แชร์

นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง
นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง
ผู้แต่ง: กระเรียนขาว

คุณหนูเปลี่ยนไป

ผู้เขียน: กระเรียนขาว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-22 19:49:32

     “บุตรสาวข้า นางตื่นหรือยัง” กู่กวงซิว นายท่านใหญ่สกุลกู่เอ่ยถาม หลี่เฟย ฮูหยินของตนด้วยน้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย

     “เอ่อ...” หลี่เฟยที่กำลังช่วยสามีสวมเสื้อนอกเริ่มมีทีท่าเลิ่กลั่ก “คิดว่าน่าจะ...เอ่อ”

     “ให้ตายสิ! เพราะเลี้ยงนางตามใจอย่างนี้ไงเล่า”

     “ท่านพี่กำลังโทษว่าเป็นความผิดของข้าหรือ”

     “เจ้ามีหน้าที่จัดการเรื่องในบ้าน คอยอบรมสั่งสอนลูกๆ ไม่ใช่หรือไง หากไม่โทษว่าเป็นความผิดเจ้า แล้วจะให้ข้าไปโทษใครเล่า”

     หลี่เฟยเถียงไม่ออก จริงอยู่ที่ว่าการดูแลบุตรชายและสาวเป็นหน้าที่ของมารดา แต่กับบุตรสาวคนรองอย่าง กู่เสี่ยวถิง นั่นช่างยากเย็นนัก

     กู่เสี่ยวถิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ยังไม่ออกเรือน ด้วยเพราะนิสัยเอาแต่ใจและหมายมั่นอยากจะแต่งกับแม่ทัพจงเพียงคนเดียว ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กู่เสี่ยวถิงจึงปฏิเสธบุรุษทุกคนที่เข้ามาสู่ขอ

     “ถึงข้าจะอยากเกี่ยวดองกับสกุลจง แต่เจ้าจำได้ใช่หรือไม่ แม่ทัพจงเคยลั่นวาจาจะแต่งกับคุณหนูสกุลหวงเพียงคนเดียว”

     หลี่เฟยพยักหน้า “แต่ท่านพี่ คุณหนูสกุลหวงคนนั้นเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากสาวใช้ข้างห้อง ท่านพี่จะนำมาเปรียบเทียบกับเสี่ยวถิงไม่ได้”

     กู่กวงซิวถอนหายใจยาว “แม่ทัพจงเป็นคนเช่นไร ใครบ้างจะไม่รู้ ถึงเสี่ยวถิงแต่งเข้าไป เจ้าคิดว่าแม่ทัพจงจะยกย่องนางเป็นภรรยาเอกหรืออย่างไร”

     สองสามีภรรยาที่คิดไม่ตก พากันเดินมาที่เรือนใหญ่เพื่อรับประทานอาหาร ตลอดทางก็เอาแต่บ่นว่าจะทำอย่างไรกับกู่เสี่ยวถิงดี นับวันอายุจะยิ่งมากขึ้น การจะหาบุรุษที่คู่ควรเหมาะสมมาแต่งก็จะยิ่งยากขึ้นตามไปด้วย

     “นิสัยของนางก็ใช่ว่าดีเสียเมื่อไร งานบ้านงานเรือนไม่เอา ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่มีความเป็นกุลสตรี ข้าเป็นห่วงจริงๆ หากต่อไป...ข้ากับเจ้าหมดบุญ แล้วนางจะมีชีวิตอยู่อย่างไร...”

     ความทุกข์ของสามีนั่น คนเป็นภรรยาย่อมรู้ดี เพราะนางเองก็รู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวของตนไม่ต่างกัน

     แต่แล้วขณะทั้งสองเลี้ยวเข้ามาทางห้องอาหารก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นกู่เสี่ยวถิงยืนยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว

     “เสี่ยวถิงคารวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”

     หญิงสาววัยหน้าอ่อนเยาว์ย่อตัวเคารพบิดามารดา นางเป็นบุตรสาวคนรอง ผู้มีใบหน้างดงามเป็นที่เลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง เป็นที่รักและภาคภูมิใจของกู่กวงซิวเป็นอย่างมาก กับมารดาเองก็รักและถนอมนางจนบางครั้งก็อาจจะเผลอให้ท้ายไปโดยไม่รู้ตัว

     “สะ...เสี่ยวถิง เหตุใดวันนี้เจ้าถึงตื่นเร็วนักเล่า” หลี่เฟยเดินเข้าไปหาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากกู่เสี่ยวถิง “ตัวก็ไม่ร้อนนี่”

     “หรือเจ้าจะออกไปไหน ไม่ได้นะไม่ได้ ออกข้างนอกทีไรชอบก่อเรื่องให้วุ่นวายทุกทีสิน่า” กู่กวงซิวว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ

     “ข้าก็แค่อยากจะมาร่วมโต๊ะกับพวกท่านเท่าเองนะเจ้าค่ะ” กู่เสี่ยวถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนช่วยประคองกู่กวงซิวและหลี่เฟยให้นั่งลง จากนั้นจึงตักซุปสมุนไพรใส่ถ้วยให้คนทั้งสองอย่างกระตือรือร้น

     “ข้าตื่นแต่เช้าแล้วสั่งให้พ่อครัวช่วยจัดเตรียมอาหารเพื่อสุขภาพให้พวกท่านเจ้าค่ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ท่านพ่อท่านแม่ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ”

     กู่กวงซิวหันมองหน้ากับหลี่เฟยด้วยความฉงน กู่เสี่ยวถิงเนี่ยน่ะเข้าครัว? อย่าว่าแต่เข้าครัว แค่ตื่นแต่เช้ามาคารวะพวกเขาทั้งสอง นางยังไม่เคยทำ แล้วเหตุใดวันนี้ถึงลุกขึ้นมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้

     “ท่านแม่ทานปลาเยอะๆ นะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าเอาก้างปลาออกให้เจ้าค่ะ”

      หลี่เฟยอ้าปากค้าง มองบุตรสาวที่ตั้งใจเลอะเอาแต่เนื้อปลาส่วนท้องให้ตนแล้วยิ่งเกิดอาการวิตก “เสี่ยวถิง เกิดอะไรขึ้น เจ้าป่วยหรือล้มหัวกระแทกมาหรือ”

      “นั่นสิ วันนี้เจ้าแปลกไปนะ”

      “ข้าปกติเจ้าค่ะ เพียงแต่...”

      “นั่นไงเล่า!” กู่กวงซิวตบโต๊ะเสียงดัง ชำเลืองหางตามองบุตรสาวคล้ายจะบอกว่าเขารู้ทันนาง “ลูกสาวข้าช่างเจ้าเล่ห์นักนะ”

      กู่เสี่ยวถิงยิ้มรับ “ท่านพ่อฉลาดนัก มองปราดเดียวก็จับทางลูกได้เสียแล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นมาบีบนวดไหล่ให้บิดาอย่างประจบประแจง

      “พอแล้วๆ มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

      ถึงปากจะบอกว่าเหนื่อยใจแต่อย่างไรก็รักและตามใจบุตรสาวของตนอยู่มาก ยิ่งถูกเอาอกเอาใจเช่นนี้ มีหรือที่กู่กวงซิวจะไม่ใจอ่อน

      “ข้าได้ยินว่าที่จวนสกุลโจวจัดงานเลี้ยงวัดเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าอยากไปเจ้าค่ะ”

      พรวด!!!!

      กู่กวงซิวพ่นน้ำชาที่กำลังดื่มออกมาด้วยความตกใจ “จะ...เจ้าว่าอะไรนะ!”

      “ท่านพ่อ ไยต้องตกใจเพียงนี้ด้วย”

      หลี่เฟยที่นิ่งอึ้งรีบตอบแทนสามีที่ยกมือขึ้นทุบอกตัวเองเพราะสำลักน้ำชาเมื่อครู่ “จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร สกุลโจว... สกุลนั่นต่างชั้นกับเรา เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเชียว”

      “ข้าแค่อยากไปแสดงความยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่า”

      “เสี่ยวถิง นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าจุดประสงค์ที่จัดงานเลี้ยงนี้คืออะไร”

      กู่เสี่ยวถิงแสร้งทำหน้าใสซื่อ “ไม่ทราบเจ้าค่ะท่านแม่”

      “งานเลี้ยงวันเกิดเป็นเพียงงานเลี้ยงบังหน้า จุดประสงค์แท้จริงคือหาคู่หมั้นให้กับหลานชายทั้งสี่ของตระกูลโจวต่างหากเล่า”

      “ถูกต้อง สตรีทุกนางที่ไป ล้วนแต่ต้องการแสดงตัวว่าอยากเกี่ยวดองกับสกุลโจวทั้งนั้น” กู่กวงซิวเอ่ยเสริม “ขืนเจ้าไป สกุลโจวก็จะเข้าใจผิดว่าเจ้าอยากแต่งเข้าสกุลเขาน่ะสิ”

      “ท่านพ่อคิดมากไปแล้วกระมัง”

      กู่กวงซิวโบกไม้โบกมือ “ไม่มากๆ สกุลโจวเป็นสกุลที่เหลือแต่ชื่อ ทรัพย์สินเงินทองล้วนมีเพียงเปลือก ทายาททั้งสี่ล้วนไม่ได้ความ สอบเป็นขุนนางไม่ได้สักคน อย่างไรข้าก็ไม่ให้บุตรสาวข้าไปข้องแวะด้วยเด็ดขาด”

       “ท่านพ่อ” กู่เสี่ยวถิงพยายามออดอ้อนต่อ “ทำไมท่านพ่อไม่คิดว่าเป็นน้ำใจที่เราหยิบยื่นให้สกุลโจวเล่าเจ้าค่ะ ที่ท่านว่าทายาททั้งสี่ไม่ได้ความ นั่นเพราะมีหนึ่งในนั้นถูกขัดขวางไม่ให้เข้าสอบต่างหาก ความจริงเขาเก่งมากเลยนะเจ้าค่ะ นิสัยก็ดีด้วย อีกไม่นานจะต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่”

     กู่กวงซิวเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึงใครกัน”

     กู่เสี่ยวถิงยิ้มกว้างเอ่ยตอบ “คุณชายสามเจ้าค่ะ”

..........

     เพราะทนคำรบเร้าของกู่เสี่ยวถิงไม่ไหว กู่กวงซิวจึงต้องยอมอนุญาตให้บุตรสาวมางานเลี้ยงที่จวนสกุลโจวอย่างไม่เต็มใจ โดยสั่งให้บ่าวทั้งชายหญิงร่วมติดตามไปดูแลด้วย

     “คุณหนู เหตุใดท่านถึงอยากไปงานเลี้ยงเล่าเจ้าคะ ไหนท่านว่าคนสกุลโจวไม่น่าคบหามิใช่หรือ” ซูฉาง สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามคุณหนูของตน

      “ข้าเคยพูดอย่างนั้นหรือ”

      ซูฉางผงกศีรษะ “คุณหนูบอกว่าสกุลโจวมีแต่พวกปลิงดูดเลือด ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันลดตัวไปเสวนาด้วย”

      “ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยพูดอย่างนั้น”

      ซูฉางกะพริบตาปริบ นางมั่นใจแน่ว่าตนเคยได้ยินกู่เสี่ยวถิงพูดเช่นนั้น แต่ไหงมาวันนี้ถึงกลับคำได้หน้าตาเฉยเสียได้

      ความจริงไม่เพียงแค่คำพูดที่เปลี่ยนไป กระทั่งพฤติกรรมต่างๆ ของกู่เสี่ยวถิงยังเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

      ทุกอย่างเริ่มจากกลางดึกเมื่อคืน กู่เสี่ยวถิงสะดุ้งตื่นแล้วร้องโวยวายลั่นเรือน ถามแต่ว่าที่นี่ที่ไหน นางเป็นใคร ที่นี่เป็นความฝันใช่หรือไม่?

       คราแรกซูฉางนึกเพียงว่าคุณหนูนั่นคงฝันร้ายจึงพยายามพูดปลอบและอธิบายอยู่นานกว่าหญิงสาวจะยอมสงบอารมณ์ลง แต่แล้วก็ได้ยินกู่เสี่ยวถิงพึมพำกับตัวเอง เดินวนไปมารอบห้องแล้วถามย้ำว่าตนคือกู่เสี่ยวถิงจริงหรือ

       จากนั้น... ก็เป็นอย่างที่เห็น คุณหนูผู้หยิ่งยโสคนเดิมหายไป กลายเป็นหญิงสาวธรรมดาที่ไม่ได้อารมณ์ร้ายเหมือนก่อน

       “คุณหนู ถึงจวนสกุลโจวแล้วขอรับ”

       กู่เสี่ยวถิงดีดตัวลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถลกกระโปรงขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้าโดยเร็ว ทำซูฉางตกใจร้องห้ามแทบไม่ทัน

      “คุณหนู ต้องสำรวมนะเจ้าค่ะ” ซูฉางหยิบห่อผ้าซึ่งเป็นของขวัญที่เตรียมให้ฮูหยินผู้เฒ่าออกมาแล้วขยับมายืนข้างกู่เสี่ยวถิง “นายท่านบอกว่าให้เรารีบมอบของขวัญแล้วรีบกลับ จำได้ใช่ไหมเจ้าคะคุณหนู”

      กู่เสี่ยวถิงยิ้มร่า ทว่าไม่ยอมรับปากแล้วแย่งห่อผ้าไปถือไว้เอง “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

     กู่เสี่ยวถิงเดินนำเข้าไปด้านในจวน ซึ่งงานเลี้ยงถูกจัดอยู่ที่เรือนรับรองทางด้านหลัง บรรยากาศช่างดูเงียบเหงาและไม่ครื้นเครงสมกับเป็นงานเลี้ยงเอาเสียเลย ดูท่าว่าสกุลโจวคงต้องตกอับมากเป็นแน่ กระทั่งแขกร่วมงานยังน้อยแทบนับคนได้

      หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในเรือน เสียงพูดคุยเงียบลงทันที ทุกสายตาจับจ้องมาที่กู่เสี่ยวถิงราวกับเห็นองค์หญิงแห่งวังหลวงเสด็จมาเยือนเลยก็ว่าได้

     ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวที่กำลังนั่งพูดคุยกับญาติๆ ที่มาร่วมงานก็มีสีหน้าตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน

       “ข้ากู่เสี่ยวถิง เป็นตัวแทนตระกูลกู่ นำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี ขอฮูหยินผู้เฒ่าอายุมั่นขวัญยืนนะเจ้าค่ะ”

       ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไม่หายตื่นตะลึง นางเป็นหญิงวัยหกสิบกว่าที่มีรังสีของผู้นำตระกูลอย่างเต็มเปี่ยม น่าเกรงขามและน่าหวั่นเกรงในคราวเดียว

     “ขอขอบคุณในน้ำใจของนายท่านสกุลกู่มาก” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าให้สาวใช้ข้างกายไปรับห่อผ้ามาจากกู่เสี่ยวถิง เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าเป็นกล่องไม้สักอย่างดี ด้านในมีโสมราคาแพงและสมุนไพรหายากอีกหลายตัว

      “คุณหนู” ซูฉางกระซิบ “เรากลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ”

      “ซูฉางอย่าเสียมารยาท พวกเราเพิ่งมาถึง รีบกลับตอนนี้น่าเกลียดตายเลย”

       “แต่ว่าคุณหนู...”

       จู่ๆ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหากู่เสี่ยวถิง ดูจากลักษณะการแต่งกายแล้ว นางคงเป็นฮูหยินของจวนโจวเป็นแน่

       หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มแล้วเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณคุณหนูรองกู่ ปกติสกุลโจวของเราไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจของสกุลใหญ่ ข้าในฐานะโจวฮูหยินรู้สึกซาบซึ้งนัก”

       “อ่า ข้าเองก็รู้สึกเป็นเกียรตินักที่ได้ต้อนรับคุณหนูรอง” ชายอีกคนเดินเข้ามาสมทบ เขาแนะนำตัวว่าเป็นนายท่านใหญ่ของที่นี่ เท่าที่สังเกตค่อนข้างเป็นคนเหลาะแหละพอสมควร มีผู้นำตระกูลแบบนี้ ตระกูลโจวจะตกต่ำก็คงไม่แปลกกระมัง

       “จริงสิ ข้าจะแนะนำให้รู้จักกับลูกชายของข้า”

       กู่เสี่ยวถิงปั้นหน้ายิ้ม ดูท่าจะอยากขายบุตรชายของตนเต็มที่เลยสินะ แหงสิ! หากได้ดองกับสกุลกู่ ก็เท่ากับสกุลโจวถูกรางวัลใหญ่ นอกจากจะกอบกู้ชื่อเสียงของตนได้แล้ว ยังมีเงินไปชดใช้หนี้สินที่ติดค้างไว้อีกด้วย

      “นี่ลูกชายคนโต คนรอง...”

       กู่เสี่ยวถิงแทบจำไม่ได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ชื่ออะไรบ้าง นางไม่ได้ตั้งใจมาคนพวกนี้เสียหน่อย คนที่นางอยากเจอจริงๆ น่ะ...

       “โจวโซวเชินไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ”

       ทันทีที่กู่เสี่ยวถิงเอ่ยชื่อโจวโซวเชิน บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดแทบจะในทันที ทุกคนมีท่าทีอึกอักก่อนจะหันไปมองทางฮูหยินผู้เฒ่า

       “คุณหนูรองถามถึงหลานชายคนที่สามของข้าทำไมหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

       “ข้าอยากพบโจวโซวเชิน” กู่เสี่ยวถิงตอบเสียงดัง

       โจวฮูหยินสะกิดแขนกู่เสี่ยวถิงพร้อมป้องปากบอก “ที่นี่เราไม่เอ่ยชื่อคุณชายสาม แล้วก็...เขาไม่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมงาน...”

      “ทำไม เพราะเป็นบุตรนอกไส้น่ะหรือ”

       โจวฮูหยินหน้าซีด รีบกวักมือให้สามีตนช่วยพูดอะไรบ้าง เหตุใดคนนอกอย่างคุณหนูรองกู่จึงรู้เรื่องภายในครอบครัวของพวกเขาได้กัน

      แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเอ่ยอธิบายอะไร หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูหวานพลันก้าวเข้ามาพร้อมกล่องไม้ขนาดย่อมในมือ

      แม้มีใบหน้างดงามชวนมองแต่กลับให้ความรู้สึกหม่นหมองคล้ายคนอมทุกข์หรือมีปัญหาในใจ ท่าทางการแต่งกายนั่น ดูแล้วไม่น่าใช่สาวใช้ แต่ก็หาได้มีผู้ติดตามเหมือนกับคุณหนูสกุลอื่น

      “คารวะฮูหยินผู้เฒ่า ข้าน้อยหวงหนิงเซียน เป็นตัวแทนตระกูลหวง นำของขวัญมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ”

        หวงหนิงเซียน!? หรือนี่คือนางเอกของเรื่องหรือ!?

     

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   สุขสมหวัง

    “หยางอิ่ง นางเคยมีคนรักอยู่ก่อนจะแต่งเข้าสกุลโจว เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้าเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันมานานหลายสิบปี แต่เพราะต่างฝ่ายต่างมีคู่หมายอยู่แล้วจึงไม่อาจสมหวังในรัก” ใต้เท้าโฮ่วพูดพลางถอนหายใจ “ในวันหนึ่งในฤดูหนาว พี่ชายและข้ารับพระราชโองการไปรบที่ชายแดน ด้วยเพราะเกรงว่าจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าจึงอยากให้ทั้งสองคนได้เจอกัน ผนวกกับได้ข่าวว่าสุขภาพของหยางอิ่งไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงอยากเพิ่มแรงใจให้นาง ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าข้าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้” จงหยางอี้เดินเข้ามาตบบ่าโจวโซวเชิน “พี่ชายของใต้เท้าโฮ่วตายในสงคราม ส่วนใต้เท้านั่นบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่นานหลายปีกระทั่งได้รับราชโองการให้ประจำอยู่ที่ชายแดนเป็นการชั่วคราว จึงไม่ได้รับข่าวคราวของมารดาเจ้าอีก” เพราะสกุลโจวปกปิดการตายของหยางอิ่ง พวกเขาจับนางไปขังไว้ในห้องที่ทั้งมืดและชื้น ไม่มีเตาไฟ ผ้าห่ม หรือกระทั่งอาหารให้กินจนอิ่มท้อง ส่งผลให้สุขภาพที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วยิ่งทรุดหนัก “โซวเชิน” กู่เสี่ยวถิงกระซิบเสียงเบา รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของโจวโซวเชินนัก แต่เมื่อเห็นแววตานิ่งสงบของเขา นางก็เริ่มเบาใจ

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   เผยความจริง

    “อะไรนะ!? ฮุ่ยชิว เจ้าไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าถูกกล่าวหาใช่ไหมหลาน ตอบย่าสิ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ พยายามเค้นถามความจริงจากโจวฮุ่ยชิวอย่างเดียว “น่ารำคาญ!!!” โจวฮุ่ยชิวผลักฮูหยินผู้เฒ่าออกไป แล้วหันมาพูดกับจงหยางอี้ “ข้าว่าเรื่องนี้เราคุยกันได้นะแม่ทัพจง” จงหยางอี้เค้นเสียงพูด “ข้าไม่เหมือนขุนนางโลภมากพวกนั้นหรอกนะ เจ้าอย่าโน้มน้าวข้าเสียให้ยากเลย” “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีขุนนางกี่คนที่อยู่ข้างข้า” “รู้สิ และก็สั่งจับขุนนางพวกนั้นไปหมดแล้วด้วย” หัวใจพลันกระตุกวาบพร้อมกับความหวาดกลัวที่แล่นพรูขึ้นมา โจวฮุ่ยชิวรีบเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปทางโจวโซวเชินแทน “พี่สาม อย่างไรพวกเราก็เป็นสกุลโจวเหมือนกัน ข้า...” “ข้าฟังอยู่ จะแก้ตัวอะไรก็รีบพูดมา” ได้ยินเสียงเย็นชากล่าวเช่นนี้ โจวฮุ่ยชิวก็จำต้องกลืนคำขอของตนลงคอ ครั้นหันกลับมองทางครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือพี่ชายทั้งสองของตนล้วนแต่พึ่งพาไม่ได้ หากจะบอกว่าแผนการล้มเหลว มันอาจจะล้มเหลวมาตั้งแต่วันที่เขาเกิดแล้วก็ได้ “หวังพึ่งใครไม่ได้สักคน” โจวฮุ่ยชิวขบกรามแน่น “ทำไมข้าต้อ

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   อยากแต่งกับเจ้า

    ราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ กู่เสี่ยวถิงพูดอะไรไม่ออก หัวใจบีบรัดแน่นจนหายใจไม่ออก โจวฮุ่ยชิวยื่นมือออกมาตรงหน้า “ไปกันกับข้าเถอะ” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้า ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่มีวันไปกับโจวฮุ่ยชิวแน่ นี่มันอะไรกัน... โจวฮุ่ยชิวสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนได้อย่างไร?! “อย่ายุ่งกับนาง!” โจวโซวเชินปัดมือโจวฮุ่ยชิวทิ้งแล้วจูงมือพาตัวกู่เสี่ยวถิงกลับเข้าไปในงาน “โซวเชิน เดินช้าหน่อย ข้าตามไม่ทัน” กู่เสี่ยวถิงก้าวขาไม่ทันร่างสูงที่กึ่งฉุดกึ่งลากนาง “โอ๊ะ!” กู่เสี่ยวถิงสะดุดขาตัวเอง โจวโซวเชินรีบหมุนตัวกลับมารับร่างบางไว้ “บาดเจ็บหรือไม่” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้าแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าจนทรงตัวไม่ไหว “เป็นอะไร เจ็บเท้าหรือ” โจวโซวเชินก้มลงจับที่ข้อเท้าของหญิงสาว พอได้ยินเสียงร้องว่าเจ็บ เขาก็ตกใจจนหน้าเสีย รีบอุ้มตัวนางขึ้น บอกจะรีบพาไปให้หมอตรวจดูอาการ “ขะ...ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าปล่อยข้าลงก่อน” “ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เมื่อครู่ท่านยังร้องอยู่เลย ยืนก็ไม่ไหวด้วยเนี่ย” “อาจจะแค่ข้อเท้าแพลงก็ได้ เจ้าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ”

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   ขุนนางใหม่

    ความรู้สึกกดดันนี้มันอะไรกัน กู่กวงซิวเหงื่อแตกพลั่กเหลือบมองบุตรสาวที่ยืนเท้าสะเอวพลางจ้องตนตาเขม็ง “ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไรจะสารภาพหรือ” กู่กวงซิวอ้ำอึ้ง ชำเลืองหางตาไปทางหลี่เฟยเพื่อขอความช่วยเหลือ “เอ่อ เสี่ยวถิง มีอะไรหรือเปล่าลูก” หลี่เฟยเอ่ยถามเสียงละมุน แต่มิวายถูกสายตาคมกริบตวัดมองมาเช่นกัน “ท่านแม่ มิใช่ว่าท่านก็รู้เห็นด้วยหรอกนะ” เมื่อถูกเค้นหนักเข้า สองสามีภรรยาตระกูลกู่ก็เริ่มทนไม่ไหวจึงตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดแก่กู่เสี่ยวถิง “พ่อแค่อยากไล่โจวฮุ่ยชิวไปให้พ้น หากเขาเห็นว่าสกุลกู่ไม่อาจให้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาคงไม่มายุ่งกับพวกเราอีก” “นอกจากนี้ยังสามารถคัดกรองสหายที่มีอยู่ หากพวกเขาเป็นมิตรแท้ย่อมไม่หันหลังให้สกุลกู่แน่ กลับกันแล้ว หากหนีไปเข้าพวกกับโจวฮุ่ยชิว แสดงว่ามิใช่คนซื่ออย่างแท้จริง” หลี่เฟยเอ่ยต่อ เหตุผลที่บุพการีบอกนั้นก็ฟังมีเหตุผล พวกเขาเพียงอยากกันโจวฮุ่ยชิวให้พ้นทาง แต่ว่า...นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะต้องมาโกหกนางนี่!? “เอ่อ...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกลูกนะ เพียงแต่...” ราวกับหลี่เฟยอ่านความคิดของกู่เสี่ยว

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   ไม่ให้ตัดใจ

    “อาภรณ์ชุดนี้งดงามยิ่งนัก สีสันสดสวยประณีตงดงาม” เถ้าแก่ที่เข้ามาประเมินราคาสิ่งของในจวนกู่เอ่ยขณะลูบมือลงยังอาภรณ์สีครามเข้ม “คุณหนูรองกู่แน่ใจหรือว่าจะขายทั้งหมดนี้” กู่เสี่ยวถิงพยักหน้า “เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” นางตอบเสียงเศร้า “อืม งั้นข้าให้คนขนไปที่รถเลยนะ” กู่เสี่ยวถิงกวาดตามองเหล่าเสื้อผ้า รองเท้า และตำราเรียน ราวกับต้องการบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “รบกวนเถ้าแก่ด้วย” กู่เสี่ยวถิงเรียกพ่อบ้านประจำจวนให้มาตกลงเรื่องราคาและรับเงินจากเถ้าแก่ แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป ระหว่างทางบังเอิญผ่านเรือนที่นางเคยใช้เรียนหนังสือกับโจวโซวเชิน เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อระบายอากาศ กู่เสี่ยวถิงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปด้านใน มองสำรวจห้องแล้วพลันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับโจวโซวเชิน รอยยิ้มของเขา สัมผัสอ่อนโยนและจุมพิตแรกที่เขามอบให้ หางตากู่เสี่ยวถิงเหลือบเห็นภาพเขียนที่ถูกแขวนไว้เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นภาพเขียนของโจวโซวเชินที่นางย้ายออกมาจากห้องนอนและไม่ยอมที่ขายออกไป “ถึงไม่มีวาสนาต่อกัน

  • นางร้ายเช่นข้าหมายครองคู่กับพระรอง   ช่วยเหลือ

    “เห็นคุณชายสามนิ่งขรึมมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะ...เอ่อ” หวงหนิงเซียนคิดคำที่จะช่วยอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ออก โจวโซวเชินไม่เคยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว คุกคาม หรือกระทั่งออกคำสั่งไล่ใครมาก่อ “คงมีเพียงกู่เสี่ยวถิงคนเดียวที่ทำสหายข้าเสียอาการเช่นนี้ได้” จงหยางอี้วิเคราะห์ “ป่าเถื่อนสิไม่ว่า ที่นี่มิใช่จวนโจวนะ กล้าทำเรื่องไร้มารยาทที่นี่ได้อย่างไร!” ถึงจะบ่นอย่างนั้น แต่ส่วนลึกหวงลี่หรูก็ไม่กล้าสู้กับสายตาแข็งกร้าวของโจวโซวเชินสักเท่าไรนัก ให้พญานกยูงอย่างนางไปขวางทางหมาป่าโมโหร้ายหรือ! หาเรื่องตายสิไม่ว่า “พวกเขาจะปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่นะ” หวงหนิงเซียนเป็นกังวล มือกระตุกชายเสื้อแม่ทัพหนุ่มเบาๆ “อย่าห่วงเลย โซวเชินเป็นคนใจเย็น เขาจะต้องค่อยๆ ใช้คำพูดอธิบายให้กู่เสี่ยวถิงเข้าใจ และไม่นานทั้งคู่ก็จะคืนดีกัน...” ตู้ม!!!!! เสียงตู้มดังสนั่น คนทั้งสามต่างตื่นตกใจแล้วรีบวิ่งวนกลับมาทางศาลา เบื้องหน้ากู่เสี่ยวถิงยืนอยู่บริเวณสระบัวพลางหอบหายใจอย่างหนัก ส่วนโจวโซวเชิน...ล้มหน้าคว่ำอยู่ในสระบัว โชคดีที่ว่าระดับน้ำสูงเพียงเข่า โจวโซวเชินจึงค่อยๆ พยุงตั

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status