LOGINเสียงใสเรียกเธอเอาไว้เมื่อเธอเดินผ่านล็อบบี้ด้านหน้าตรงทางเข้าออกของบริษัท นิลมณีชะงักฝีเท้าพลางกรอกตามองบนแล้วปรับสีหน้าให้ดูเรียบเฉยหันไปมองหญิงสาวที่พึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาทางเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอปฏิเสธออกไปโดยไม่รอให้ซันนี่พูดจบประโยตเลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ...งั้นก็ขอโทษด้วย...”
“ผมก็ว่าไปไหนไวจัง มายืนรอผมที่ล็อบบี้เหรอครับ?” ซีอีโอหนุ่มเดินเข้ามาระหว่างบทสนทนาที่น่าอึดอัด แต่การที่เขาเข้ามานั้นทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะคำพูดหยอดของเขาไม่สัมพันธ์กับหน้าที่เรียบนิ่งของเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับว่าเขาพยายามฝืนแสร้งพูดมากกว่าที่จะรู้สึกว่ามันเป็นคารม
“ใครรอคุณ? เข้าใจผิดหรือเปล่าคะ?”
“คุณไง...ไม่ใช่เหรอครับ?”
“เหอะๆ พูดเป็นเล่น...ฉันแค่...” ทันทีที่นิลมณีปรายตามองซันนี่ที่ยืนก้มหน้าทำตัวไม่ถูกอยู่นาน และไม่กล้าที่จะขัดบทสนทนาของคนทั้งสองแม้ว่าบทสนานั้นมันจะออกแปลกๆไปเสียหน่อย เพราะซันนี่ที่เป็นพนักงานที่นี่มาปีกว่าไม่เคยเห็นซีอีโอของบริษัทพูดจาแบบนี้กับพนักงานคนไหน และส่วนมากเขาจะดุและเฉยชาทิ้งระยะห่างอยู่พอสมควร หรือไม่แน่ว่าข่าวลือที่นิลมณีเป็นเด็กของซีอีโอมันคือเรื่องจริง
“มารอคุณซันนี่ไปทานข้าวพร้อมกันน่ะค่ะ” พูดพร้อมเอื้อมมือไปเกี่ยวแขนของหญิงสาวที่ยืนอยู่ระหว่างพวกเขา พายุเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ปราดสายตามองซันนี่ก่อนจะดึงสายตากลับไปมองนิลมณีโดยไม่พูดอะไร
“สนิทกันขนาดนั้นเลย?”
“ค่ะ เป็นเพื่อนกัน...ตั้งแต่วันนี้”
“มีเพื่อนสนิทในที่ทำงานเร็วดีเหมือนกันนะครับ แสดงว่ามนุษย์สัมพันธ์ไม่แย่ผิดกับกิริยาท่าทางหยิ่งๆของคุณ”
...ปากหรือนั่น... นิลมณีคิดในใจ แม้ใบหน้ายิ้มแย้มแบบแสร้งทำให้เขาก็ตาม ซันนี่ที่โดนลากไปเอี่ยวด้วยถึงกับหน้าเหวอ แต่ก็ดีใจที่สาวสวยอย่างนิลมณียอมรับเธอเป็นเพื่อน ในบริษัทมีแต่คนเข้ามาเป็นเพื่อนกับเธอเพราะผลประโยชน์หรือวานให้ทำงานแทนก็เท่านั้น
“ขอบคุณนะคะ ยังไงฉันกับเพื่อนขอตัวก่อ...”
“งั้นก็ดีเลย มื้อนี้ผมเลี้ยงพวกคุณเอง...ถือว่าเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน อีกอย่างผมเองก็ต้องสนิทกับเลขาของตัวเองให้มากๆ จะได้ทำงานกันได้อย่างรู้ใจ” ดีนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
...เจ้าหมอนี่...ทำหน้ากวนชะมัด... นิลมณีคิดก่อนจะหันไปมองหน้าซันนี่ที่มองเธอและดีนสลับกัน แม้นิลมณีจะคิดว่าทำไมยัยนี่ถึงไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ก็พอจะรู้สึกได้ถึงความเกรงใจในตำแหน่งของชายหนุ่มตรงหน้า ซันนี่หันจับแขนของนิลมณีก่อนจะเอียงตัวกระซิบเธอเบาๆ
“ไปเถอะค่ะคุณนิล ไม่อย่างนั้นเราจะทำงานลำบาก” ซันนี่เอ่ยด้วยสีหน้าเกรงใจซีอีโอตรงหน้า มันก็เป็นอย่างที่ซันนี่บอก หากเธอขัดใจเขามากๆตอนนี้โดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกก็ไม่ต้องสืบมันพอดี ตอนเป็นแมวแค่จะหนีออกจากห้องก็ยากแล้วเพราะมันสูงเกินไปที่จะกระโดดลงจากระเบียง บางทีเพราะความคิดยุ่งยากที่มีมากมายอาจจะทำให้เธอลืมคิดเรื่องง่ายๆอย่างเช่นเปิดประตูออกไป... แต่ถึงอย่างนั้นก็เข้าบริษัทไม่ได้อยู่ดีไม่ว่าจะในร่างแมวหรือร่างคน..
“เป็นอันว่าตกลงนะครับ สองสาวเลือกได้เลยว่าจะเลือกทานอะไร” ดีนเอ่ย
“สเต็กเนื้อ!!” ทั้งสองสาวพูดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะหันไปมองหน้ากันอย่างทึ่ง ซันนี่ยิ้มออกมาไม่ต่างจากนิลมณีที่ยิ้มให้เธอเช่นกัน
...นางรสนิยมไม่เลวเลย อย่างนี้ค่อยคบกันได้ยาวหน่อย ติดตรงที่เป็นคนดีไปหน่อยไม่เหมาะกับฉันที่เป็นราชาแห่งบาปเสียเท่าไหร่...
“คงจะชอบสเต็กเนื้อกันน่าดู ได้สิครับ...เราไปกันเลยไหมผมไม่ติดราคา” ว่าแล้วก็เดินนำสองสาวไปยังรถของเขาที่มีคนขับรถเป็นชายวัยกลางคนยืนรออยู่หน้าบริษัท ท่ามกลางสายตาของเหล่าพนักงานคนอื่นๆที่มองไปยังทั้งสามคนและไม่พ้นคำนินทาดั่งมนุษย์ทั่วไป
...เฮอะ! รวยนักแม่จะกินให้พุงกลางเลย เนื้อแพงที่สุดต้องอยู่ในท้องของฉัน!...
นิลมณีคิดพลางก้าวขึ้นรถ Lexus คันหรู ทั้งนิลมณีและซันนี่ต่างมองภายในรถหรูนั้นที่เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะทีวี 26 นิ้ว ตู้แช่เครื่องดื่ม สมกับรถของผู้บริหารระดับซีอีโอเสียจริง
“โห...เหมือนมันไม่เหมาะกับคนระดับเราเลยเนอะ” ซันนี่เอ่ยเสียงแผ่วนั่งตัวเกร็งหันไปกระซิบกับนิลมณี
“เฮอะ...กับอีแค่รถติดเครื่องอำนวยความสะดวกทำไมถึงต้องคิดว่าระดับไหน เป็นมนุษย์ก็นั่งได้หมดนั่นแหละ” พูดพลางปรายสายตามองดีนที่นั่งกอดอกมองพวกเธอนิ่ง
“ต้องมีระดับสิคะ รถคันนี้แพงมากเลยนะคะ” ซันนี่เอ่ยพลางทำตาโต
“เท่าไหร่?”
“หกล้านเห็นจะได้ค่ะ ซื้อสเต็กกินทุกมื้อจนเอียนเลยล่ะค่ะคุณนิล”
“หา!!!!” ได้ยินเสียงนิลมณีที่มีทีท่าตกอกตกใจอย่างลืมตัว ดีนก็ยกยิ้มขึ้นและคิดว่า...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็แพ้เงินอยู่ดี..
นั่งรถ Lexus คันหรูภายใต้ความเงียบอยู่นาน มีเพียงซันนี่ที่พยายามพูดเจื้อยแจ้วชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แม้นิลมณีจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ซันนี่พูดเท่าไหร่แต่ก็ยังพอ เออ ออห่อหมกไปบ้างแล้วเบือนหน้าออกไปนอกรถแทน ทุกการกระทำของนิลมณีนั้นอยู่ในสายตาของดีน เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ถึงไม่ค่อยอยากหันไป
“ไหนว่าเป็นเพื่อน ดูไม่ค่อยจะสนใจเพื่อนที่กำลังคุยด้วยเท่าไหร่เลยนะครับคุณเลขา” อยู่ๆเขาก็พูดออกมาโต้งๆเสียอย่างนั้น นิลมณีปรายสายตาไปทางต้นเสียง เม้มริมฝีปากบางสวยไว้แน่นก่อนจะหันไปทางซันนี่ที่ทำหน้างงกับคำพูดของดีน
“คุณซันนี่...ไม่สิ ซันนี่ ฉันต้องขอโทษด้วยนะถ้าท่าทีของฉันดูเหมือนไม่สนใจ แต่ฉันเป็นคนแบบนี้...ความจริงแล้วฉันฟังที่เธอพูดอยู่” นิลมณีหันไปจับมือของซันนี่เอาไว้ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดถึงแม้จะแสร้งทำก็ตามที ซันนี่ยิ้มตอบรับพร้อมกับจับมือของนิลมณีเอาไว้แน่นสีหน้าดูดีใจที่นิลมณีห่วงความรู้สึกของเธอ
“ไม่เป็นไร ฉันพอรู้ว่าคุณ...เอ่อ นิลน่าจะเป็นคนเงียบๆ เพื่อนกันต้องรับนิสัยกันได้อยู่แล้ว ฉันรู้ว่านิลไม่ใช่คนเลวร้าย”
...น้อยไปน่ะสิ... นิลมณีตอบในใจแต่สีหน้ายังคงยิ้มตอบรับอย่างแสร้งทำเช่นเดิม พลางปรายสายตามองคนที่จับจ้องเธอราวกับต้องการจับผิดอะไรบางอย่าง ก็ไม่แปลกอาจจะเพราะเธอพึ่งมาทำงานกับเขาวันแรก
ความคิดหยุดลงพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วในรถที่เงียบลงเมื่อรถคันหรูเลี้ยวเข้ามายังร้านอาหารที่หรูหราร้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไหลจากบริษัทพอสมควร ดีนโทรบอกคนขับรถไว้แล้วว่าต้องการจะไปที่ไหนเพราะวันที่เจอนิลมณีนั้นเขาแอบเห็นว่าจานสเต็กของหญิงสาวหมดเกลี้ยงแทบจะไม่เหลืออะไรเลย คงจะชอบสเต็กน่าดูถึงได้ตั้งใจจะพามากินร้านนี้
ถึงแม้ว่าเธอไม่รับคำชวนของงเขา ดีนก็คิดว่าจะเดินตามเธอไปแล้วใช้ความบังเอิญบังหน้าเพื่อได้ทานมื้อกลางวันกับเลขาคนสวยแล้วค่อยโทรยกเลิกกับคนขับทีหลัง แต่โชคดีตรงที่เขามาทันพอดีกับที่เธอกำลังยืนคุยกับพนักงานหน้าล็อบบี้ที่เขาแทบไม่ได้สนใจมองเลยสักวัน ต่อจากนี้คงจะต้องคุยกับพนักงานหน้าล็อบบี้บ่อยๆบ้างแล้วหากต้องการรู้เรื่องของนิลมณี
คนทั้งสามเดินลงจากรถหลังจากที่คนขับเปิดประตูอัตโนมัติให้ ร้านอาหารที่ถูกตกแต่งตัวร้านราวกับอยู่ในเรือนกระจกสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ภายในดูหรูหรา จากเมนูด้านหน้าแล้วราคาไม่เบาเลย ซันนี่ได้แต่เดินเกาะแขนนิลมณีเข้าร้านไปอย่างเกรงใจ ดีนเดินนำไปนั่งที่ที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวและติดกระจกที่สามารถมองเห็นสวนด้านข้างของร้าน พนักงานเดินเข้ามาวางเมนูที่เป็นแฟ้มกำมะหยี่ด้านในมีเพียงสองหน้าเมนูเท่านั้น
“สั่งกันได้เลยครับไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่คิดจะเกรงใจอยู่แล้ว ในเมื่อคุณซีอีโออุตส่าห์ออกตัวเลี้ยงมื้อนี้เอง” นิลมณีพูดพลางนั่งเอนหลัง ขาเรียวทั้งสองข้างไขว่ห้าง ไร้ความตื่นเต้นใดๆ เธอนั่งอ่านเมนูอย่างเงียบๆก่อนจะวางมันลงแล้วหันไปทางซันนี่ที่ตอนนี้ทำตาโตกับราคาเมนู
ทุกอย่างเหมือนกับว่ากำลังจะจบลงด้วยดีและยังมีเรื่องราวใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน จุดจบของบางสิ่งเพื่อเริ่มต้นบางอย่าง... บรรยากาศภายในรถครึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะของลุงเพิ่มและดีนที่พูดคุยล้อเล่นกันไปมาตามประสาผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะหมดเรื่องที่ทำให้หนักใจไปแล้ว นิลมณีได้แต่นั่งมองดีนพร้อมรอยยิ้มบางๆ เธอไม่คิดเหมือนกันว่าสุดท้ายราชินีปีศาจอย่างเธอจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่โลกมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะทิ้งโลกปีศาจที่ตัวเองปกครองอยู่เพียงแค่อาจจะต้องไปๆมาๆ“พูดตามตรงว่าผมนี่มันดวงซวยเหมือนกันนะ” ดีนพูดอย่างยิ้มพร้อมหันไปมองนิลมณี “รอดจากนางปีศาจจิ้งจอกมาได้ก็จริง แต่ต้องมาเห็นผีเนี่ยสิน่าคิดหนัก” เขาพุดต่อ“นั่นสิ...” นิลมณีพูดพร้อมยกยิ้มก่อยนจะหันหน้าออกนอกกระจกรถ “แต่ก็ดีกว่าเหลือตัวคนเดียวนะคะ อย่างน้อยฉันก็อยู่ข้างๆคุณ”
ความมืดค่อย ๆ จางลง...แทนที่ด้วยแสงนวลสีเงินที่ส่องลอดผ่านม่านหมอกจาง ๆ อากาศอบอุ่นอย่างประหลาด คล้ายฤดูใบไม้ร่วงในโลกมนุษย์แต่กลับมีกลิ่นลมปีศาจเจืออยู่จาง ๆ นั่นคือสิ่งที่นิลมณีสร้างขึ้นเธอต้องการจบเรื่องนี้ให้มันเร็วที่สุด ทั้งเรื่องของเธอและเขาเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ ดังอยู่ไกล ๆดีนลืมตาขึ้นช้า ๆ รู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวไร้น้ำหนักเขานอนอยู่บนผืนน้ำที่นิ่งสนิทราวกับกระจก แต่เมื่อขยับตัวจึงรู้ว่าพื้นที่รองรับเขาไม่ใช่น้ำ หากเป็น แสง แสงสีเทาเงินที่ไหลวนช้า ๆ เหมือนสิ่งมีชีวิต“ที่นี่...ที่ไหน...” เขาพึมพำ“ระหว่างโลกของคุณ...กับของฉัน” เสียงหวานแผ่วลอยมาตามลม ดีนหันไปเห็นหญิงสาวในชุดสีดำยาวพลิ้ว ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสงราวกับดวงดาวกลางรัตติกาล นิลมณี กำลังยืนอยู่บนผืนน้ำแสงเช่นเดียวกับเขา“ผม...ยังไม่ตายสินะ” เขายิ้มแผ่ว ๆ“คุณไม่ตาย เพราะฉันดึงคุณมาที่นี่ก่อนที่พลังของฮู่ลี่จะกลืนไปหมด” เธอตอบด้วยเสียงสงบ แต
“นิลมณี...” เสียงของเขาแผ่วเบา ราวกับลมหายใจที่หลุดจากอกอย่างยากเย็นร่างของหญิงสาวในชุดดำสนิทย่างก้าวออกมาจากหมู่ปีศาจที่แหวกทางให้ เส้นผมดำยาวสะบัดตามแรงลม ดวงตาสีมรกตคมลึกจับจ้องชายตรงหน้า ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่เป็นสายตาของความรัก สายที่บ่งบอกว่าจำต้องเผชิญหน้าในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้“ดีน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ เสียงนั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น“เธอ...เป็นปีศาจจริงๆงั้นเหรอ” คำถามที่เปล่งออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ มีทั้งความผิดหวังและไม่อยากเชื่อผสมอยู่นิลมณีไม่ได้ตอบในทันที เธอเพียงก้าวเข้าไปทีละก้าว ฝ่าฝูงปีศาจที่ยังคงยืนจ้องมองอย่างระแวดระวัง เพราะทุกตนต่างรู้ดีว่านางแมวผู้ถูกขนานนามว่า ราชินีปีศาจ นั้น ไม่ใช่ปีศาจธรรมดา“ฉันไม่เคยคิดจะปิดบัง...” เธอพูดในที่สุด “แต่ฉันรู้ว่าคุณจะรับมันไม่ได้ โลกของคุณกับฉัน มันต่างกันเกินไป”“แล้วที่เธอทำทั้งหมด...ก็เพื่อดวงจิตในตัวฉันใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาเย็นลง ดวงตาแดงฉานเริ่มปรากฏอีกครั้ง “เพื่อพลังปีศา
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ







