บทที่ 7 หอโอสถเสียนเย่า
‘โอ๋ว! มีอาหารตาให้ดูเล่นด้วยแฮะ หล่อยิ่งกว่าพระเอกหมายเลขหนึ่งของวงการบันเทิงอีก ว่าแต่ทำไมเขาต้องไปแอบตรงนั้นด้วยเล่า เล่นซ่อนหากับใครอยู่หรือ? เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นคนร้ายแอบมาดักปล้นสมุนไพรราคาแพงที่มีคนนำมาขายกัน!! ไม่ได้การ ต้องหาอาวุธป้องกันตัวเสียหน่อยแล้ว' อาการหวาดระแวงผุดขึ้นในหัวจารชนสายอาหารอย่างมู่หนิงชิง เจ้าตัวแวบหายเข้าไปในมิติ พุ่งตรงไปยังตู้เซฟหลังกำแพง หยิบปืนเลเซอร์ออกมากระบอกหนึ่งไว้ป้องกันตัว ร่างกายของนางตอนนี้อ่อนแอเกินไป มิอาจต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้เลยต้องใช้เครื่องทุ่นแรง ด้วยประสิทธิภาพของปืนกระบอกนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือหากโดนยิงเข้าไปอย่างไรก็เจ็บหนัก! หลังกลับออกมาจากมิติ ร่างบางแสร้งลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไปรอบๆห้อง ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปหาตู้วางของตกแต่งใบนั้น กระชับปืนเลเซอร์ในมือใต้แขนเสื้อแน่นเตรียมพร้อมใช้งาน เวลานี้นางยืนอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับเขา โดยมีเพียงตู้ใบนั้นกั้นไว้ ที่นางทำเช่นนี้เพราะสังเกตเห็นว่า หน้าต่างภายในห้องทุกบานยังคงถูกลงกลอนจากภายใน นั่นแสดงว่าบุรุษชุดดำคงอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่หลงจู๊จะพานางเข้ามา…แล้วจะไปแอบเพื่อ? ร้อนก็ร้อน หนุ่มหล่อในยุคโบราณนี่นิสัยแปลกประหลาดดีแท้ เสียงไพเราะเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวดังขึ้น ประหนึ่งกำลังพูดอยู่คนเดียว "แหม ตู้ไม้จันทร์ใบนี้เนื้อดีจริงๆ แจกันใบนี้งดงามมากเลย ราคาคงไม่ถูกแน่ๆ อุ้ย! คฑาหยกหรูอี้อันนี้ก็ด้วย ภาพเขียนอันนั้นก็อีก ในห้องนี้มีแต่ของล้ำค่าทั้งนั้นเลย หากถูกขโมยไปเจ้าของคงเสียใจแย่” กล่าวจบนางก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้รับรองตามเดิม องครักษ์หน้าห้องลอบมองหน้ากัน แม่นางน้อยผู้นั้นกำลังพูดอยู่กับใคร หรือว่า… บุรุษชุดดำหลังตู้มุ่นคิ้วกระบี่สีหน้างวยงง ยามได้ยินวาจาพิลึกพิลั่นจากปากหญิงสาว นี่นางรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้อย่างนั้นรึ และกำลังคิดว่าเขาเป็นขโมยสินะ! ใครมันจะบ้าขโมยทรัพย์สินของตัวเองกัน!! ราวจิบชาผู้ประเมินซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบก็มาถึง ดวงตาสีนิลคู่นั้นฉายแววฉลาดล้ำรอบคอบชัดเจน “แม่นางน้อยขอโทษที่ให้รอ ข้ามีนามว่า จวงฉือ แต่คนของหอโอสถต่างเรียกข้าว่า เหล่าจวง เป็นผู้ประเมินสมุนไพรของหอโอสถเสียนเย่า หลงจู๊บอกว่าแม่นางมีหลินเจือแดงมาขายอย่างนั้นหรือ” “เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงยกห่อผ้าขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือ และเมื่อเปิดห่อผ้าออก สิ่งที่อยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตาของผู้ประเมิน สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ยามได้เห็นหลินจือแดงขนาดใหญ่ ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์ทั้งสองดอกตรงหน้า “ขอข้าจับดูหน่อยนะแม่นาง” “เชิญเจ้าค่ะท่านผู้ประเมิน” ผู้ประเมินสวมถุงมือผ้าที่พกมาด้วย ค่อยๆประคองเห็ดหลินจือดอกแรกขึ้นมาพินิจ รอยยิ้มแห่งความพอใจผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะหยิบหลินจือแดงอีกดอก ขึ้นมาตรวจสอบเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยบอกราคาประเมิน “ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าไม่ได้เห็นหลินจือแดงคุณภาพระดับนี้มานานแล้ว แม่นางจะขายทั้งสองดอกเลยหรือไม่ ข้าให้ราคาดอกละสามร้อยตำลึงเงิน หอโอสถเสียนเย่าไม่เคยคดโกงราคาสมุนไพรผู้นำมาขาย ราคานี้ถือว่ายุติธรรมสำหรับหลินจือแดงที่แม่นางนำมาแน่นอน" มู่หนิงชิงพอใจกับราคาที่ได้รับ จำนวนของตัวเลขไม่ขาดไม่เกิน เหมือนอย่างที่ซินดี้บอกนางเปี๊ยบ มาตรฐานสูงจริงๆ! “ข้าตกลงขายทั้งสองดอกเจ้าค่ะ ขอรับเป็นตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึง จำนวนสิบเอ็ดใบ ที่เหลือขอเป็นก้อนตำลึงจะได้หรือไม่เจ้าคะท่านผู้ประเมิน” เหล่าจวงรับปากตามที่นางต้องการ เขาห่อหลินจือแดงไว้อย่างเดิม เดินถือนำหน้าออกจากห้องประมูล มู่หนิงชิงหันไปมองยังตำแหน่งตู้วางของตกแต่งอีกครั้งด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นจึงก้าวตามผู้ประเมินออกไป เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง บุรุษในชุดดำจึงออกมาจากที่ซ่อน สะบัดคลี่พัดในมือ ยกขึ้นมาโบกด้วยท่าทางเกียจคร้าน “หึ! ชิวยวี่ เปิ่นหวางอยากรู้ว่านางเป็นใคร!” สุรเสียงทรงอำนาจเปล่งวาจาสั่งองครักษ์ “พะย่ะค่ะ” บุรุษชุดดำก้าวมาเปิดหน้าต่าง ดวงเนตรเย็นชามองผ่านลงไปยังถนน ที่ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ เขามั่นใจว่าเก็บกลิ่นอายของตนได้อย่างมิดชิด ต่อให้เป็นผู้มีวรยุทธเก่งกาจก็ยากที่จะรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ ทว่าสตรีผู้นั้นกลับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา…ดูท่าว่านางคงมิใช่คนธรรมดา ในชั่วขณะที่ครุ่นคิดเรื่องสตรีแปลกหน้าอยู่นั้น สายตาพลันสะดุดเข้ากับแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวนางหนึ่ง กำลังเดินปะปนอยู่กับฝูงชน หากมองผ่านๆก็มิต่างหญิงชาวบ้าน ที่มาเดินในเมืองกับครอบครัว นางจับจูงมือน้อยของเด็กหญิงตัวเล็ก แกว่งไปมาอย่างอารมณ์ดี ทว่าลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า หญิงสาวนางนี้มีบางอย่างไม่เหมือนคนอื่น… ดวงเนตรคู่คมพิศมองนางไม่วางตา จะใช่คนที่ตามหาหรือไม่นั้น คงต้องรอคำตอบจากชิวยวี่ จู่ๆมู่หนิงชิงรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอแปลกๆ นางหันขวับเพ่งสายตากวาดมองไปถ้วนทั่ว จนสะดุดเข้ากับร่างสูงสง่าของชายหนุ่มรูปงาม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสามของหอโอสถเสียนเย่า "นึกว่าใครแอบมองที่แท้ก็พ่อหนุ่มรูปงามหลังตู้นี่เอง" หญิงสาวกระตุกยิ้มพึมพำเสียงเบา ผินหน้ากลับไปหาครอบครัวบทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนปลาย) ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามปิดลง เริ่มเค้นความทรงจำของมู่หนิงชิงในวันสุดท้าย… ช่วงสายของวันนั้น มู่หนิงชิงสะพายตะกร้าขึ้นหลัง เดินเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรและผักป่าตามปกติ เดินอยู่ราวสามเค่อจึงมุ่งไปยังตำแหน่งที่เคยพบกอเผือก กอเผือกอีกแล้ว!! ทว่ากลับชะงักฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงร้องครวญครางของสตรีอยู่ไม่ไกล หญิงสาวก้าวไปข้างหน้ามือบางแหวกใบของต้นเผือกออก และได้เห็นบั้นท้ายของบุรุษ กำลังกระแทกใส่หว่างขาสตรี ที่ยืนพิงต้นไม้ยกขาข้างหนึ่งเกี่ยวเอวของเขาไว้ นางไม่เห็นหน้าของคนทั้งสองด้วยซ้ำ เพราะรีบหมุนตัวกลับมาจากภาพบัดสีที่ได้ประจักษ์กับตา เท้าของนางบังเอิญเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง นางไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะได้ยินหรือไม่ หลังผละมาจากตรงนั้น หญิงสาวเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยพบกลุ่มเห็ดโคนที่ขึ้นเป็นประจำ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่นางถูกลอบทำร้ายจากด้านหลัง…จนเสียชีวิตในที่สุด มู่หนิงชิงเปิดเปลือกตาขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อนิจจา…มู่หนิงชิง เจ้าต้องมาตายเพราะโดนคนสารเลวที่แอบมาเล่นชู้กันในป่าสังหาร เพียงเพื่อปกปิดความเลวระยำของพวกมัน!“ ดวงตาข
บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนต้น) สัญญาเช่าพื้นที่หน้าร้านฝูจิ่นเริ่มขึ้นวันมะรืน ตามคำขอของมู่หนิงชิง หญิงสาวยังได้สั่งทำฉากกั้น โต๊ะไม้และกล่องใส่อาหาร สำหรับไว้ใช้ในวันเปิดร้าน จากร้านขายเครื่องเรือนในเครือตระกูลฟ่านอีกด้วย ส่วนภาชนะที่นางจะใช้สำหรับใส่เกี๊ยวซ่าขาย คือกระทงใบกล้วย หลังกลับมาจากในเมือง มู่หนิงชิงขอให้มารดาพาไปหาบ้านที่ปลูกกล้วยเพื่อขอซื้อใบ ขากลับเดินผ่านไร่ของบ้านใหญ่สกุลมู่ ก็ได้เห็นมู่ซาน มู่อวิ๋นเทารวมถึงหลัวซื่อ ซึ่งปกติไม่เคยมาช่วยงานที่ไร่ กำลังวุ่นวายอยู่กับการรดน้ำและกำจัดวัชพืช ในขณะที่ปากก็พ่นคำผรุสวาทไม่หยุด ซูซื่อเห็นทั้งสามแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนหันหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน มู่หนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจมองเข้าไปภายในบ้าน เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง พบว่ามู่อวี๋โหรวกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง สั่งให้น้องสาวช่วยเย็บเสื้อคลุมบุรุษตัวหนึ่งแทนตน ทว่าไร้เงาของฉวนซื่อที่ยามนี้ปกติต้องอยู่บ้าน… หลังกลับมาถึงบ้าน มู่หนิงชิงชวนบิดาและน้องทั้งสอง ไปเดินเล่นบนเขาโดยทิ้งแม่ไก่สายดุไว้เฝ้าบ้าน! นางต้องการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างนี้ หากจะไปคนเดียวมู่เฟิงและซูซื่อคงไม
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนปลาย) เวลานี้ดวงตาของคู่งามของฟ่านฮุ่ยเจิน เป็นประกายระยับราวกับดวงดาวยามค่ำคืน นางยิ้มไม่หุบขณะชิมน้ำจิ้มแต่ละรส และเมื่อเกี๊ยวซ่าตัวสุดท้ายหมดลง… "อ๊ะ! หมดแล้วหรือ เอ่อ แม่นางมู่ หากข้าจะขอเพิ่มอีกสักจาน ท่านยังพอมีเกี๊ยวเหลือหรือไม่" น้ำเสียงเว้าวอน สีหน้าค่อนไปทางออดอ้อนเล็กน้อยของฟ่านฮุ่ยเจิน เรียกรอยยิ้มกว้างของมู่หนิงชิงได้อีกครั้ง "หากคุณหนูฟ่านต้องการ ข้าจะไปทอดเพิ่มให้ท่านทันที เพียงแต่ว่า…ท่านจะอนุญาตให้ข้ามาตั้งแผงขาย ยังหน้าร้านฝูจิ่นได้หรือไม่หรือเจ้าคะ" "ได้สิ! ได้แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าจะร่างสัญญาเช่าให้ท่าน ระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานต่อไป เอ่อ ข้าอยากรู้ว่าวันนี้ท่านนำเกี๊ยวสดมาเยอะหรือไม่ หากข้าจะขอประเดิมอาหารของท่านเป็นเจ้าแรก ด้วยการเหมาเกี๊ยวซ่าที่ท่านนำมา ในวันนี้ทั้งหมดจะเป็นไปได้ไหม ทุกคนในครอบครัวของข้าต้องชื่นชอบเป็นแน่" ฟ่านฮุ่ยเจินที่ติดอกติดใจความอร่อยล้ำเลิศนี้ เอ่ยปากถามมู่หนิงชิงอย่างตรงไปตรงมา แม่ค้าหน้าใหม่ระบายยิ้มจนตาโค้ง พยักหน้าเป็นคำตอบด้วยความยินดี สัญญาเช่าหน้าร้านฝูจิ่นถูกร่างขึ้นระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานถัดไป
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนต้น) เสียงแม่ไก่ร้องปลุกสมาชิกในบ้าน ยามแสงทองเรืองรองสาดส่องย้อมขอบฟ้า ร่างบางบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนก้าวลงจากเตียง หลังจากที่ทุกคนในบ้านล้างหน้าล้างตาและทานมื้อเช้าเป็นที่เสร็จสรรพ ทั้งห้าชีวิตก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปขึ้นเกวียน มู่หนิงชิงย่อตัวเอ่ยกับแม่ไก่แสนรู้ทั้งสาม ที่เดินมาส่งยังหน้าบ้านว่า “ฝากบ้านด้วยนะทุกคน ใครมาด้อมๆ มองๆ ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ พวกเจ้าจัดการได้เลย!!!” กะต๊าก!!! แม่ไก่ทั้งสามตัวส่งเสียงตอบรับ ก่อนเดินแยกย้ายไปตามมุมต่างๆของบ้านเพื่อเฝ้าระวัง มู่หนิงชิงยกยิ้มด้วยความชอบใจ ในขณะที่บุพการีและน้องทั้งสองยืนอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง “แม่ไก่จากแดนเทพช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นอกจากออกไข่ใบใหญ่วันละสองฟองแล้ว ยังเฝ้าบ้านได้อีกด้วย“ มู่หนิงเฉิงเผยสีหน้าเหลือเชื่อ มองตามหลังแม่ไก่ตาแทบถลน สมาชิกทุกคนของสกุลมู่บ้านรอง ช่วยกันถือของที่จะนำไปในเมืองกันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อไปให้ทันขึ้นเกวียนรอบแรก ครั้นจงหู่เห็นพวกเขาหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปด้วย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย คำตอบที่ได้รับกลับมา อยู่เหนือความคาดหมายของชราเล็กน้อย แต่กระนั
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนปลาย) แต๊กๆๆๆๆๆๆ!! เสียงรัวตะกร้อตีมือดังขึ้นในครัว ดึงความสนใจของซูซื่อที่กำลังเย็บชายกระโปรงใหม่ให้มู่หนิงอัน นางหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เดินมาดูแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน ซึ่งมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกในมือ “นั่นมัน? เอ่อ…” “ท่านเทพให้มาเจ้าค่ะ” ร่างบางเงยหน้าบอกมารดา ก่อนก้มหน้ารัวตะกร้อในมือต่อ “ชิงเอ๋อร์ทำอะไรหรือให้แม่ช่วยดีกว่า ร่างกายลูกยังไม่แข็งแรง ออกแรงมากจะหน้ามืดเอานะ” “ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” ซูซื่อยืนมองบุตรสาว รัวมือตีสิ่งที่อยู่ในชามใบใหญ่ด้วยความสนใจ ราวครึ่งเค่อต่อมา น้ำจิ้มสีเหลืองนวลข้นเหนียวก็เป็นอันเสร็จ มู่หนิงชิงเหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า อ้าปากหอบหายใจ พลางนวดข้อมือจากความเมื่อยขบ ขณะหันมายิ้มให้กับมารดา “มายองเนสเสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เหลือแค่ปรุงรสอีกนิดหน่อยเท่านั้น“ “มา มาอะไรนะชิงเอ๋อร์?!” ซูซื่อถามชื่อของน้ำจิ้มสีนวลนั้นซ้ำ นางไม่เคยได้ยินชื่อเรียกน้ำจิ้มแบบนี้มาก่อน “มา ยอง เนสสสส เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงเอ่ยทวนทีละคำให้มารดาฟังอีกรอบชัดๆ คนฟังพยักหน้าพลางกล่าวทวนคำบุตรสาว “อ่าา มา ยอง เนสซึ” “คิกๆๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนต้น) มู่หนิงชิงเดินกลับมาหาครอบครัว ด้วยสภาพครบสามสิบสองไม่ขาดไม่เกิน นางบอกกับมู่เฟิงว่ารุ่ยอ๋องเรียกไปคุยเรื่องเห็ดหลินจือแดงไม่มีอะไรที่น่ากังวล ในชั่วขณะนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดเทียบที่หน้าร้านฝูจิ่น หญิงสาวอายุราวสิบหกหนาว รูปร่างอรชรในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีฟ้าอ่อนก้าวออกมาจากตัวรถ ใบหน้าสะคราญอ่อนหวานน่าทะนุถนอม มีรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบาส่งให้หญิงสาวดูเป็นมิตร สาวใช้ก้าวลงมาก่อน ยื่นมือเพื่อรอประคองคุณหนูของตน ครั้นหลงจู๊ร้านฝูจิ่น เห็นว่าเป็นผู้ใดจึงปรี่เข้ามาทักทายด้วยความนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ สบายดีนะขอรับ สมุดบัญชีเตรียมไว้ที่ห้องทำงานแล้วขอรับ” “ขอบคุณหลงจู๊ฝางมากเจ้าค่ะ…ไม่ทราบว่าลูกจ้างในร้านดูแลพวกท่านดีหรือไม่” ใบหน้าอ่อนหวานของ ฟ่านฮุ่ยเจิน หันมาหาครอบครัวของมู่เฟิง พร้อมเอ่ยถามในสิ่งทำเป็นประจำกับลูกค้าทุกคนของร้าน ชาวบ้านทุกคนในตลาดต่างรู้ดีว่า ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลคหบดีใหญ่ ที่ร่ำรวยมากของเมืองอี้เฉิง นายท่านผู้เฒ่าฟ่าน สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยมือของตนเอง พื้นเพเป็นเพียงพ่อค้าขายของหาบเร่มาก่อน ทว่าขยันขันแข็งฉลาดเฉลียว รู
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ อึดใจต่อมาเสียงทุ้มกังวานของซวินเหิงเยว่ก็ดังขึ้น เรียกสติของมู่หนิงชิงให้ตื่นจากภวังค์ “อะ แฮ่ม! เปิ่นหวางน่ามองขนาดนั้นเชียว แม่นางมู่ถึงได้จ้องตาไม่กะพริบแบบนี้" "ขะ ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว" หญิงสาวสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติ นางเผลอมองนานไปหน่อย "หึ! รู้ตัวก็ดี รินชาเอาเองนะ มือเปิ่นหวางไม่ว่าง” มือแกร่งของอ๋องหนุ่ม ดันถาดชุดน้ำชามาให้หญิงสาว โดยไม่หันมองหน้านางด้วยซ้ำ "…" มู่หนิงชิง 'กวน…มาก' "ขอบพระทัยเพคะ แต่ชาของท่านอ๋องหม่อมฉันไม่อาจเอื้อมที่จะดื่มเพคะ…คือว่าสูงส่งเกินไปลิ้นของหม่อมไปถึงไม่ถึง ปกติดื่มแต่น้ำต้มสุก" ที่นางไม่กล้าดื่มเพราะกลัวโดนวางยาพิษต่างหาก "เฮอะ! มิใช่กลัวว่าจะโดนเปิ่นหวางวางยาพิษหรอกรึ!" ซวินเหิงเยว่แค่นเสียง เอ่ยวาจาประชด คล้ายรู้ทันความคิดของหญิงสาว "หม่อมฉันจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ไม่มี๊! ไม่มี! ท่านอ๋องเป็นถึงเจ้าเมือง จะทรงคิดร้ายต่อประชาชนของตนเองได้อย่างไรกัน ใช่หรือไม่เพคะ…เอ่อ ไม่ทราบว่าที่ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันมาพบ มีเรื่องอะไรจะถามไถ่หรือเพคะ" นางปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบเอ่ยเข
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ เมื่อเกวียนของจงหู่จอดลง มู่หนิงชิงจึงขอให้บิดา ช่วยพาไปร้านขายข้าวสารและของแห้งอีกครั้ง นางอยากถามเถ้าแก่ของร้านฝูจิ่น เรื่องการขอตั้งแผงลอย ในชั่วขณะที่กำลังจะข้ามถนน หญิงสาวรู้สึกถึงการถูกจ้อง มาจากโรงเตี้ยมชื่อดังของย่านนั้น ครั้นแหงนมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมดังกล่าว สายตาของนางก็สบเข้ากับดวงตาสีเข้มคู่คมเย็นชาของคนคุ้นเคยเข้าพอดี ซวินเหิงเยว่ โบกพัดในมือเอื่อยเฉื่อย ยกมุมปากขึ้นบางเบา จับจ้องหญิงสาวสวมผ้าคาดปิดหน้าไม่วางตา “ไปพานางมาพบเปิ่นหวาง แล้วให้อย่าเอิกเกริก” ชายหนุ่มหุบพัดดังฉับ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน คนของรุ่ยอ๋องรับคำสั่งและรีบผละไป ปล่อยให้นายเหนือหัวนั่งจิบชาหลงจิ่งต้นฤดู ส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยท่าทางสบายใจ “ท่านอ๋องรู้จักสตรีผู้นั้นด้วยหรือ ถึงให้ชิวยวี่ไปเชิญมาพบ” ชายหนุ่มรูปงามผิวสีน้ำผึ้ง รูปตายาวเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเด็ดขาด ทว่าแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยน เอ่ยปากถามบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความข้องใจ สหายรักสูงศักดิ์ของเขาผู้นี้ ปกติเกลียดการถูกสตรีเข้าหาหรือตามวอแวเป็นที่สุด ทว่าวันนี้กลับเอ่ยปากสั่งให้องครักษ
บทที่ 11 ของขวัญจากท่านเทพ มู่เฟิงและซูซื่อพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงตอบ ผิดกับมู่หนิงเฉิงและมู่หนิงอัน ที่กำลังระบายยิ้มเต็มหน้าตามพี่สาว เจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นมือน้อยๆ มาหาแม่ไก่เบื้องหน้า แม่ไก่ทั้งสามเหมือนจะเข้าใจเด็กๆ พวกมันก้มหัวลงให้พวกเขาสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ก่อนก้าวเข้าไปซุกหน้าที่บ่าน้อยๆ ของพวกเขาอย่างนุ่มนวล พวงแก้มของเด็กทั้งคู่กลายเป็นสีระเรื่อด้วยความดีใจ ดวงตาไร้เดียงสาพร่างพราวจากความสุข เจ้าหัวผักกาดน้อยเงยหน้ามองพี่สาว ก่อนเอ่ยวาจาเป็นประโยคเดียวกัน "พี่ใหญ่ พวกข้าขอดูแลแม่ไก่สามตัวนี้ได้หรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ" "ได้แน่นอนเฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รบกวนพวกเจ้าทั้งสองดูแลพวกมันให้ดีด้วยนะ" เด็กๆ ส่งเสียงขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง หยัดกายขึ้นยืนและพาแม่ไก่สายดุทั้งสาม ออกไปยังหลังบ้านเพื่อให้อาหาร มู่หนิงชิงบอกพวกเด็กๆว่า แม่ไก่เหล่านี้กินธัญพืชและผักต่างๆได้ คืนนั้นมู่หนิงชิงจัดอาหารชุดใหญ่พิเศษ เพื่อฉลองอิสรภาพให้ครอบครัว พร้อมนำเหล้าองุ่นแดงรสเลิศ ออกมาจากมิติแห่งความอิ่มหนำให้มู่เฟิงและซูซื่อได้ลิ้มลอง "ชิงเอ๋อร์! ไยอาหารถึงได้มากมายเ