่งเกวียนของ จงหู่ ชายชราคนขับเกวียนประจำหมู่บ้านเต๋อถังเพื่อเข้าเมืองอี้เฉิง "อ้าว อาเฟิงอาเหม่ย วันนี้พาเด็กๆไปด้วยรึ?" จงหู่เอ่ยทักมู่เฟิงเมื่อขับเกวียนมาถึงที่จอดรอ "ท่านปู่จงหู่สบายดีนะขอรับ/เจ้าคะ" มู่เฟิงรวมถึงทุกคนกล่าวทักทายชายชรา "ข้าน่ะสบายดีอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าล่ะแม่หนูชิงเอ๋อร์ หายป่วยดีแล้วนะ สิ่งศักดิ์คุ้มครองจริงๆ ที่เจ้าปลอดภัย" ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงใจ เขาได้ยินเรื่องอาการบาดเจ็บของดรุณีน้อยมาจากภรรยาอีกที "ข้าดีขึ้นมาก เกือบหายเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะท่านปู่จงหู่ ขอบคุณที่ถามไถ่เจ้าค่ะ" มู่หนิงชิงค้อมศีรษะให้เล็กน้อยขณะกล่าวตอบอีกฝ่าย บนเกวียนของจงหู่มีคนจากหมู่บ้านเต๋อถัง เดินทางเข้าเมืองทั้งหมดสิบคนเช้าวันนี้ ราคาค่านั่งเกวียนผู้ใหญ่คนละสองอีแปะ เด็กหนึ่งอีแปะ มู่เหนิงเฉิงขอไปนั่งด้านหน้า ตรงส่วนคนขับเกวียนกับจงหู่ ชายชราใจดีทั้งเอ็นดูเด็กชายที่ขยันขันแข็ง ช่วยบิดาทำงานตั้งแต่ยังเล็ก เลยช่วยสอนวิธีควบคุมเกวียนให้ทุกครั้งในยามที่บิดาพาเขาเข้าเมืองไปด้วย เกือบหนึ่งชั่วยามต่อมา เกวียนของจงหู่ก็มาถึงประตูเมืองอี้เฉิง มู่หนิงชิงตื่นเต้นมาตลอดทาง มือทั้งสองภายใต้แขนเสื้อชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเมื่อลงจากเกวียนได้ นางก็รีบมาชะโงกมองสำรวจสภาพของเมืองอี้เฉิงทันที "สุดยอดดด สวยมากเลย! เหมือนที่เคยเห็นในซีรีย์เปี๊ยบ ไม่สิ สวยกว่าด้วยซ้ำ ตื่นเต้นๆๆ" สีหน้าท่าทางกอปรกับแววตาสดใสมีชีวิตชีวาของหญิงสาว ช่างน่าเอ็นดูจนซูซื่อลอบยิ้ม "คิกๆๆๆ พี่ใหญ่เคยมาตั้งหลายครั้งแล้ว จำไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ" เจ้าหัวผักกาดน้อยหัวเราะคิกคักขณะเอื้อมมากุมมือพี่สาว "พี่ลืมไปหมดแล้วจริงๆ อันเอ๋อร์ต้องช่วยนำทางให้พี่แล้วล่ะ อุ้ย! นั่นขนมในตำนาน ถังหูลู่! อยากกินอ่ะ" "ชิ! กะอีแค่ถังหูลู่ทำเป็นตื่นเต้น บ้านนอกจริงๆ" หญิงสาวจากหมู่บ้านเต๋อถัง ที่นั่งเกวียนมาด้วยกันเหยียดปากใส่มู่หนิงชิง ยามเห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นเพียงเพราะถังหูลู่ "…" มู่หนิงชิง 'เอาซักโบกดีมั้ย'บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนปลาย) หลินฮองเฮานั่งชันเข่าหลังชิดผนังเตียง แขนสองข้างโอบกอดตนเองจากความเหน็บหนาว เสียงที่ดังรบกวนในตำหนักเย็นยามค่ำคืน ประหนึ่งเสียงของผีร้ายกรีดร้องคอยหลอกหลอน รบกวนสภาพจิตใจของนางจนแทบเสียสติอยู่รอมร่อ ดวงตาของนางแดงช้ำ จากการร้องไห้คร่ำครวญมาสองวันสองคืน จนน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือด จากที่เคยดูอ่อนเยาว์มีสง่าราศี บัดนี้ดูทรุดโทรมและแก่ขึ้นสิบปีภายในระยะเวลาสั้นๆ บาดแผลฉกรรจ์บนดวงหน้าสร้างความเจ็บปวดไม่น้อยในฤดูหนาว นางพยายามฝืนทนต่อความง่วงงุนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสุดท้ายแล้วร่างกายก็มิอาจต้านทานต่อความเหนื่อยล้า หลินเจาถิงผล็อยหลับในที่สุด เซียวหนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจสำรวจตำหนักเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นพบเป้าหมายที่ตามหา ดวงตาคู่งามทอประกายชั่วร้ายวาวโรจน์ในบัดดล เอี๊ยดดด เสียงบานประตูห้องของหลินฮองเฮาเปิดออก ตามด้วยเสียงแแมวร้องฟังดูวังเวง เมี้ยวววว เมี้ยววววว…คนบนเตียงสะดุ้งตื่นอย่างเสียขวัญ รู้สึกถึงสัมผัสจากมือผอมแห้งเย็นยะเยือก กำลังลูบไล้ลงบนแก้มซ้ายของนาง "หลินเจาถิงงง หลินเจาถิงงงง" เสียงเยียบเย็นยานคางฟังแล้วขนหัวลุก คล้ายดังแว่วมาจาก
บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนต้น) หากคำกล่าวของแม่เล้าเป็นเรื่องจริง บุรุษผู้นี้อาจเป็นตัวช่วยที่เขากำลังมองหา "พานักสังคีตคนนั้นมาให้นายท่านของข้าดูตัวทันที หลังจากที่เขาเล่นดนตรีเสร็จ" ผู้ติดตามโยนถุงเงินให้แม่เล้า อีกฝ่ายรับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง คาดเดาจากน้ำหนัก ก็พอรู้ว่าจำนวนเงินในถุงคงไม่ใช่น้อยๆ "แน่นอนเจ้าค่ะนายท่าน" ครึ่งชั่วยามถัดมา แม่เล้าก็เดินมาเคาะประตูห้องรับรองส่วนตัวของลูกค้าเงินหนัก เพื่อขออนุญาตพาเอ้อร์หลิงเข้าไปพบตามที่รับปากไว้ "นายท่าน ข้าน้อยพาคนมาแล้วเจ้าค่ะ" ผู้ติดตามเปิดประตูออก แม่เล้าก้าวเข้าไปก่อน ตามด้วยร่างสูงของเอ้อร์หลิงในชุดสีขาวบริสุทธิ์ สวมหน้ากากสีขาวเข้ากันกับชุดปิดบังใบหน้าครึ่งบน เพียงแค่ได้เห็นรูปร่างและท่วงท่าอันสง่างามราวคุณชายจากตระกูลใหญ่ บุรุษหลังฉากพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยปากสั่งให้เขาถอดเสื้อคลุมและหน้ากากออก ทว่าคำตอบที่ได้รับ คนฟังถึงกับคิ้วกระตุก "ข้าน้อยต้องขออภัยนายท่านด้วยจริงๆขอรับ เนื่องจากตัวข้าน้อย ขายเพียงความสามารถทางดนตรีและการร่ายรำ หาใช่ขายเรือนกาย ขอนายท่านโปรดอภัยให้ด้วยขอรับ" เอ้อร์หลิงประสานมือค้อมเอวอย่างน
บทที่ 78 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนปลาย) "หรานซิง พวกเราไม่มีเวลาแล้ว หากเจ้าไม่ยอมร่วมมือกับข้า ตำแหน่งฮองเฮาที่เจ้าใฝ่ฝันคงกลายเป็นของผู้อื่น รีบตัดสินใจเสีย!" รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาดจนคนฟังสะดุ้งเฮือก พระชายาหลินหรานซิงกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น สูดหายใจลึกหลุบดวงเนตรลงต่ำ พยักหน้ารับปากคำขอของสวามีอย่างจำใจ "ขอบใจเจ้ามากชายารัก ขอบใจจริงๆ" ซวินเทียนอวิ๋นดึงร่างระหงของชายาเอกมากอดแนบอก พร่ำบอกขอบใจนางซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งอก "แต่ว่า…จะไปหาคนผู้นั้นมาจากที่ไหนหรือเพคะ" หลินหรานซิงเอ่ยถามสวามีด้วยความกังวล แม้ภายในใจไม่ยินยอมแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางก็ต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าหนทางนี้จะอันตราย "เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก็พอ" ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น รถม้าไร้สัญลักษณ์จอดอยู่หน้าจวนเพื่อรอรับเอ้อร์หลิง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวสีดำคลุมทับ หันมาโบกมือร่ำลานายเหนือหัว และว่าที่นายหญิงด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป ราวหนึ่งครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันดังกล่าวได้จอดเทียบประตูทางเข้าด้านข้างหออ้ายเสิน หอโคมแดงชื่อดังของเมือ
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนต้น) จิตสังหารแผ่ออกรอบพระวรกายฮ่องเต้ กดข่มหลินฮองเฮาจนแทบหายใจไม่ออก ดวงเนตรนางหงส์สั่นระริกรูม่านตาหดเล็กจากความกลัวที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก โอรสสวรรค์ละพระหัตถ์จากดวงหน้าของหลินเจาถิง ยืนฟังนางแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน "ฝ่า ฝ่าบาททะ ทรงรับสั่งเรื่องอะไรเพคะ นักพรตอะไรกัน ทรงไปฟังใครที่ไหนมาเพคะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนอะไรกันหม่อมฉันไม่เข้าใจ" ท่าทางของนางลนลานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ตัวนักพรตหวู่หุนเองตายไปนานแล้ว ถึงครอบครัวอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำนาง หนำซ้ำตอนที่ครอบครัวของนักพรตหวู่หุนเดินทางออกจากเมืองหลวง นางสั่งให้คนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลิน ตรวจค้นข้าวของที่พวกเขานำติดตัวไปรวมถึงค้นตัวของทุกคน ไม่มีจดหมายหรือเอกสารใดๆ ซุกซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่หลินฮองเฮาไม่รู้ นั่นคือเรื่องที่นักพรตหวู่หุนได้แอบส่งภาพวาดสำคัญ ฝากพ่อค้าที่รู้จักกันกลับไปยังแดนเหนือเพื่อมอบให้หลานชาย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะล้มป่วย "หลินเจ้าถิง ข้ามีคำสารภาพผิดของนักพรตหวู่หุนอยู่ในมือ ถึงเจ้ายืนกรานปฏิเสธก็หนีไม่พ้น ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเจ้าต้องชดใช้ให