บทที่ 7 หอโอสถเสียนเย่า
‘โอ๋ว! มีอาหารตาให้ดูเล่นด้วยแฮะ หล่อยิ่งกว่าพระเอกหมายเลขหนึ่งของวงการบันเทิงอีก ว่าแต่ทำไมเขาต้องไปแอบตรงนั้นด้วยเล่า เล่นซ่อนหากับใครอยู่หรือ? เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นคนร้ายแอบมาดักปล้นสมุนไพรราคาแพงที่มีคนนำมาขายกัน!! ไม่ได้การ ต้องหาอาวุธป้องกันตัวเสียหน่อยแล้ว' อาการหวาดระแวงผุดขึ้นในหัวจารชนสายอาหารอย่างมู่หนิงชิง เจ้าตัวแวบหายเข้าไปในมิติ พุ่งตรงไปยังตู้เซฟหลังกำแพง หยิบปืนเลเซอร์ออกมากระบอกหนึ่งไว้ป้องกันตัว ร่างกายของนางตอนนี้อ่อนแอเกินไป มิอาจต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้เลยต้องใช้เครื่องทุ่นแรง ด้วยประสิทธิภาพของปืนกระบอกนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือหากโดนยิงเข้าไปอย่างไรก็เจ็บหนัก! หลังกลับออกมาจากมิติ ร่างบางแสร้งลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไปรอบๆห้อง ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปหาตู้วางของตกแต่งใบนั้น กระชับปืนเลเซอร์ในมือใต้แขนเสื้อแน่นเตรียมพร้อมใช้งาน เวลานี้นางยืนอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับเขา โดยมีเพียงตู้ใบนั้นกั้นไว้ ที่นางทำเช่นนี้เพราะสังเกตเห็นว่า หน้าต่างภายในห้องทุกบานยังคงถูกลงกลอนจากภายใน นั่นแสดงว่าบุรุษชุดดำคงอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่หลงจู๊จะพานางเข้ามา…แล้วจะไปแอบเพื่อ? ร้อนก็ร้อน หนุ่มหล่อในยุคโบราณนี่นิสัยแปลกประหลาดดีแท้ เสียงไพเราะเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวดังขึ้น ประหนึ่งกำลังพูดอยู่คนเดียว "แหม ตู้ไม้จันทร์ใบนี้เนื้อดีจริงๆ แจกันใบนี้งดงามมากเลย ราคาคงไม่ถูกแน่ๆ อุ้ย! คฑาหยกหรูอี้อันนี้ก็ด้วย ภาพเขียนอันนั้นก็อีก ในห้องนี้มีแต่ของล้ำค่าทั้งนั้นเลย หากถูกขโมยไปเจ้าของคงเสียใจแย่” กล่าวจบนางก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้รับรองตามเดิม องครักษ์หน้าห้องลอบมองหน้ากัน แม่นางน้อยผู้นั้นกำลังพูดอยู่กับใคร หรือว่า… บุรุษชุดดำหลังตู้มุ่นคิ้วกระบี่สีหน้างวยงง ยามได้ยินวาจาพิลึกพิลั่นจากปากหญิงสาว นี่นางรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้อย่างนั้นรึ และกำลังคิดว่าเขาเป็นขโมยสินะ! ใครมันจะบ้าขโมยทรัพย์สินของตัวเองกัน!! ราวจิบชาผู้ประเมินซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบก็มาถึง ดวงตาสีนิลคู่นั้นฉายแววฉลาดล้ำรอบคอบชัดเจน “แม่นางน้อยขอโทษที่ให้รอ ข้ามีนามว่า จวงฉือ แต่คนของหอโอสถต่างเรียกข้าว่า เหล่าจวง เป็นผู้ประเมินสมุนไพรของหอโอสถเสียนเย่า หลงจู๊บอกว่าแม่นางมีหลินเจือแดงมาขายอย่างนั้นหรือ” “เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงยกห่อผ้าขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างเบามือ และเมื่อเปิดห่อผ้าออก สิ่งที่อยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตาของผู้ประเมิน สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ยามได้เห็นหลินจือแดงขนาดใหญ่ ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์ทั้งสองดอกตรงหน้า “ขอข้าจับดูหน่อยนะแม่นาง” “เชิญเจ้าค่ะท่านผู้ประเมิน” ผู้ประเมินสวมถุงมือผ้าที่พกมาด้วย ค่อยๆประคองเห็ดหลินจือดอกแรกขึ้นมาพินิจ รอยยิ้มแห่งความพอใจผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะหยิบหลินจือแดงอีกดอก ขึ้นมาตรวจสอบเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยบอกราคาประเมิน “ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าไม่ได้เห็นหลินจือแดงคุณภาพระดับนี้มานานแล้ว แม่นางจะขายทั้งสองดอกเลยหรือไม่ ข้าให้ราคาดอกละสามร้อยตำลึงเงิน หอโอสถเสียนเย่าไม่เคยคดโกงราคาสมุนไพรผู้นำมาขาย ราคานี้ถือว่ายุติธรรมสำหรับหลินจือแดงที่แม่นางนำมาแน่นอน" มู่หนิงชิงพอใจกับราคาที่ได้รับ จำนวนของตัวเลขไม่ขาดไม่เกิน เหมือนอย่างที่ซินดี้บอกนางเปี๊ยบ มาตรฐานสูงจริงๆ! “ข้าตกลงขายทั้งสองดอกเจ้าค่ะ ขอรับเป็นตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึง จำนวนสิบเอ็ดใบ ที่เหลือขอเป็นก้อนตำลึงจะได้หรือไม่เจ้าคะท่านผู้ประเมิน” เหล่าจวงรับปากตามที่นางต้องการ เขาห่อหลินจือแดงไว้อย่างเดิม เดินถือนำหน้าออกจากห้องประมูล มู่หนิงชิงหันไปมองยังตำแหน่งตู้วางของตกแต่งอีกครั้งด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นจึงก้าวตามผู้ประเมินออกไป เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง บุรุษในชุดดำจึงออกมาจากที่ซ่อน สะบัดคลี่พัดในมือ ยกขึ้นมาโบกด้วยท่าทางเกียจคร้าน “หึ! ชิวยวี่ เปิ่นหวางอยากรู้ว่านางเป็นใคร!” สุรเสียงทรงอำนาจเปล่งวาจาสั่งองครักษ์ “พะย่ะค่ะ” บุรุษชุดดำก้าวมาเปิดหน้าต่าง ดวงเนตรเย็นชามองผ่านลงไปยังถนน ที่ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ เขามั่นใจว่าเก็บกลิ่นอายของตนได้อย่างมิดชิด ต่อให้เป็นผู้มีวรยุทธเก่งกาจก็ยากที่จะรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ ทว่าสตรีผู้นั้นกลับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา…ดูท่าว่านางคงมิใช่คนธรรมดา ในชั่วขณะที่ครุ่นคิดเรื่องสตรีแปลกหน้าอยู่นั้น สายตาพลันสะดุดเข้ากับแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวนางหนึ่ง กำลังเดินปะปนอยู่กับฝูงชน หากมองผ่านๆก็มิต่างหญิงชาวบ้าน ที่มาเดินในเมืองกับครอบครัว นางจับจูงมือน้อยของเด็กหญิงตัวเล็ก แกว่งไปมาอย่างอารมณ์ดี ทว่าลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า หญิงสาวนางนี้มีบางอย่างไม่เหมือนคนอื่น… ดวงเนตรคู่คมพิศมองนางไม่วางตา จะใช่คนที่ตามหาหรือไม่นั้น คงต้องรอคำตอบจากชิวยวี่ จู่ๆมู่หนิงชิงรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอแปลกๆ นางหันขวับเพ่งสายตากวาดมองไปถ้วนทั่ว จนสะดุดเข้ากับร่างสูงสง่าของชายหนุ่มรูปงาม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสามของหอโอสถเสียนเย่า "นึกว่าใครแอบมองที่แท้ก็พ่อหนุ่มรูปงามหลังตู้นี่เอง" หญิงสาวกระตุกยิ้มพึมพำเสียงเบา ผินหน้ากลับไปหาครอบครัวบทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้า
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลัง
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"