บทที่ 8 เมื่อบ้านใหญ่ร้อนใจ
มู่อวี๋โหรวสีหน้าบึ้งตึงดวงตาฉายแววขุ่นเคือง ยามได้ยินวาจาประกาศิตของผู้เป็นปู่ ภายในใจรู้สึกไม่ยินยอมเป็นเท่าทวีคูณ มู่หนิงชิงมีดีอะไร เถ้าแก่ลิ่วเหอถึงอยากได้ไปเป็นสะใภ้ให้บุตรชายคนเล็ก! หญิงสาวแอบมีใจให้ลิ่วห่าวซิน ครั้นได้ยินเรื่องการแต่งงานของเขา ในใจพลันรุ่มร้อนเหมือนมีไฟสุม ผู้เป็นมารดามองบุตรสาวด้วยสายตาเห็นใจ นางพอรู้ว่ามู่อวี๋โหรวมีใจให้ฝ่ายชายอยู่ ผิดกับมู่อวี๋ฉิงที่ลอบเหยียดยิ้มเย้ยหยันอย่างสาแก่ใจ พี่สาวของนางมักชอบยกตน ข่มหญิงสาวในหมู่บ้านคนอื่นๆ ว่านางต้องได้สามีเป็นบัณฑิตซิ่วไฉอย่างแน่นอน เมื่อมู่ซานลุกจากไป คนอื่นๆต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ภายในห้องของมู่อวี๋โหรว เวลานี้ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว ใบหน้าหญิงสาวบิดเบี้ยวน่าเกลียดจากโทสะจนดูไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำน้ำตารินไหลอาบแก้ม ยกหมอนปิดหน้ายามกรีดร้อง เพราะไม่ต้องการให้ผู้เป็นปู่ได้ยินเสียง ราวสองเค่อต่อมาฉวนซื่อก็รุดมาหาบุตรสาว “ท่านแม่ ฮืออออ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ ท่านปู่จะให้นังตัวขาดทุนนั่นแต่งกับพี่ห่าวซิน ฮึก ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะท่านแม่ ข้ามีใจให้พี่ห่าวซินมาก่อน ข้าต่างหากที่คู่ควรกับเขา ท่านแม่ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ” มู่อวี๋โหรวโผเข้าหาอ้อมอกมารดาทันทีที่ประตูห้องปิดลง ฉวนซื่อยกมือขึ้นมาลูบผมของบุตรสาวเพื่อปลอบประโลม พยายามหาถ้อยคำปลอบใจอีกฝ่าย “โหรวเอ๋อร์ ท่านปู่ก็แค่บอกว่า เถ้าแก่ลิ่วเหอเคยเปรยกับท่าน ไม่ได้พูดว่ายืนยันเสียหน่อย หากลูกมีใจให้คุณชายสามจริง ก็ต้องพยายามให้มากขึ้น เพื่อแสดงให้เถ้าแก่ลิ่วเห็นว่า โหรวเอ๋อร์ต่างหากคือหญิงสาวที่เหมาะสมกับบุตรชายของเขา“ ”แล้วข้าต้องทำอย่างไรเจ้าคะท่านแม่ ฮึก“ สีหน้าของมู่อวี๋โหรวแลดูมีความหวังขึ้น เมื่อได้ยินคำปลอบใจการมารดา ฉวนซื่อคลี่ยิ้มบางกระซิบบอกบางอย่างกับบุตรสาว… ปลายยามเว่ย (13:00-14:59) ครอบครัวสกุลมู่บ้านรองก็กลับมาจากตัวเมืองอี้เฉิง พวกเขาสะพายตะกร้าบรรจุข้าวสารอาหารแห้งตามปกติ โดยมีข้าวสารและธัญพืชเนื้อหยาบวางอยู่ด้านบน เหมือนยังใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนดังเช่นที่ผ่านมา เพียงแต่มีผ้าพับหนึ่งเพิ่มมาด้วยในคราวนี้ แต่เป็นเพียงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบราคาไม่แพง ชาวบ้านที่นั่งเกวียนกลับมาด้วยกันจึงมิได้สงสัยสิ่งใด ในขณะที่กำลังช่วยกันเอาของออกจากตะกร้าอยู่นั้น เสียงของมู่ซานก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน “เจ้ารองอยู่บ้านหรือเปล่า พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย“ เมื่อได้ยินคำกล่าวของมู่ซาน มู่เฟิงคาดเดาได้ทันทีว่าเป็นเรื่องใด หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ บิดาของเขาก็ไม่เคยคิดจะมาเหยียบที่นี่ แม้แต่ตอนที่มู่หนิงชิงได้รับบาดเจ็บ มู่ซานทำเพียงถามไถ่อาการของหลานสาว กับท่านหมอหูอยู่หน้าบ้าน แต่กลับไม่คิดจะเข้ามาเยี่ยมนางแม้แต่น้อย ยังดีที่มีน้ำใจช่วยออกค่ายาไปสองร้อยอีแปะ แต่หากเทียบกันกับจำนวนเงิน ที่บ้านใหญ่ฉกฉวยไปจากมู่เฟิงในระยะเวลาหลายปีนี้…เงินเพียงสองร้อยอีแปะนั้นเทียบกันไม่ได้เลย “ท่านพี่ ไปเปิดประตูให้ท่านพ่อเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับลูกช่วยกันเก็บของเอง” ซูซื่อเอ่ยกับสามีที่ยืนนิ่งคล้ายคนเหม่อลอย มู่เฟิงสูดหายใจลึกก่อนพยักหน้ารับ ก้าวขาไปเปิดประตูให้บิดา สีหน้าของเขาเย็นชาเรียบนิ่งราวผืนน้ำแข็ง “ท่านมาหาข้าที่นี่ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” ชายชราชะงักเล็กน้อยยามได้ยินวาจาจากปากบุตรชาย ที่ช่างฟังดูห่างเหินราวกับไม่ใช่พ่อลูก “ขอข้าเข้าไปข้างในได้หรือไม่ เรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องสำคัญ ยืนคุยกันแบบนี้ไม่ค่อยสะดวก” มู่ซานมองหน้าบุตรชายที่ละม้ายคล้ายตนเองอยู่ถึงเจ็ดส่วน “เชิญขอรับ อย่างไรเสียบ้านหลังนี้ก็เป็นของท่าน” ถ้อยคำคล้ายประชดประชันหลุดออกจากปากของมู่เฟิง บุรษทั้งสองพากันไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ด้วยว่าบ้านหลังนี้ไม่มีโถงพักผ่อน “ท่านพ่อคงมาเพราะเรื่องที่ข้าบอกกับท่านแม่ ว่าจะขอแยกบ้านสินะขอรับ หากเป็นเรื่องนี้ข้าขอยืนกรานคำพูดเดิม ลูกเมียข้าลำบากมามากพอแล้ว ท่านมองดูพวกเขาสิขอรับ ว่าอยู่ในสภาพไหน แตกต่างจากคนบ้านใหญ่อย่างไร ทั้งที่ข้ากับเฉิงเอ๋อร์ทำงานในไร่หนักกว่าพี่ใหญ่ หรือแม้กระทั่งตัวท่านพ่อเองหลายเท่า แต่พวกเรากลับอดอยาก ไม่เคยได้กินเต็มอิ่มสักมื้อ ในขณะที่พวกท่านกินอิ่มนอนอุ่น มีเงินส่งมู่อวิ๋นเทาเข้าสถานศึกษาในเมืองอี้เฉิง แต่เฉิงเอ๋อร์ของข้า กลับไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือด้วยซ้ำ” มู่เฟิงเอ่ยความอัดอั้นตันใจมานานหลายปี ให้บิดาฟังด้วยเสียงสั่นเครือ มู่ซานถอนหายใจยาว มิใช่ว่าเขาไม่เห็นสภาพลูกเมียของมู่เฟิง ทว่าความเห็นแก่ตัวในส่วนลึกของจิตใจ ที่อยากให้มู่อวิ๋นเทาได้เป็นขุนนางในอนาคต เขาจึงปิดหูปิดตาปล่อยให้หลัวซื่อทำตามใจมาตลอด “อาเฟิง ที่ผ่านมาพ่อละเลยเจ้ากับลูกเมียมากเกินไป แต่ต่อไปข้าและคนบ้านใหญ่จะชดใช้ และจะดีกับครอบครัวของเจ้าให้มากขึ้น อย่าแยกบ้านเลย อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน เป็นคนสกุลมู่เหมือนกัน” คำกล่าวที่ฟังดูคล้ายการขอโทษจากปากของมู่ซาน สะท้อนไปถึงจิตใจของผู้เป็นลูกอย่างมู่เฟิง เฮ้อ…บิดาของเขาช่างเห็นแก่ตัวโดยแท้ ชายชราหารู้ไม่ว่า ถ้อยคำหว่านล้อมที่ตนเพิ่งกล่าวกับบุตรชาย กลับสร้างความขบขันให้กับอีกคนที่ได้ยินบทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้า
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลัง
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"