LOGINเช้าวันต่อมา แสงแดดทอดผ่านช่องหน้าต่างกระทบเรือนเบา ๆ จนเกิดไอละมุนบนขอบไม้ ไม่มีเสียงทหารเดิน ไม่มีเสียงจากอาวุธ มีเพียงกลิ่นหอมบาง ๆ ของขิงอ่อน กับกลิ่นซุปกระดูกที่เคี่ยวช้า ๆ ในครัวด้านใน
ไป๋หลินในชุดผ้าไหมเรียบง่าย แขนเสื้อถูกรั้งขึ้นสูง มือเล็กจับมีดหั่นผักมั่นคง ไม่ได้งดงามราวภาพวาดในวัง แต่ดวงตาเธอ… กลับมีประกายที่ต่างไปจากทุกวัน
เพราะวันนี้ เธอไม่ได้ทำเพื่อเอาตัวรอดไม่ได้ทำเพราะ เขาบังคับ เธอกำลัง “ลงมือปรุง” อาหารเช้าให้ชายผู้หนึ่ง… ที่ไม่เคยมีใครบอกเขากินข้าวให้ตรงเวลา
"เขาไม่ชอบรสจัด…" เธอพึมพำ ขณะตักน้ำแกงขึ้นชิม
"ตอนกินมื้อก่อน เขาหยุดคิ้วตอนข้าปรุงเผ็ดเกิน"เธอเปลี่ยนพริกเป็นพริกหอมใส่ผักน้อยลงซอยขิงบางคั่วปลาให้กรอบแต่ไม่ไหม้แล้วจัดเรียงทุกอย่างลงถาดเอง ไม่ให้สาวใช้แตะ
"เอาไปวางไว้ที่โต๊ะในเรือนห้องตำราของนายท่าน" เธอสั่งสาวใช้อย่างนุ่ม" และอย่าเอ่ยว่านี่ข้าทำ"
"เจ้าคะ?"
"...ข้าไม่อยากให้เขาคิดว่าข้าทำเพื่อตอบแทน" เพราะจริง จริงแล้ว เธอทำเพราะรู้ว่าเขาจะยุ่งจนลืมทานข้าวเช้าเสมอ ลืมกระทั่งน้ำชา ลืมว่าตัวเองต้องพัก และแค่เธอไม่อยากให้เขาต้องลืมอีก
สายหน่อย เขาเปิดประตูเรือนหนังสือกลิ่นหอมจาง ๆ
ของขิงอ่อนปะทะจมูกเขาทันทีเขาขมวดคิ้ว เดินเข้าไปแล้วเห็นถาดไม้วางอยู่ตรงโต๊ะปลาคั่ว ซุปกระดูกร้อน ข้าวสวยหุงขึ้นหม้อ ถ้วยชาวางข้างๆ
“ใครเป็นคนจัด?” เขาถามลูกน้องในเงา “ขอรับ… สาวใช้บอกว่าเป็นคำสั่งของนายหญิง”
หยางเซวียนชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งลงไม่พูดอีก แต่…ลงมือกินช้า ๆ มือเขาหยิบตะเกียบจุ่มในซุปจิบแล้วชะงัก ไม่เค็ม ไม่จืดกลมกล่อมแบบที่เขาชอบ… แบบที่เขาไม่เคยพูด ให้ใครฟัง
เขาวางตะเกียบลง นิ้วแตะขอบถ้วยเบา ๆ แล้วในหัวเขากลับมีภาพหญิงสาวในชุดเรียบง่ายยืนหั่นผักโดยไม่เงยหน้าขึ้นในครัวไม้ที่แสงเช้าสะท้อนหน้าเธอเล็กน้อยริมฝีปากไม่ได้ยิ้ม… แต่สายตานุ่มนวลราวกำลัง “ใส่ใจ” ใครบางคนจริง ๆ
ในเรือนของเธอไป๋หลินนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างโต๊ะไม้สน.. สมาธิอยู่กับพู่กันเขียนตัวอักษรเล่นบนกระดาษ เธอเขียนคำว่า “ใจ” แล้วลบเขียนคำว่า “กินข้าว” แล้วลบแล้วเขียนว่า
“มีคนที่ข้ารู้ว่าเขาจะลืมดูแลตัวเอง…ข้าเลยอยากทำให้เขาหยุดมือจากงาน แล้วเงยหน้ามองว่ามีใครสักคนยังรอ ให้เขากลับมาเสมอ”
เธอไม่ได้ส่งจดหมายนั้นไม่ได้บอกใคร แค่พับกระดาษเก็บไว้ใต้กล่องเครื่องเขียน แต่ระหว่างที่วางมือลง หัวใจของเธอกลับเต้นแรง... ชัดเจนไม่มีร้อนรุ่ม ไม่มีความเร่าร้อนรุนแรง มีเพียงบางอย่างที่ยังไม่กล้าบอกตัวเองว่า…กำลังหวั่นไหว มีเพียงความ “อบอุ่น” ที่ซึมเข้าลึก…จนเธอไม่รู้ตัวว่ากำลังเรียกมันว่า “ความรัก”
ใต้ร่มองุ่น หญิงสาวนั่งใจลอย… กับบทนิยายที่เริ่มเดินตามหัวใจเธอ ไม่ใช่น้ำหมึกของนักเขียน
แดดบ่ายร่วงหล่นลอดซุ้มเถาองุ่นอ่อนสายลมแผ่วเบาทำให้ใบไหวสั่นเงียบงันเสียงแมลงกระทบซุ้มไม้ดังหริ่ง ๆ เป็นจังหวะเดียวที่ขับกล่อมเรือนสงบนี้
ใต้ร่มรำไรนั้น ไป๋หลินนั่งนิ่งมือวางบนเข่าทั้งสองข้าง สายตาเหม่อผ่านกลีบเถาออกไปไกลจนสุดสวน
เธอไม่ได้นอนกลางวัน ไม่ได้อ่านหนังสือไม่แม้แต่จะยกชาจิบ เธอแค่… “จมในความคิด” คิดถึงสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริงแต่กลับเกิดขึ้น
โลกนิยาย
ที่เธอเคยอ่านอย่างหัวร้อน ที่เธอเคยสาปแช่งนักเขียน
ที่เธอเคยด่าว่านางเอกไร้หัวใจที่เธอรู้ตอนจบทุกบรรทัด… แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครเขียนต่อให้อีกแล้ว“ฉันยังไม่ตาย” เสียงเธอแผ่วจนแทบหลอมรวมกับสายลม
“ในบทมันเขียนไว้ว่า… ภายในสามวัน ฉันต้องจะโดนวางยาแล้วจากนั้น… ชายอีกหกคนจะทยอยเข้ามา บทนั้นมันโหดร้ายแต่ก็ชัดเจนเหลือเกิน"
เธอกัดริมฝีปากมองมือข้างหนึ่งของตัวเองที่ยังมีรอยขีดจากการจัดสวน แต่ตอนนี้…ผ่านมาหลายวันแล้ว
ฉันยังอยู่ในจวน ยังไม่ได้ตายยังไม่ได้เจอสามีคนใหม่ และหยางเซวียน… ก็ยังไม่ได้ ‘ทิ้งฉัน’ อย่างที่เขาทำเหมือนในต้นฉบับ
เธอเงียบไปอีก ก่อนจะพูดแผ่วกว่าเดิม
“…แล้วนางล่ะ” นางเอกตัวจริงหญิงสาวจากบทที่สมควรจะมาแทนฉัน…นางหายไปไหน?”
เธอหันหน้าขึ้นเล็กน้อยสายตาสั่นไหว… ไม่ใช่เพราะกลัว
แต่เพราะเธอเริ่มสงสัยว่าในโลกนิยายที่พังทลายไปจากเส้นเรื่องตัวละครเอก… คือใครกันแน่
เธอลุกขึ้นช้า ๆ เดินผ่านทางเดินไม้กลับไปเรือน
มือแตะขอบประตูเบา ๆ ขณะหันกลับมามองซุ้มองุ่นอีกครั้ง“…ฉันยังต้องเจอสามีอีกหกคนหรือเปล่า หรือว่า ฉันจะต้องเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด…ด้วยมือของตัวเอง”
และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องราวนี้จะไม่มีผู้ชายทั้งเจ็ดคนเธอภาวนาในใจ ขอแค่มีแค่หยางเซวียนคนเดียว…และหัวใจของเธอที่เริ่มเต้นให้เขาเกินกว่าที่นักเขียนคนนั้นเคยจินตนาการไว้
เมื่อชีวิตจริงเริ่มต้น… และหัวใจยังคงจำเขาได้แม้ไม่มีเวทมนตร์หรือคำสาปใดหลงเหลืออยู่เสียงเครื่องวัดชีพจรดังติ๊ก… ติ๊ก… สม่ำเสมอ กลิ่นยาแผ่วจางในอากาศม่านสีฟ้าอ่อนข้างเตียงไหวเบาสายลมจากหน้าต่างบานเล็กพัดเข้ามา พร้อมเสียงใบไม้ไหวไกลๆหลี่เหยาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้ง แขนเธอ มีสายน้ำเกลือ ข้างเตียงวางมือถือของเธอที่ยังเปิดหน้าจอนิยายที่ขึ้นว่า THE ENDเธอกะพริบตาหลายครั้ง หอบลมหายใจ เหมือนตื่นจากฝันที่ยาวนานจนนับเวลาไม่ได้“เธอน็อคเพราะทำงานหนักเกินไปค่ะ หมอวินิจฉัยว่าอ่อนเพลียขั้นรุนแรง และร่างกายพักผ่อนผิดสมดุล” โชคดีที่เพื่อนของเธอส่งเธอมาโรงพยาบาลทันเสียงพยาบาลพูดกับใครบางคนหน้าห้อง เธอฟังอย่างเลื่อนลอยก่อนจะมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา และทันทีที่เขาเปิดม่านเตียงออก… เธอก็แทบลืมหายใจชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์สีขา
ดวงตาเธอกระตุก มือที่เคยแน่น กำแน่นขึ้นอีกครั้ง เสียงพิณหยุด กลีบโบตั๋นที่ปลิวในฝันค้างกลางอากาศ และเสียงสุดท้าย แผ่วลงเหนือข้างหูเธอ ราวกับกล่าวจากใจถึงใจ“เจ้าชนะคำสาปแล้ว ลี่เหยา ได้เวลาตื่นจากนิยายเสียที”เปลือกตาเธอเปิดช้าช้า หินใต้แผ่นหลังเย็นเยียบ อากาศรอบตัวหนักแน่นจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้เองเบื้องหน้าคือชายชุดนักพรต ผ้าคลุมสีหมอก เปื้อนโลหิตจาง มือเขายื่นมารองท้ายทอยเธอเบา ๆ“…โม่อวี้…” เสียงเธอแผ่ว “เจ้าจำชื่อลี่เหยาได้อย่างไร…”เขามองเธอ นิ่ง และตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความจริง“ข้าจำเจ้า… ไม่ใช่เพราะเจ้าชื่ออะไร แต่เพราะ… ไม่ว่าเจ้าจะใช้ชื่อไหนเจ้าคือ ‘หญิงเดียว’ ที่ข้าเฝ้ามองจากโลกทุกใบ”แสงแห่งคำสาปจางลงเหมือนม่านหมอกเช้าตรู่ กลิ่นเลือด กลิ่นกลีบบุปผา และเสียงสายพิณที่เงียบลงไปแล้ว คงอยู่เพียงในห้วงใจไป๋หลินทรุดลงบนเข่าข้างหนึ่ง
ทุกอย่างคือความเงียบขาว ขาวจนเจ็บตาขาวจนเหมือนกลืนเธอเข้าไปทั้งร่าง ขาวจนไม่มีแม้คำว่า “ฉัน” หรือ “เธอ” หลงเหลือไป๋หลิน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ว่าตัวเองหลับหรือตื่นร่างเธอล่องลอยอยู่กลางความนิ่ง เหมือนถูกปลดปล่อย…แต่หัวใจกลับยังแน่น แน่นจนเจ็บเธอพยายามขยับ แต่แขนไม่มี ขาไม่มีมีเพียง “ความรู้สึก” ว่าเธอขาดบางสิ่งที่สำคัญมากและในความว่างนั้น เธอเริ่มร้องไห้ ไม่มีเสียง ไม่มีน้ำตา แค่ความเจ็บที่ปริแตกจากกลางอกกระจายช้า ๆ เหมือนลมหนาว“ข้า… อยู่คนเดียวหรือ?”เสียงเธอไม่ดังแม้ในใจตนเอง และเมื่อคำถามนั้นดังขึ้น ลมหายใจรอบกายเปลี่ยนไปเหมือนอากาศสูดกลับเหมือนโลกจำเธอได้อีกครั้งแสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านไม้ไผ่ในเรือนชา กลิ่นขนมงาปิ้งอุ่นลอยมาจากเตา ต้นโบตั๋นริมหน้าต่างเพิ่งผลิบาน...แต่เสียงพิณที่ดังอยู่ใต้ต้นไม้นั้น กลับขับกล่อมอะไรบางอย่าง ที่บาดลึกกว่ากลีบดอกไม้ เสียงสายดีดช้า เนิบนุ่ม แล้วจบลงอย่างเงียบงันหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ใต้ศาลาริมน้ำ ยกชาขึ้นจิบช้า
เขาถอนกายออกอย่างรวดเร็ว ปลายลำยังแข็งโด่ เต้นตุบ ๆ เหมือนปีศาจที่หิวไม่หยุด เขารวบสะโพกเธอไว้ กระชากร่างเธอขึ้นจากพื้นแล้วพลิกให้นอนคว่ำ หน้ากดลงกับพรมเธอครางแผ่ว “มะ…ไม่ไหวแล้ว…ได้โปรด…ข้า…”“ไม่ต้องขอ ข้าจะ เอาเจ้าให้ขาด” เสียงเขาแหบพร่าเต็มไปด้วยปราณแตกซ่าน มือเขาจับสะโพกกลมกลึงไว้แน่น แล้ว อัดแก่นกายเข้าด้านหลัง อย่างแรงไม่มีหยั่ง!ตั่กกก!!“อ๊าาาาาาาาาาาาา!!”ร่างเธอกระตุกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต หัวจิกพื้น ผ้าห่มขาดติดเล็บ แขนสั่นเทา น้ำตาไหลพราก แต่ปากยังครางซ้ำไม่หยุดปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!เสียงเอวเขากระแทกกับสะโพกเธอดังจนเทียนล้มไปอีกเล่ม เนื้อในเธอ ตอดรัดหนักจนแก่นเขาสั่น ฮั่นซูกัดฟันกรอด ปลายมือสั่นแทบหลุดสติ เขาตบก้นเธอเต็มแรงซ้ายขวา“ข้า…จะ…แตกแล้ว…”เขาโน้มตัวลง คร่อมบนแผ่นหลังเธอ ลมหายใจร้อนกรุ่นบนต้นคอ มือข้างหนึ่งยกขาเธอขึ้นสูงกว่าเดิมจนเปิดทางให้เขาเสียบลึกขึ้
หลังพิธี…ที่ควรจบลง แต่เขาไม่ยอมให้จบ สามีคนที่ 6 ของนางเอก…และราตรีที่ลมหายใจยังไม่ทันจางร่างของเธอยังคร่อมอยู่บนตักเขาเรียวขาเกร็งเบา ๆ ต้นขาแนบชิดสะโพกเขาอย่างลืมตัว ลมหายใจยังถี่ เหงื่อยังซึมหลัง แผ่นอกยังแนบอกเขาแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจซ้อนกันเมื่อครู่…หัวใจเธอล่องอยู่ในอดีต เสียงกระซิบครางพร่าในฝัน เสียงที่บอกชื่อเขา"ฮั่นซู" ยังลอยในหู มือที่เคยแตะเธอในความมืด สะโพกที่เคยกระแทกเธอทุกค่ำคืน กลิ่นกายของเขา ลมหายใจของเขา…ทุกอย่างกลับมาทั้งหมด…และเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยังอยู่ตรงนี้ฮั่นซูยังนั่งอยู่ใต้เธอ มือใหญ่ประคองเอวเธอไว้ ลำกายเขายังอยู่ในตัวเธอ แข็ง ร้อน จนรู้สึกชัดทุกการเต้น และสายตาเขา…ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย"เจ้า…" เขากระซิบพร่า "ยังแน่นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา…หลัน"มือเล็กกำไหล่เขาแน่นกว่าเดิม กายยังสั่น…แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวเธอรู้แล้ว นี่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป และราตรีนี้…ยังไม่จบเลยด้วยซ้ำเธอยังคร่อมตักเขาอย
ในฝัน เขารวบขานางขึ้นพาดเอวแล้วกระแทกเข้ามาแรงขึ้น ตับ! ตับ! เสียงเขาดังชิดข้างหู“ข้าจะให้เจ้าจำร่างกายข้าได้…แม้แต่ในฝัน”เขาขยับเอวแรง ความร้อนพุ่งขึ้นสันหลัง มือเธอจิกบ่าเขาไว้เขากระซิบ เสียงแหบต่ำ ริมฝีปากกดลงข้างหูเรียกชื่อข้า “…ฮั่นซู…” เธอหอบ มือสั่นเขากดสะโพกเข้ามา ช้า ลึก แน่น เธอร้องออกมา เสียงดังกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะครั้งนี้—เธอ รู้ว่าใครกำลังครอบครองเธอสะโพกเขาขยับ แต่ไม่รีบร้อน เขาจูบนางทุกแห่ง หน้าอก ข้อมือ เอว แผ่นท้อง กลางอกมือเขาทาบหน้าเธอขณะกระแทกเข้า ดวงตาเธอจ้องเขาแน่น ไม่มีฝัน ไม่มีคาถามีแค่ นางกับเขา กับความจริงที่ทุกสัมผัสย้ำซ้ำให้ตลอดหกคืนร่างเปลือยเปล่าของเธอสั่นระริก ร่องรอย การครอบครองยังอ่อนแดงบนต้นขาแต่ภายใน...ยังคงมี บางสิ่งที่กัดกินอยู่ฮั่นซูนั่งลงข้างนาง ลมหายใจเขาเริ่มเร่ง แต่ไม่ใช่เพราะราคะอีกต่อไป คือแรงปราณที่กำลังลุกวาบจากจุดชีพจรทั้งเจ็ดมือข้างหนึ่งของเขายกขึ้น นิ้วแตะกลางอกเธออีกมือแนบหน้าท้องแ







