“จากที่เจอกันวันแรกที่ร้านอาหารก็มีทีท่าว่าอย่างนั้นนี่คะ” ตอบแทบจะทันควัน
“นั่นก็เพราะคุณจะเข้ามาทำงานเป็นเลขาผม แค่ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตอนที่เจอกันครั้งแรก”
“แต่บทสนทนาของคุณดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นนะคะ”
“หึ...ดูคุณจะมั่นใจในตัวเองน่าดูเลยนะครับ”
“ก็พอสมควร”
พูดอย่างมั่นใจก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาโต๊ะทำงานของตัวเอง ก็เห็นมันตั้งอยู่ทางขวามือของเขาถัดจากโซฟารับแขกกลางห้องและค่อนข้างที่จะใกล้โต๊ะของเขา เธอจึงเดินสะบัดบั้นท้ายไปยังโต๊ะนั้นพร้อมเอามือเรียวเท้าวางไว้ ใบหน้าสวยหันมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“นี่ใช่ไหมคะ? โต๊ะทำงานของฉัน”
ดีนมองเธอแต่ไม่ทันได้ตอบอะไร นิลมณีก็พาตัวเองไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะนั้นอย่างมั่นใจ และมันก็ไม่ผิดเพราะนั่นคือโต๊ะที่เขาเตรียมเอาไว้ให้เธอ
“ผมยังไม่ได้บอกให้คุณเริ่มงานเลย” ดีนเอ่ย แต่ดูท่านิลมณีไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเท่าไหร่เพราะเธอมองว่าไร้สาระ เธอเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเอกสารที่กองกันอยู่หน้าโต๊ะทำงานขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดและทำความเข้าใจกับงานที่เธอต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยการทำงานจนเขาไว้วางใจจนตัวติดกับเขาได้ก็อาจจะรู้ว่าเขาไปเจอใครมาบ้างแล้วต้นตอของไอจอมปีศาจนั้นคืออะไร
การอยู่ใกล้เขามันจะอันตรายเพราะกลิ่นไอแห่งบาปในเรื่องกามาราคะของเขาค่อนข้างแรง ราวกับเป็นมนต์ดึงดูดเพศตรงข้ามไม่เว้นแม้แต่เพศเดียวกันหรือที่เรียกว่ามีเสน่ห์ยาแฝดติดตัวมาก็ว่าได้และมันก็น่าแปลก เหมือนกับว่ามีใครมาฝากมนต์แห่งบาปราคะนี้เอาไว้ให้เขาอย่างไรอย่างนั้น
ดีนเห็นว่านิลมณีตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่วางอยู่บนโต๊ะเขาจึงวางเอกสารประวัติของเธอลงแล้วหันไปสนงานของตัวเองต่อ เป็นอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงแบบใหม่ที่ฝ่ายออกแบบส่งมาให้ซึ่งเขายังไม่ได้ตัดสินใจสั่งทำอุปกรณ์นี้ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดพลางนึกถึงสัตว์เลี้ยงในห้องของตัวเองเป็นหลัก
แต่เพราะเขาไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อนจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจที่จะสั่งทำอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับแมว อ่างอาบน้ำกันแมวข่วนขณะอาบน้ำให้นั้นเขาคิดอยู่ว่ามันอาจจะมีเรื่องดีและหมดปัญหาที่แมวจะข่วนเจ้าของเหมือนที่เจ้าสีนิลข่วนเขา
“คุณนิลมณี”
“เรียกนิลก็ได้ค่ะ”
“คุณนิล คุณช่วยดูอุปกรณ์นี้หน่อย ผมว่าจะอนุมัติ แต่ผมอยากได้ความคิดเห็นของคุณ"
“ค่ะ” ตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปเปิดโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของตัวเองเข้าเช็คอีเมล์ที่เธอเคยกรอกไว้ในใบสมัคร เพราะตอนอยู่ในโลกของปีศาจเธอก็ต้องเรียนรู้การเป็นอยู่ของใช้ต่างๆของโลกมนุษย์ตามยุคตามสมัยเช่นกัน อย่างเช่นในยุคนี้ค่อนข้างที่ทันสมัยไฮเทคเหล่าปีศาจล้วนมีเหมือนกับที่มนุษย์มีไม่เว้นแม้แต่โทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ การเข้าไปสิงสู่แล้วเรียนรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่เธออยากใส่และอยากซื้อเหมือนมนุษย์บ้างก็เท่านั้นจะได้ดูกลมกลืน
“อ่างอาบน้ำแมว?”
“เธอเลี้ยงแมวไหม?”
“ก็...เคยเลี้ยงค่ะ หลายตัวเลยล่ะ..” นั่นหมายถึงเหล่าบริวารแมวผีของเธอทั้งนั้น
“แล้วเธอคิดว่าไง?”
“คุณไม่เคยเลี้ยงเหรอคะ?” นิลมณีจงใจถามด้วยความอยากรู้และยังจำขึ้นใจที่เขาจับเธออาบน้ำใจตอนนั้น คำถามที่ดูปกติแต่น้ำเสียงกลับดูเหมือนประชดประชันเขา
“ก็เลี้ยงอยู่ตัวนึงนะตอนนี้ แมวสีดำ...ถึงจะชอบหมามากกว่าแต่เพราะมันน่าสงสารเลยเก็บมาเลี้ยง” ตอบไปตามความจริงแต่คำตอบของเขาทำเธอหงุดหงิด กับคำว่าสงสารนั้นมันแสดงชัดเจนแล้วว่าไม่ได้อยากเลี้ยง
“แล้วจะเก็บมันมาทำไม? แมวมันเป็นสัตว์ที่เอาชีวิตรอดได้อยู่แล้ว ไม่เคยได้ยินเหรอคะว่าแมวเก้าชีวิต น่าจะปล่อยๆมันไปนะคะ”
“เธอนี่ใจร้ายจริงๆ เธอเห็นมันขี้เรื้อนนอนเจ็บปางตายอยู่จะเดินผ่านมันไปเฉยๆเลย?”
“ขี้เรื้อนเหรอ?!! นี่คุณ!....” นิลมณีถึงกลับลุกพรวดขึ้นมือสองข้างตบโต๊ะ ใบหน้าสวยแสดงถึงความหงุดหงิดจนเขาสะดุ้งมองเธอด้วยสีหน้างุนงง นิลมณีสูดลมหายใจเข้าลึกระงับอารมณ์ตัวเองที่ลืมตัวไปก่อนจะหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิมราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณไม่ควรพูดว่าเจ้าแมวตัวน้อยน่ารักแบบนั้นนะคะ พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูดแต่แค่ไม่สามารถโต้ตอบเป็นภาษาคนได้ ถ้าแมวตัวนั้นได้คงจะหงุดหงิดจนอยากข่วนหน้าคนที่มารับเลี้ยงเลยล่ะค่ะ” พูดก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“ดูจะรักแมวมากสินะ”
“........”
“แล้วอ่างอาบน้ำ...”
“แมวไม่ชอบน้ำ! รู้เอาไว้ด้วย!! เป็นเรื่องพื้นฐานที่คนเลี้ยงแมวควรรู้! ไม่อนุมัติค่ะ!” ตอบพร้อมใส่อารมณ์
“ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้น...แล้วไอ้ที่ว่าไม่อนุมัตินี่ควรเป็นฉันหรือเปล่าที่ต้องพูดน่ะ”
.
ตั้งหน้าตั้งทำงานพร้อมกับถกเถียงเรื่องแมวไม่ชอบอาบน้ำกับซีอีโอของบริษัทหน้าตั้ง เวลาตอนนี้ก็บ่งบอกถึงช่วงเวลาพักกลางวันของพนักงาน หลังจากที่บรรยากาศในห้องทำงานเงียบอยู่นาน ดีนละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เหลือบตามองนิลมณีที่ยังทำงานไม่สนใจเวลา
“ไม่ไปทานข้าวเหรอครับ? นี่พักกลางวันแล้วนะ...ทางบริษัทไม่มีนโยบายทำงานล่วงเวลากลางวันนะครับ” ดีนเอ่ยขึ้นเมื่อยังเห็นว่านิลมณีไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน เธอหันไปปรายตามองเขาก่อนจะถอดถอนหายใจ
“ค่ะ” ตอบเพียงสั้นๆ
“ถ้าคุณไม่ไปแล้วคนเป็นหัวหน้าอย่างผมจะไปพักได้ยังไง”
“ลำไส้ไม่ได้ติดกันนี่คะ? คุณจะไปพักก็ไปสิคะ” พูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“หรือว่าคุณรอให้ผมเอ่ยปากเลี้ยงข้าวคุณงั้นเหรอ? มันคือแผนเรียกความสนใจจากผมสินะ” ดีนเอ่ยพลางเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้พร้อมยกรอยยิ้ม สายตาจับจ้องมองหญิงสาวที่นั่งโต๊ะเยื้องเขาอย่างมีเลศนัย นิลมณีขมวดคิ้วแล้วปราดสายตาดวงสวยมองเขา
เธอเลือกที่จะลุกขึ้นแทบจะทันทีโดยไม่มีคำพูดโต้ตอบอะไร ร่างอรชรก้าวฉับๆสะบัดผมเดินออกจากประตูไปทันทีทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งยิ้มเก้อมองตามแผ่นหลังของเธออย่างทำหน้าไม่ถูก ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าเมินเขาขนาดนี้ เพียงแค่เขามองตาก็พร้อมที่เข้าหาเขาตลอดเวลาราวกับต้องมนต์สะกด แต่นิลมณีเลขาคนใหม่ของเขากลับปล่อยให้เขาเขินมุกหยอดของตัวเองเสียอย่างนั้น ท่าทางไม่สนใจของเธอมันแสดงให้เขารับรู้ได้ว่าเธอไม่ได้สนใจเขาจริงๆ
“...หรือว่าเราไม่สเป๊คเธอ...” ดีนเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ เขาจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งหวังจะลองใจเธออีกครั้ง ถ้าเกิดเขารุกจีบเธอขึ้นมาล่ะ เธอจะยังเมินเฉยต่อเขาได้อีกไหม คิดแล้วก็รีบเดินออกจากห้องเพื่อที่จะได้เดินตามเธอได้ทัน ในหัวคิดว่าจะทำให้มันเป็นเหมือนเรื่องบังเอิญที่เขาอยากจะทานอาหารมื้อกลางวันร้านเดียวกับเธอ
นิลมณีลงลิฟต์มาก่อนดีน หวังว่าจะไปหาร้านเนื้อย่างอร่อยๆทานข้างนอกบริษัทเสียหน่อย เผื่อจะช่วยให้ความหงุดหงิดของเธอดีขึ้นบ้าง ผู้ชายอะไรหลงตัวเองชะมัดถึงจะหล่อเหลาเอาการก็เถอะแต่ก็ไม่น่าเล่นมุกน่าหงุดหงิดนั่นกับเธอเลย ทั้งที่เธอเองก็แสดงชัดเจนแล้วว่าไม่สนใจเขา
ความคิดที่ว่าจะรอให้เขาไปพักแล้วจะแอบตามไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าเขาเจอใครมาบ้าง และกลิ่นไอจอมปีศาจนั้นมาจากใคร คิดว่าถ้าเจอเจ้าของกลิ่นไอนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองมนุษย์นี้อีกต่อไป แต่เพราะมุกห่วยๆของเขานั่นแหละที่ทำให้แผนเธอล่มไปเสียหมด
“คุณนิล! ไปทานข้าวเหรอคะ? ถ้าไม่รังเกียจ...”
“ขอโทษนะคะ....พอดีอยากไปคนเดียว”
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ
ร่างกายที่อ่อนล้าค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ความปวดร้าวเมื่อยล้าแล่นเข้าสู่ร่างกายจนเธอถึงกับกัดฟันแน่น เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พักเลยทั้งคืนจึงเป็นเหตุทำให้เธอปวดร้าวตามร่างกายแบบนี้ นิลมณีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆตาขวาง “เอาแรงมากจากไหนนักนะ” เธอพึมพำเบาๆพลางเบือนใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอื่นโดยไม่ทันสังเกตคนที่นอนอยู่ข้างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดิบพอดี “ยังมีแรงเหลืออีกเยอะนะ จะต่อรอบเช้าด้วยเลยไหมล่ะครับคุณเลขา” เสียงทุ้มที่ตอบกลับเธอมาทำให้เธอหันหน้าไปทางเขาทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ดีนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่สนใจว่าผ้าห่มมันร่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเห็นของลับของหวงอยู่แล้วแท้ๆ นิลมณีรีบเบือนหน้
ริมฝีปากหยักได้รูปไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากกระจับนั้น เรียวลิ้นหนาเริ่มรุกล้ำเข้าไปในโพรงแม้ในตอนแรกจะปิดแน่นสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ ครั้งก่อนเธอมึนเมาและถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์บางอย่าง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป.. “อือ!” เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านลำคอเพราะตอนนี้ภายในร่างกายของเธอรู้สึกแปลก ตอบสนองรสจูบของเขาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งลิ้นเรียวเล็กของเธอถูกดูดกลืนราวกับกำลังจะถูกเขาครอบงำ...ยากที่จะปฏิเสธมัน รสจูบที่จาบจ้องและรุนแรงทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “อื้อ...” เสียงค้านดังขึ้นผ่านลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือหนาที่ค่อยลูบไล้ปลดเปลื้องเสื้ออาภรณ์ของเธอ ทุกการสัมผัสของเขาราวกับมีมนต์สะกด ความรู้
“ยังไงคุณก็จะไม่บอกผมใช่ไหมครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเท้าก้าวเข้าบ้านมาดีนก็เอ่ยถามนิลมณีทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินนำเตรียมจะขึ้นไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง นิลมณีชะงักฝีเท้าเธอหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเธอคิดเรื่องทางเลือกที่อัคคีให้มาไม่หยุดไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็มืดมันแปดด้านจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วและอยากอยู่เงียบๆกับตัวเองสักพัก “บอสคะ คุณมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ มีผู้ติดตามตลอด มีลูกน้องมีคนขับรถ...ทำไมบอสไม่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองล่ะคะ” “หืม? ก็เพราะแมว...คุณชวนผมมาอยู่ที่นี่เองไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะไล่กันแล้วว่างั้น?” “ลองคิดดูนะคะ ถ้าเกิดวันนี้ซันนี่มาเที่ยวที่บ้านจริงเธอก็ต้องรู้...นั่นหมายถึงคนในบริษัทรู้ ถึงวันนี้