ครั้งแรกที่รู้สึกตัวแล้วพบว่าตัวเองโผล่มาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นั่น หญิงสาวทั้งตกใจและหวั่นวิตกอย่างมาก นางกรีดร้องและวิ่งวนไปรอบๆ เพื่อหาทางกลับบ้าน
แต่แล้วเมื่อได้ยินสาวใช้เรียกตนว่า คุณหนูเสี่ยวถิง หญิงสาวก็ถึงกลับผงะไปครู่หนึ่ง กระทั่งสอบถามจนได้ความว่าแท้จริงตนนั่นทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่ตัวเองเป็นแฟนคลับตัวยง!
“คุณหนูรองกู่ กู่เสี่ยวถิง”
“เจ้าค่ะ กู่เสี่ยวถิงคือชื่อของท่าน”
ความตื่นเต้นพลันแวบเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ทะลุมิติเข้ามาในนิยายว่าเหลือเชื่อแล้ว นี่ยังได้รับบทเด่นเป็นตัวเอกเสียด้วย!
แต่เดี๋ยวนะ... กู่เสี่ยวถิงคือนางร้ายนี่หว่า! โอ๊ยย นางร้ายที่กระหายพระเอกใจจะขาด กระทำเรื่องร้ายกาจสารพัด สุดท้ายไม่พ้นถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเสียอีก
“คะ...คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ บ่นพึมพำอะไรหรือ”
กู่เสี่ยวถิงไม่ได้สนใจฟังคำถามจากสาวใช้ นางเดินวนไปวนมาสักพักก็คล้ายจะนึกอะไรออก
“คุณชายสามอย่างไรเล่า!”
คุณชายสามสกุลโจว โจวโซวเชิน เขาคนนี้เป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่ทั้งอ่อนโยนและแสนดี ที่สำคัญคือเป็นสหายรักกับแม่ทัพจงซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง หากเข้าทางชายคนนี้...นางคงจะหาทางรอดชีวิตได้แน่
“แต่โจวโซวเชินจะผิดใจกับแม่ทัพจงเพราะนางเอกเนี่ยสิ... อืม ก็ถูกวางตัวให้เป็นพระรองนี่เนอะ”
ซูฉางมองคุณหนูของตนเดินไปมาอยู่นานก็เริ่มง่วงนอน นางยกมือขึ้นปิดปากหาว ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นและเกยคางกับขาโต๊ะใกล้ๆ
“นี่! เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสกุลโจวบ้าง”
“จะ...เจ้าคะ?! อะไรเจ้าคะคุณหนู” ซูฉางที่กำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งตื่น ก่อนจะรีบก้มหน้าลง เอ่ยเสียงสั่นเครือ “คะ...คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว ขออภัยที่ถามซ้ำเจ้าค่ะ ยะ...อย่าโบยบ่าวเลยนะเจ้าคะ”
“โบยหรือ?”
“บะ...บ่าวโง่เขลา จะ...จะไม่สัปหงกอีกแล้ว” ซูฉางพูดพลางตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว
กู่เสี่ยวถิงขมวดคิ้วงุนงง แต่จากที่เห็นสาวใช้นางนี้ตัวสั่นกลัวเพียงนี้ เห็นทีคุณหนูกู่คงจะโหดร้ายมิน้อยเลย
ในนิยายเองก็บรรยายถึงนิสัยของคุณหนูรองสกุลกู่ว่าโหดร้ายเลือดเย็น กระทั่งกับสาวใช้ข้างกายยังเฆี่ยนตายคามือมาแล้ว
กู่เสี่ยวถิงถอดถอนหายใจก่อนจะย่อตัวลง วางมือลงบนไหล่ที่สั่นเทานั่นอย่างนึกสงสาร
ซูฉางสะดุ้งตัวโหยง ขณะกำลังจะขยับตัวหนีก็พลันได้ยินเสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ซูฉางสินะ เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอก ข้าสัญญาจะไม่ทำร้ายเจ้า”
น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้... ซูฉางที่อยู่รับใช้หญิงสาวมาเป็นสิบปีเพิ่งจะเคยได้ยิน
“เอาละ เลิกกลัวข้าแล้วเล่าเรื่องสกุลโจวให้ฟังหน่อย"
ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรของกู่เสี่ยวถิง ซูฉางจึงเริ่มวางใจและเล่าเรื่องสกุลโจวให้ฟัง แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่บรรยายไว้ตามท้องเรื่องอยู่แล้ว
ไร้ประโยชน์... มีแต่เรื่องที่ข้ารู้แล้วทั้งนั้น
“แล้วก็พรุ่งนี้ เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ที่จวนโจวจึงจะมีการจัดงานเลี้ยง...”
“วันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?!”
นี่ไงเล่า! เหตุการณ์มันเริ่มมาจากงานวันนี้เนี่ยละ
เดิมทีมารดาผู้ให้กำเนิดโจวโซวเชินนั่นเป็นบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่ ทว่ากลับประพฤติตัวเสื่อมเสียลักลอบคบชู้กับบุรุษอื่น
ด้วยความอัปยศนี้ โจวโซวเชินที่ตอนแรกถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอดตระกูลโจวจึงถูกขับไล่ไปอยู่เรือนท้ายจวน ใช้ชีวิตไม่ต่างกับทาสที่ถูกจองจำ กลายเป็นตัวตลกและถูกเหยียดหยามจากบรรดาญาติพี่น้อง
ส่วนนางเอกอย่างหวงหนิงเซียนก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน นางมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ซ้ำยังเป็นหญิง ย่อมต้องถูกเหล่าคนในตระกูลดูแคลนเป็นธรรมดา
เพราะเป็นส่วนเกินที่ไม่ต้องการ ทั้งสองตระกูลจึงตกลงจะให้ชายหญิงทั้งสองนี้ตบแต่งกัน
“ยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้!”
กู่เสี่ยวถิงหันกลับมาทางซูฉาง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นช้าๆ “งั้นงานนี้ข้าคงพลาดไม่ได้ ซูฉาง พวกเราจะไปงานเลี้ยงที่สกุลโจว!”
………
…..
กู่เสี่ยวถิงลอบมองหญิงงามตรงหน้า นางคือหวงหนิงเซียน ชนวนเหตุที่ทำให้บุรุษสองคนฟาดฟันกันสินะ
จะว่าไปก็... สวยจริงๆ นั่นแหละ
น่ารักอย่างกับตุ๊กตา จะดวงตา จมูก หรือริมฝีปาก ล้วนเข้ากันได้อย่างดีราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง ช่างดูบอบบางและน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
“เจ้า...หวงหนิงเซียน”
หวงหนิงเซียนที่หันมาตามเสียงเรียกนั่นหน้าถอดสีทันทีที่เห็นว่าเป็นกู่เสี่ยวถิง นางถอยหลังไปสองก้าวแล้วก้มหน้านิ่ง
“พะ...พี่เสี่ยวถิง ข้าไม่คิดว่าจะได้พบท่านที่นี่”
กู่เสี่ยวถิงเลิกคิ้ว “ทำไมต้องทำเหมือนว่ากลัวข้าด้วยเล่า”
ขณะกู่เสี่ยวถิงกำลังเอื้อมมือไปจับแขนของหญิงสาว หวงหนิงเซียนก็สะดุ้งตกใจรีบถอยหลังจนไปชนเข้ากับโจวฮูหยินที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“โอ๊ย! เจ้า! ตาไม่มีหรือไง!!!”
“ขะ...ขอโทษเจ้าค่ะ”
“น่ารำคาญเสียจริง” โจวฮูหยินมองเหยียดหวงหนิงเซียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกอดอกวางมาด “แต่ก็สมกับคุณชายสามล่ะนะ ท่านแม่ ให้ข้าพานางไปหาคุณชายสามเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะ
กู่เสี่ยวถิงลอบมองท่าทางของคนสกุลโจวแล้วรู้สึกแขยงนัก คนพวกนี้เก่งเรื่องการเหยียดคนเสียเหลือเกิน คิดว่าสูงส่งมาจากไหนกันถึงด้อยค่าคนอื่นอย่างไม่รู้สึกผิดเช่นนี้
“คุณหนูหวง เชิญทางนี้” หญิงแก่คนหนึ่งผายมือให้หวงหนิงเซียนเดินไป จังหวะนั่นก็แอบยื่นเท้าออกมาขัดขานางไว้ ทำหวงหนิงเซียนที่ไม่ทันมองสะดุดล้มหน้าคว่ำล้มกับพื้นอย่างแรง
“ต๊ายคุณหนู! เหตุใดเดินไม่ระวังเล่าเจ้าคะ”
ทุกคนภายในงานพากันหัวเราะด้วยความชอบใจ ไม่มีใครเลยสักคนที่จะยื่นมือเข้าช่วยหรือตักเตือนหญิงแก่นิสัยเลวคนนั้น
ความเจ็บนี้มิใช่ครั้งแรกที่หวงหนิงเซียนเคยได้รับ ทว่าก็ไม่อาจโต้กลับหรือรับมือได้ จำต้องกลั้นเสียงสะอื้นและลุกขึ้นด้วยตัวเองเพียงลำพังเท่านั้น
“หนิงเซียนไม่เป็นอะไรนะ” แต่แล้วกลับเป็นกู่เสี่ยวถิงที่เข้ามาพยุงหวงหนิงเซียนให้ลุกขึ้น ทำหวงหนิงเซียนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“พี่เสี่ยวถิง”
กู่เสี่ยวถิงคลี่ยิ้มบาง “ข้าจะเดินไปกับเจ้าเอง”
หวงหนิงเซียนลอบมองกู่เสี่ยวถิงเป็นระยะ นึกสงสัยว่าเหตุใดสตรีผู้ที่ไม่เคยยินดียินร้ายกับตนจึงยื่นมือเข้ามาช่วย
“อีกไกลหรือไม่”
โจวฮูหยินมองหน้ากันกับบ่าวรับใช้ แล้วค่อยหันมาตอบกู่เสี่ยวถิงด้วยรอยยิ้ม “หากคุณหนูรองเหนื่อย ข้าว่า...”
“ใช่ว่าจวนสกุลโจวเล็กจ้อยเสียหน่อย เหตุใดต้องให้คุณชายสามไปอยู่ไกลเรือนหลักเช่นนี้ หากเกิดเหตุอันใดขึ้นจะว่าอย่างไร”
“คือ...คุณชายสามเป็นคนรักสันโดษ ชอบอยู่เงียบๆ ห่างไกลผู้คนน่ะเจ้าค่ะ” บ่าวแก่รีบตอบแทนเจ้านาย
กู่เสี่ยวถิงแกล้งทำเป็นพยักหน้าเข้าใจ แต่แท้จริงกลับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคนสกุลโจวเป็นอย่างดี
หญิงแก่ผู้นี้ก็ใช่เล่น อย่างที่โบราณว่า เจ้านายเป็นเช่นไร บ่าวย่อมถอดแบบกันมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อครู่บ่าวแก่ผู้นี้แกล้งขัดขาหวงหนิงเซียนได้อย่างหน้าตาเฉย เห็นชัดว่าคงลำพองตัวมากเป็นแน่
ทางเดินเริ่มคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่มีสาวใช้อย่างซูฉางและบ่าวคนอื่นจากกู่กวงซิวคอยเดินตามอยู่ทางด้านหลัง มิเช่นนั้นใจของกู่เสี่ยวถิงคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแน่
ยิ่งเดินยิ่งพบว่ามันทั้งรกและเต็มไปด้วยซากต้นไม้ที่ไม่ได้รับการตกแต่งหรือดูแล คล้ายจะเป็นสถานที่ที่ปล่อยร้างเสียด้วยซ้ำ
กู่เสี่ยวถิงมองเห็นเรือนหลังเล็กอยู่เบื้องหน้า มันทั้งเล็กและซอมซ่อเกินกว่าจะเป็นที่พักอาศัยของคน หรือจะพูดให้ถูกคือมันเคยเป็นเรือนเก็บของมาก่อนนั่นเอง
“คุณหนู ที่นี่น่ากลัวจังเจ้าค่ะ” ซูฉางและหวงหนิงเซียนขยับเข้าใกล้กู่เสี่ยวถิง
“เปิดประตูสิ” กู่เสี่ยวถิงสั่งบ่าวแก่จอมเจ้าเล่ห์ ทว่านางก็หาได้ทำตามและชำเลืองมองแต่โจวฮูหยิน
“คุณหนูรอง ข้าว่าไม่เหมาะกระมัง เดิมทีแล้วฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้คุณหนูหวงมาทำความรู้จักกับว่าที่คู่หมั้น”
“โจวฮูหยินกำลังจะบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเลือกที่รักมักที่ชัง แม้แต่ข้าซึ่งเป็นแขกจากตระกูลกู่ก็มิยอมให้พบหน้าคุณชายสามงั้นหรือ”
โจวฮูหยินเลิ่กลั่ก พยายามพูดแก้ตัวยกใหญ่
กู่เสี่ยวถิงกลอกตามองบนหนึ่งรอบก่อนจะเดินเข้าไปผลักบานประตูเรือนด้วยตัวเอง
แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้องที่ถูกปิดมืดสนิท เผยให้เห็นบุรุษผิวกายขาวซีดกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื่อขาดๆ ผืนหนึ่ง
ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ทำให้บังเอิญสบตากับกู่เสี่ยวถิงโดยมิได้ตั้งใจ
“โจวโซวเชิน...”
กู่เสี่ยวถิงพิจารณาชายตรงหน้าอย่างระวัง ช่างเป็นบุรุษที่น่ามองยิ่งนัก แม้จะผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก ใต้ตาดำคล้ำคล้ายคนไม่ได้นอนมาหลายคืน ทว่ากลับมีบางอย่างที่ดึงดูดให้กู่เสี่ยวถิงไม่อยากละสายตาจากเขา
โจวโซวเชินไม่เคยได้พบหวงหนิงเซียนมาก่อน ได้ยินเพียงคำบอกเล่าจากบ่าวคนสนิทถึงความงามและจิตใจเอื้ออาทรของหญิงสาว
“คุณหนูหวงหรือ...” โจวโซวเชินขยับปากที่แห้งผากของตนช้าๆ
“คุณชายสาม สตรีผู้นี้คือคุณหนูกู่เสี่ยวถิงต่างหากเล่า ส่วนคู่หมั้นของท่าน...” โจวฮูหยินว่าพลางผลักตัวหวงหนิงเซียนมาทางด้านหน้า
“นี่อย่างไรเล่า เอ้า ทำความรู้จักกันเสียสิ”
แต่โจวโซวเชินกลับไม่ได้สนใจฟังโจวฮูหยินแต่อย่างใด นัยน์คมเข้มเอาแต่จ้องมองที่กู่เสี่ยวถิง
โจวฮูหยินที่เห็นอย่างนั้นก็เริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ ถึงนางมินิยมชมชอบกู่เสี่ยวถิงสักเท่าไร แต่หากบุตรชายคนใดของนางได้แต่งกับคุณหนูจากสกุลกู่ รับรองว่าได้สบายไปทั้งชาติแน่นอน
“คุณหนูรอง พวกเรากลับที่งานเลี้ยงกันเถอะ ปล่อยทั้งสองคนทำความรู้จัก...” โจวฮูหยินไม่ทันจะเอื้อมมือมาดึงแขน กู่เสี่ยวถิงก็ย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้าโจวโซวเชินเสียก่อน
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสไปที่แก้มตอบของบุรุษ นัยน์ตากลมสั่นระริกและแดงก่ำ ส่วนหนึ่งเพราะสงสารเห็นใจ อีกส่วนเพราะโกรธเคืองที่เห็นเขาถูกรังแก
“ทำไมถึงผอมเพียงนี้ ได้กินอะไรบ้างหรือไม่”
โจวโซวเชินนิ่งอึ้ง ไม่รู้เลยว่าตนควรจะแสดงท่าทางตอบกลับเช่นไร ตลอดชีวิตมิเคยได้ใกล้ชิดสาวงาม ตอนนี้ถูกจู่โจมระยะประชิด จิตใจที่สงบนิ่งจึงบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา
กู่เสี่ยวถิงหันขวับกลับมามองโจวฮูหยินด้วยแววตาแข็งกร้าว “เห็นทีที่สกุลโจวตกอับ คงเป็นเพราะบรรพชนรุ่นหลังกระทำเรื่องไร้มนุษยธรรม!”
โจวฮูหยินผวาเฮือกในใจ แม้นางจะหวั่นเกรงต่ออำนาจของสกุลกู่ แต่การจะให้เด็กสาวที่อายุน้อยกว่ามายืนเท้าสะเอวตำหนิตนก็คงจะน่าขันเกินไป
“คุณหนูรองกู่พูดเกินไปหรือไม่ อย่างไรท่านก็เป็นเพียงคนนอก จะมาเข้าใจเรื่องราวคนสกุลโจวได้อย่างไร”
“ตอนนี้เป็นคนนอก แต่ในอนาคตไม่แน่ เพราะข้าตั้งใจจะแต่งงานกับคุณชายสกุลโจว”
โจวฮูหยินตาลุกวาว รีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วพูดจาประจบทันที “ที่แท้คุณหนูรองก็เป็นห่วงคนสกุลโจวนี่เอง ช่างเป็นวาสนาของข้าที่จะได้ท่านเป็นลูกสะใภ้”
กู่เสี่ยวถิงขมวดคิ้วมุ่น กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงงุนงง “สะใภ้ท่านหรือ โจวฮูหยิน... ข้าว่าท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้วกระมัง”
“หยางอิ่ง นางเคยมีคนรักอยู่ก่อนจะแต่งเข้าสกุลโจว เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้าเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันมานานหลายสิบปี แต่เพราะต่างฝ่ายต่างมีคู่หมายอยู่แล้วจึงไม่อาจสมหวังในรัก” ใต้เท้าโฮ่วพูดพลางถอนหายใจ “ในวันหนึ่งในฤดูหนาว พี่ชายและข้ารับพระราชโองการไปรบที่ชายแดน ด้วยเพราะเกรงว่าจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าจึงอยากให้ทั้งสองคนได้เจอกัน ผนวกกับได้ข่าวว่าสุขภาพของหยางอิ่งไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงอยากเพิ่มแรงใจให้นาง ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าข้าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้” จงหยางอี้เดินเข้ามาตบบ่าโจวโซวเชิน “พี่ชายของใต้เท้าโฮ่วตายในสงคราม ส่วนใต้เท้านั่นบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่นานหลายปีกระทั่งได้รับราชโองการให้ประจำอยู่ที่ชายแดนเป็นการชั่วคราว จึงไม่ได้รับข่าวคราวของมารดาเจ้าอีก” เพราะสกุลโจวปกปิดการตายของหยางอิ่ง พวกเขาจับนางไปขังไว้ในห้องที่ทั้งมืดและชื้น ไม่มีเตาไฟ ผ้าห่ม หรือกระทั่งอาหารให้กินจนอิ่มท้อง ส่งผลให้สุขภาพที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วยิ่งทรุดหนัก “โซวเชิน” กู่เสี่ยวถิงกระซิบเสียงเบา รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของโจวโซวเชินนัก แต่เมื่อเห็นแววตานิ่งสงบของเขา นางก็เริ่มเบาใจ
“อะไรนะ!? ฮุ่ยชิว เจ้าไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าถูกกล่าวหาใช่ไหมหลาน ตอบย่าสิ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ พยายามเค้นถามความจริงจากโจวฮุ่ยชิวอย่างเดียว “น่ารำคาญ!!!” โจวฮุ่ยชิวผลักฮูหยินผู้เฒ่าออกไป แล้วหันมาพูดกับจงหยางอี้ “ข้าว่าเรื่องนี้เราคุยกันได้นะแม่ทัพจง” จงหยางอี้เค้นเสียงพูด “ข้าไม่เหมือนขุนนางโลภมากพวกนั้นหรอกนะ เจ้าอย่าโน้มน้าวข้าเสียให้ยากเลย” “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีขุนนางกี่คนที่อยู่ข้างข้า” “รู้สิ และก็สั่งจับขุนนางพวกนั้นไปหมดแล้วด้วย” หัวใจพลันกระตุกวาบพร้อมกับความหวาดกลัวที่แล่นพรูขึ้นมา โจวฮุ่ยชิวรีบเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปทางโจวโซวเชินแทน “พี่สาม อย่างไรพวกเราก็เป็นสกุลโจวเหมือนกัน ข้า...” “ข้าฟังอยู่ จะแก้ตัวอะไรก็รีบพูดมา” ได้ยินเสียงเย็นชากล่าวเช่นนี้ โจวฮุ่ยชิวก็จำต้องกลืนคำขอของตนลงคอ ครั้นหันกลับมองทางครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือพี่ชายทั้งสองของตนล้วนแต่พึ่งพาไม่ได้ หากจะบอกว่าแผนการล้มเหลว มันอาจจะล้มเหลวมาตั้งแต่วันที่เขาเกิดแล้วก็ได้ “หวังพึ่งใครไม่ได้สักคน” โจวฮุ่ยชิวขบกรามแน่น “ทำไมข้าต้อ
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ กู่เสี่ยวถิงพูดอะไรไม่ออก หัวใจบีบรัดแน่นจนหายใจไม่ออก โจวฮุ่ยชิวยื่นมือออกมาตรงหน้า “ไปกันกับข้าเถอะ” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้า ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่มีวันไปกับโจวฮุ่ยชิวแน่ นี่มันอะไรกัน... โจวฮุ่ยชิวสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนได้อย่างไร?! “อย่ายุ่งกับนาง!” โจวโซวเชินปัดมือโจวฮุ่ยชิวทิ้งแล้วจูงมือพาตัวกู่เสี่ยวถิงกลับเข้าไปในงาน “โซวเชิน เดินช้าหน่อย ข้าตามไม่ทัน” กู่เสี่ยวถิงก้าวขาไม่ทันร่างสูงที่กึ่งฉุดกึ่งลากนาง “โอ๊ะ!” กู่เสี่ยวถิงสะดุดขาตัวเอง โจวโซวเชินรีบหมุนตัวกลับมารับร่างบางไว้ “บาดเจ็บหรือไม่” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้าแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าจนทรงตัวไม่ไหว “เป็นอะไร เจ็บเท้าหรือ” โจวโซวเชินก้มลงจับที่ข้อเท้าของหญิงสาว พอได้ยินเสียงร้องว่าเจ็บ เขาก็ตกใจจนหน้าเสีย รีบอุ้มตัวนางขึ้น บอกจะรีบพาไปให้หมอตรวจดูอาการ “ขะ...ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าปล่อยข้าลงก่อน” “ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เมื่อครู่ท่านยังร้องอยู่เลย ยืนก็ไม่ไหวด้วยเนี่ย” “อาจจะแค่ข้อเท้าแพลงก็ได้ เจ้าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ”
ความรู้สึกกดดันนี้มันอะไรกัน กู่กวงซิวเหงื่อแตกพลั่กเหลือบมองบุตรสาวที่ยืนเท้าสะเอวพลางจ้องตนตาเขม็ง “ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไรจะสารภาพหรือ” กู่กวงซิวอ้ำอึ้ง ชำเลืองหางตาไปทางหลี่เฟยเพื่อขอความช่วยเหลือ “เอ่อ เสี่ยวถิง มีอะไรหรือเปล่าลูก” หลี่เฟยเอ่ยถามเสียงละมุน แต่มิวายถูกสายตาคมกริบตวัดมองมาเช่นกัน “ท่านแม่ มิใช่ว่าท่านก็รู้เห็นด้วยหรอกนะ” เมื่อถูกเค้นหนักเข้า สองสามีภรรยาตระกูลกู่ก็เริ่มทนไม่ไหวจึงตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดแก่กู่เสี่ยวถิง “พ่อแค่อยากไล่โจวฮุ่ยชิวไปให้พ้น หากเขาเห็นว่าสกุลกู่ไม่อาจให้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาคงไม่มายุ่งกับพวกเราอีก” “นอกจากนี้ยังสามารถคัดกรองสหายที่มีอยู่ หากพวกเขาเป็นมิตรแท้ย่อมไม่หันหลังให้สกุลกู่แน่ กลับกันแล้ว หากหนีไปเข้าพวกกับโจวฮุ่ยชิว แสดงว่ามิใช่คนซื่ออย่างแท้จริง” หลี่เฟยเอ่ยต่อ เหตุผลที่บุพการีบอกนั้นก็ฟังมีเหตุผล พวกเขาเพียงอยากกันโจวฮุ่ยชิวให้พ้นทาง แต่ว่า...นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะต้องมาโกหกนางนี่!? “เอ่อ...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกลูกนะ เพียงแต่...” ราวกับหลี่เฟยอ่านความคิดของกู่เสี่ยว
“อาภรณ์ชุดนี้งดงามยิ่งนัก สีสันสดสวยประณีตงดงาม” เถ้าแก่ที่เข้ามาประเมินราคาสิ่งของในจวนกู่เอ่ยขณะลูบมือลงยังอาภรณ์สีครามเข้ม “คุณหนูรองกู่แน่ใจหรือว่าจะขายทั้งหมดนี้” กู่เสี่ยวถิงพยักหน้า “เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” นางตอบเสียงเศร้า “อืม งั้นข้าให้คนขนไปที่รถเลยนะ” กู่เสี่ยวถิงกวาดตามองเหล่าเสื้อผ้า รองเท้า และตำราเรียน ราวกับต้องการบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “รบกวนเถ้าแก่ด้วย” กู่เสี่ยวถิงเรียกพ่อบ้านประจำจวนให้มาตกลงเรื่องราคาและรับเงินจากเถ้าแก่ แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป ระหว่างทางบังเอิญผ่านเรือนที่นางเคยใช้เรียนหนังสือกับโจวโซวเชิน เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อระบายอากาศ กู่เสี่ยวถิงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปด้านใน มองสำรวจห้องแล้วพลันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับโจวโซวเชิน รอยยิ้มของเขา สัมผัสอ่อนโยนและจุมพิตแรกที่เขามอบให้ หางตากู่เสี่ยวถิงเหลือบเห็นภาพเขียนที่ถูกแขวนไว้เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นภาพเขียนของโจวโซวเชินที่นางย้ายออกมาจากห้องนอนและไม่ยอมที่ขายออกไป “ถึงไม่มีวาสนาต่อกัน
“เห็นคุณชายสามนิ่งขรึมมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะ...เอ่อ” หวงหนิงเซียนคิดคำที่จะช่วยอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ออก โจวโซวเชินไม่เคยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว คุกคาม หรือกระทั่งออกคำสั่งไล่ใครมาก่อ “คงมีเพียงกู่เสี่ยวถิงคนเดียวที่ทำสหายข้าเสียอาการเช่นนี้ได้” จงหยางอี้วิเคราะห์ “ป่าเถื่อนสิไม่ว่า ที่นี่มิใช่จวนโจวนะ กล้าทำเรื่องไร้มารยาทที่นี่ได้อย่างไร!” ถึงจะบ่นอย่างนั้น แต่ส่วนลึกหวงลี่หรูก็ไม่กล้าสู้กับสายตาแข็งกร้าวของโจวโซวเชินสักเท่าไรนัก ให้พญานกยูงอย่างนางไปขวางทางหมาป่าโมโหร้ายหรือ! หาเรื่องตายสิไม่ว่า “พวกเขาจะปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่นะ” หวงหนิงเซียนเป็นกังวล มือกระตุกชายเสื้อแม่ทัพหนุ่มเบาๆ “อย่าห่วงเลย โซวเชินเป็นคนใจเย็น เขาจะต้องค่อยๆ ใช้คำพูดอธิบายให้กู่เสี่ยวถิงเข้าใจ และไม่นานทั้งคู่ก็จะคืนดีกัน...” ตู้ม!!!!! เสียงตู้มดังสนั่น คนทั้งสามต่างตื่นตกใจแล้วรีบวิ่งวนกลับมาทางศาลา เบื้องหน้ากู่เสี่ยวถิงยืนอยู่บริเวณสระบัวพลางหอบหายใจอย่างหนัก ส่วนโจวโซวเชิน...ล้มหน้าคว่ำอยู่ในสระบัว โชคดีที่ว่าระดับน้ำสูงเพียงเข่า โจวโซวเชินจึงค่อยๆ พยุงตั