บทที่ 9 สาเหตุแห่งความเกลียดชัง
"ฮ่าๆๆๆๆ เอ่ยออกมาได้ไม่อายปากเลยนะเจ้าคะท่านปู่ เป็นคนครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นหรือ! ผายลมล่ะซิไม่ว่า! ท่านกับภรรยาใช้งานบิดามารดาของข้าไม่ต่างจากทาส ยังกล้ามาเอ่ยคำว่าสายเลือดเดียวกัน และครอบครัวเดียวกันอีกหรือเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ไยถึงคิดไม่ได้ แต่พอจะเสียผลประโยชน์ขึ้นมาเลยคิดได้? ถึงขั้นบากหน้ามาเจรจาเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำสวยหรู มันไม่สายเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ!" มู่หนิงชิงทนฟังไม่ได้อีกต่อไป โผล่หน้าออกมาจากห้องครัว เอ่ยวาจาฉะฉานย้อนคำมู่ซานด้วยสีหน้าและแววตาเย้ยหยัน มู่หนิงชิงคนเดิมมีนิสัยขี้อายพูดน้อย หัวอ่อนและเชื่อฟังมักหลุบตาต่ำเสมอ แทบไม่เคยออกความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องภายในบ้าน อีกทั้งเป็นคนขยันขันแข็งไม่เกี่ยงงาน ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ทว่ามู่หนิงชิงคนที่อยู่ตรงหน้ามู่ซานในเวลานี้ กลับดูแตกต่างราวกับมิใช่คนเดิม กิริยาท่าทางรวมถึงสายตาเด็ดเดี่ยวไม่ยอมคน วาจาฉะฉานเสียดแทง นี่ใช่หลานสาวของเขาจริงๆหรือ! "มู่หนิงชิง! นี่เจ้า เดี๋ยวนี้หัดกำเริบเสิบสาน พูดจากับผู้หลักใหญ่เยี่ยงนี้ได้อย่างไร! ซูซื่อ! มาพาบุตรสาวของเจ้าออกไป เรื่องของข้ากับมู่เฟิงพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสอดปาก!" "ทำไมพวกข้าจะไม่มีสิทธิ์! ในเมื่อคนที่ลำบาก และถูกใช้งานเยี่ยงทาสคือพวกข้า ไม่ใช่คนบ้านใหญ่!" มู่หนิงชิงไม่ยอมแพ้ ประกาศจุดยืนแทนทุกคนในบ้านชัดเจน ดวงตาของนางทอประกายกล้าจ้องตามู่ซานอย่างไม่หวาดหวั่น ‘ชิ เรื่องบทร้ายๆ เนี่ยข้าถนัดนักเชียว อาชีพบังหน้าจากมิติเดิม มาซิปู่ ต่อบทมา มารดากำลังอินกับเนื้อเรื่อง!’ เลือดนักแสดงของมู่หนิงชิงกำลังพุ่งพล่าน นางเตรียมพร้อมต่อบทเต็มที่ มู่ซานที่โดนหลานสาวยอกย้อน จนไปต่อไม่เป็นถึงกับหน้าม้าน เขาหันมาชี้หน้าตวาดใส่ซูซื่อ ที่ยืนอยู่ข้างมู่หนิงชิงเพื่อระบายโทสะแทน "ซูเหม่ย! เจ้าสั่งสอนบุตรสาวอย่างไร ถึงได้มีนิสัยต่ำช้าเช่นนี้! ส่วนเรื่องแยกบ้าน เจ้าเลิกล้มความคิดเสียเถอะมู่เฟิง ข้าไม่ยินยอมเด็ดขาด!" ชายชรากล่าวกับบุตรชายทิ้งท้าย ก่อนสะบัดแขนเสื้อก้าวออกไปจากบ้านหลังนั้น บรรยากาศตึงเครียดภายในบ้านผ่อนคลายลงทันที เมื่อแผ่นหลังของมู่ซานพ้นไปจากสายตา มู่เฟิงทอดถอนใจให้กับนิสัยเห็นแก่ตัวของบิดา และก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ โชคดีที่มู่หนิงชิงเอ่ยขอให้เขา ไปเจรจากับหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องการขอแยกบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ รายละเอียดเรื่องรายรับรายจ่ายทุกอย่าง ถูกบันทึกไว้ในสมุดบัญชีของสกุลมู่บ้านรอง ตั้งแต่ย้ายกลับมาจากเมืองหลวง กอปรกับสมุดบัญชีส่วนตัวของมู่เฟิง สมัยที่ยังทำงานอยู่ในจวนเสนาบดีคลัง ว่าตัวเขาส่งเงินทองกลับมาบ้านทั้งหมดเท่าไหร่ ในตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี โชคดีที่พวกโจรไม่สนใจสมุดบัญชีเล่มนี้ สนใจเพียงเงินทองและของมีค่าที่พวกเขาพกติดตัวมาเท่านั้น การได้เคยทำงานอยู่ในจวนขุนนางใหญ่ ปลูกฝังให้เขาและภรรยา ติดนิสัยเรื่องการทำบัญชีรายจับรายจ่ายมาจากที่นั่น ในเวลานี้ สมุดบัญชีเหล่านั้นกลายเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการขอแยกบ้าน มิฉะนั้นเรื่องราวอาจยุ่งยากกว่าที่คิด “ท่านพ่อเจ้าคะ ฟังจากคำพูดทิ้งท้ายของท่านปู่ ข้าคิดว่าพวกเราต้องรีบไปพบหัวหน้าหมู่บ้าน ภายในวันนี้อีกรอบเจ้าค่ะ แต่คราวนี้ข้าจะไปกับท่านด้วย” มู่หนิงชิงเริ่มหมดความอดทนกับคนสกุลมู่บ้านใหญ่ จนเกิดอาการคันไม้คันมือขึ้นมาตะหงิดๆ เพียงแค่ระยะเวลาเกือบสิบวันที่นางทะลุมิติมา กลับได้ประสบพบเจอ นิสัยเห็นแก่ตัวจนน่ารังเกียจของคนบ้านใหญ่ถึงสองครั้งสองครา ถึงแม้ตัวนางในภพก่อนจะเป็นเด็กกำพร้า ทว่ากลับเกลียดความอยุติธรรมในครอบครัวเป็นที่สุด คำกล่าวที่ว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ คงใช้ได้กับทุกภพทุกมิติสินะ บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเต๋อถัง ก่วงเทียน หัวหน้าหมู่บ้านเต๋อถัง นั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมู่เฟิงและลูกเมียด้วยความเห็นใจ เมื่อวานชายหนุ่มมาพบเขา เพื่อแจ้งเรื่องขอแยกบ้าน ทว่ามิได้บอกเล่าถึงสาเหตุ ที่ทำให้ตัดสินใจเช่นนั้น ครั้นได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของชายหนุ่มเอง ตัวเขาพลันเห็นด้วยกับมู่เฟิงเรื่องการแยกบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ชายชราเหลือบตามองมู่หนิงชิง ที่นั่งนิ่งน้ำตาคลอเบ้า สีหน้าเศร้าสลดด้วยสายตาเวทนา โชคดีแค่ไหนที่นางรอดชีวิต มาจากอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อไม่นานมานี้ แม้แต่หลัวซื่อผู้เป็นย่าแท้ๆ นอกจากจะไม่เคยโผล่หน้าไปเยี่ยมเยียน กลับคิดลงไม้ลงมือกับหลานสาว ที่พึ่งอาการดีขึ้นเพียงเพราะไม่พอใจอีกฝ่ายเท่านั้น ช่างน่ารังเกียจจริงๆ …บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนปลาย) หลินฮองเฮานั่งชันเข่าหลังชิดผนังเตียง แขนสองข้างโอบกอดตนเองจากความเหน็บหนาว เสียงที่ดังรบกวนในตำหนักเย็นยามค่ำคืน ประหนึ่งเสียงของผีร้ายกรีดร้องคอยหลอกหลอน รบกวนสภาพจิตใจของนางจนแทบเสียสติอยู่รอมร่อ ดวงตาของนางแดงช้ำ จากการร้องไห้คร่ำครวญมาสองวันสองคืน จนน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือด จากที่เคยดูอ่อนเยาว์มีสง่าราศี บัดนี้ดูทรุดโทรมและแก่ขึ้นสิบปีภายในระยะเวลาสั้นๆ บาดแผลฉกรรจ์บนดวงหน้าสร้างความเจ็บปวดไม่น้อยในฤดูหนาว นางพยายามฝืนทนต่อความง่วงงุนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสุดท้ายแล้วร่างกายก็มิอาจต้านทานต่อความเหนื่อยล้า หลินเจาถิงผล็อยหลับในที่สุด เซียวหนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจสำรวจตำหนักเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นพบเป้าหมายที่ตามหา ดวงตาคู่งามทอประกายชั่วร้ายวาวโรจน์ในบัดดล เอี๊ยดดด เสียงบานประตูห้องของหลินฮองเฮาเปิดออก ตามด้วยเสียงแแมวร้องฟังดูวังเวง เมี้ยวววว เมี้ยววววว…คนบนเตียงสะดุ้งตื่นอย่างเสียขวัญ รู้สึกถึงสัมผัสจากมือผอมแห้งเย็นยะเยือก กำลังลูบไล้ลงบนแก้มซ้ายของนาง "หลินเจาถิงงง หลินเจาถิงงงง" เสียงเยียบเย็นยานคางฟังแล้วขนหัวลุก คล้ายดังแว่วมาจาก
บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนต้น) หากคำกล่าวของแม่เล้าเป็นเรื่องจริง บุรุษผู้นี้อาจเป็นตัวช่วยที่เขากำลังมองหา "พานักสังคีตคนนั้นมาให้นายท่านของข้าดูตัวทันที หลังจากที่เขาเล่นดนตรีเสร็จ" ผู้ติดตามโยนถุงเงินให้แม่เล้า อีกฝ่ายรับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง คาดเดาจากน้ำหนัก ก็พอรู้ว่าจำนวนเงินในถุงคงไม่ใช่น้อยๆ "แน่นอนเจ้าค่ะนายท่าน" ครึ่งชั่วยามถัดมา แม่เล้าก็เดินมาเคาะประตูห้องรับรองส่วนตัวของลูกค้าเงินหนัก เพื่อขออนุญาตพาเอ้อร์หลิงเข้าไปพบตามที่รับปากไว้ "นายท่าน ข้าน้อยพาคนมาแล้วเจ้าค่ะ" ผู้ติดตามเปิดประตูออก แม่เล้าก้าวเข้าไปก่อน ตามด้วยร่างสูงของเอ้อร์หลิงในชุดสีขาวบริสุทธิ์ สวมหน้ากากสีขาวเข้ากันกับชุดปิดบังใบหน้าครึ่งบน เพียงแค่ได้เห็นรูปร่างและท่วงท่าอันสง่างามราวคุณชายจากตระกูลใหญ่ บุรุษหลังฉากพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยปากสั่งให้เขาถอดเสื้อคลุมและหน้ากากออก ทว่าคำตอบที่ได้รับ คนฟังถึงกับคิ้วกระตุก "ข้าน้อยต้องขออภัยนายท่านด้วยจริงๆขอรับ เนื่องจากตัวข้าน้อย ขายเพียงความสามารถทางดนตรีและการร่ายรำ หาใช่ขายเรือนกาย ขอนายท่านโปรดอภัยให้ด้วยขอรับ" เอ้อร์หลิงประสานมือค้อมเอวอย่างน
บทที่ 78 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนปลาย) "หรานซิง พวกเราไม่มีเวลาแล้ว หากเจ้าไม่ยอมร่วมมือกับข้า ตำแหน่งฮองเฮาที่เจ้าใฝ่ฝันคงกลายเป็นของผู้อื่น รีบตัดสินใจเสีย!" รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาดจนคนฟังสะดุ้งเฮือก พระชายาหลินหรานซิงกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น สูดหายใจลึกหลุบดวงเนตรลงต่ำ พยักหน้ารับปากคำขอของสวามีอย่างจำใจ "ขอบใจเจ้ามากชายารัก ขอบใจจริงๆ" ซวินเทียนอวิ๋นดึงร่างระหงของชายาเอกมากอดแนบอก พร่ำบอกขอบใจนางซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งอก "แต่ว่า…จะไปหาคนผู้นั้นมาจากที่ไหนหรือเพคะ" หลินหรานซิงเอ่ยถามสวามีด้วยความกังวล แม้ภายในใจไม่ยินยอมแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางก็ต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าหนทางนี้จะอันตราย "เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก็พอ" ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น รถม้าไร้สัญลักษณ์จอดอยู่หน้าจวนเพื่อรอรับเอ้อร์หลิง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวสีดำคลุมทับ หันมาโบกมือร่ำลานายเหนือหัว และว่าที่นายหญิงด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป ราวหนึ่งครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันดังกล่าวได้จอดเทียบประตูทางเข้าด้านข้างหออ้ายเสิน หอโคมแดงชื่อดังของเมือ
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนต้น) จิตสังหารแผ่ออกรอบพระวรกายฮ่องเต้ กดข่มหลินฮองเฮาจนแทบหายใจไม่ออก ดวงเนตรนางหงส์สั่นระริกรูม่านตาหดเล็กจากความกลัวที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก โอรสสวรรค์ละพระหัตถ์จากดวงหน้าของหลินเจาถิง ยืนฟังนางแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน "ฝ่า ฝ่าบาททะ ทรงรับสั่งเรื่องอะไรเพคะ นักพรตอะไรกัน ทรงไปฟังใครที่ไหนมาเพคะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนอะไรกันหม่อมฉันไม่เข้าใจ" ท่าทางของนางลนลานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ตัวนักพรตหวู่หุนเองตายไปนานแล้ว ถึงครอบครัวอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำนาง หนำซ้ำตอนที่ครอบครัวของนักพรตหวู่หุนเดินทางออกจากเมืองหลวง นางสั่งให้คนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลิน ตรวจค้นข้าวของที่พวกเขานำติดตัวไปรวมถึงค้นตัวของทุกคน ไม่มีจดหมายหรือเอกสารใดๆ ซุกซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่หลินฮองเฮาไม่รู้ นั่นคือเรื่องที่นักพรตหวู่หุนได้แอบส่งภาพวาดสำคัญ ฝากพ่อค้าที่รู้จักกันกลับไปยังแดนเหนือเพื่อมอบให้หลานชาย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะล้มป่วย "หลินเจ้าถิง ข้ามีคำสารภาพผิดของนักพรตหวู่หุนอยู่ในมือ ถึงเจ้ายืนกรานปฏิเสธก็หนีไม่พ้น ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเจ้าต้องชดใช้ให