“ข้าช่วยเหลือท่านเพียงนี้แล้ว สมควรจะตื่นฟื้นขึ้นมาตอบแทนบุญคุณข้าบ้าง” น้ำเสียงหวานพูดพึมพำแผ่วเบาราวกับว่ากำลังกระซิบกระซาบกับเฝิงอวี่เซี่ยนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า
แม้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมานั้น เฝิงอวี่เซี่ยนรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้แต่ร่างกายของเขายังคงแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนกายใดๆ ไร้วี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา นางเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลี่จื่อหนิงเอาแต่นั่งเฝ้าเขามาตลอดทั้งคืน เกรงว่าหากเฝิงอวี่เซี่ยนฟื้นขึ้นมาแล้วไร้ผู้ใดอยู่เคียงข้าง อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นใบหน้าคนงามจึงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ขอบตาหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด “หากท่านคิดจะตายจริงๆ ล่ะก็…ข้าจะไปลากตัวกลับมาจากปรโลกให้ดูเฝิงอวี่เซี่ยน!” หลี่จื่อหนิงพูดด้วยความจริงจัง ข้าช่วยชีวิตท่านไว้…ต่อจากนี้ชีวิตของท่านไม่ใช่ของท่านแต่เป็นของข้า หากข้าไม่อนุญาต…ท่านไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตาย! แอ๊ด… ในจังหวะเดียวกันนั้น ประตูถูกผลักออกเผยให้เห็นบุรุษผู้นั้นในอาภรณ์ขุนนางก้าวเข้ามา หลี่จื่อหนิงกระพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วมุ่นสายตามองเขาอย่างงุนงง เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่อีก…!? หากจำไม่ผิดนั้น ในนิยายที่ไม่ได้กล่าวถึงบุรุษผู้นี้มาก่อนแน่มิหนำซ้ำยังไม่ได้ปรากฏอยู่ในเรื่องราว ตอนที่รู้ตัวว่าทะลุมิติเข้ามา นางไม่มีเวลาคิดสิ่งใดนอกจากช่วยเหลือเฝิงอวี่เซี่ยนเอาไว้ให้ได้ พอนึกเรื่องนี้นั้น… แท้จริงแล้วนางคือผู้ใดกันและบุรุษตรงหน้านี่เล่า…ไฉนถึงได้โผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยครั้งนัก ใบหน้าคนงามฉายแววครุ่นคิดหนักออกมาอย่างชัดเจน พอหลี่จางเหว่ยเห็นแล้วก็พลันถอนหายใจออกมา เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เป็นอย่างไร…ตายหรือไม่” น้องสาว! “ท่านคือผู้ใดกัน!” ถ้อยคำเมื่อครู่นี้ไม่ได้เข้าโสตประสาทของนางเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนเอ่ยถามออก ใช่! เมื่อวานนี้บุรุษกล่าวกับนางว่าเป็นน้องสาวของเขา สตรีผู้นี้เป็นอันใดไปเสียแล้ว! หลี่จางเหว่ยชะงัก ใบหน้าของเขาขมวดมุ่น หากว่ากันตามตรงแล้วนั้น ตั้งแต่เมื่อวานเขาก็สังเกตเห็นว่าน้องสาวผู้นี้ดูแปลกไปไม่น้อยทว่ากลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด “เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือจื่อหนิง” หลี่จางเหว่ยเลิกคิ้วเอ่ยถาม เกรงว่าหากนางกล่าวความจริงไปว่าแท้จริงแล้ว น้องสาวของเขาได้ตายจากไปแล้วส่วนนางเป็นวิญญาณจากโลกอื่นที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ คาดว่าหลี่จางเหว่ยคงได้ตราหน้านางว่าสติฟั่นเฟือนไปแล้วเป็นแน่ๆ! จื่อหนิงลุกขึ้นก่อนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย สายตาจับจ้องเขาแน่วแน่ “ข้าถามว่าท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนถึงชอบพูดจาอ้อมค้อมนัก” ส่วนประโยคหลังลดระดับเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย หลี่จางเหว่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าฉายแววเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างชัดเจน “วันนี้ข้ามีประชุมที่วังหลวงกว่าจะกลับก็คงตอนพลบค่ำ ระหว่างนี้อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายหรือพาคนแปลกหน้าเข้าจวนมาอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาคล้ายกับกำลังออกคำสั่ง อีกแล้ว! เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงได้ชอบเฉไฉเลี่ยงคำตอบอยู่เรื่อย! หากบอกมาตรงๆ ตั้งแต่แรกก็จบเรื่องไปแล้วมิใช่หรือ..? จื่อหนิงยืนกอดอก หรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด “เหอะ! อย่าได้คิดว่าจะออกจากที่นี่ไปได้ หากยังไม่ตอบข้ามาว่าท่านเป็นใครกันแน่” หลี่จางเหว่ยถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สีหน้าฉายแววไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เกรงว่าหากไม่รีบบอกไปนางคงคาดคั้นไม่เลิกจนเขารำคาญเป็นแน่ “หลี่จางเหว่ย” เขาเอ่ยเสียงเรียบไร้อารมณ์ “แล้วเป็นผู้ใดกัน” “พี่ชายของหลี่จื่อหนิง” “…” พอได้ยินประโยคนี้ นางเงียบไปครู่หนึ่ง เช่นนี้ก็หมายความว่าเธอคงทะลุมิติมาอยู่ในร่างของตัวประกอบผู้หนึ่งเช่นนั้นหรือ…? ที่สำคัญชื่อยังคล้ายกันถึงเพียงนี้ “เช่นนั้น…หลี่จื่อหนิงก็คือข้างั้นรึ” น้ำเสียงหวานพูดพึมพำ ยามนี้ภายในใจของหลี่จางเหว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ที่นางเป็นเช่นนี้เพราะความผิดของเขาที่ตามใจมากเกิดไปเองขอรับ หลี่จางเหว่ยกล่าว “เจ้าเป็นน้องสาวผู้เดียวของข้า” หลี่จื่อหนิงเงยหน้ามองกระพริบตาปริบๆ เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “ท่านรวยหรือไม่” มีโอกาสทะลุมิติมาทั้งที่นางขอใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต้องกังวลเรื่องเงินและความเป็นอยู่ได้หรือไม่…สวรรค์ “หากเจ้าไม่คิดแต่งงานหรือไปอยู่กับผู้ใด ข้าสามารถดูแลเจ้าให้มีชีวิตที่สุขสบายตลอดไป” หลี่จางเหว่ยรับปากกับบิดามารดาไว้แล้วไม่ว่าเรื่องใดจะเกิดขึ้น เขาย่อมสามารถปกป้องน้องสาวผู้นี้เอาไว้เสมือนไข่มังกรอันล้ำค่า แต่ทว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดนั้นกลับทำให้หลี่จางเหว่ยรู้สึกผิดกับคำพูดของตนเองไม่น้อย ตอนที่เขาต้องเข้าในวังหลวง…จะมีผู้ใดรู้ว่าสตรีที่ดื้อรั้นเช่นนี้จะสร้างเรื่องขึ้นมาได้ขนาดนี้ แม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้คอยตามติดอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างแต่ หลี่จื่อหนิงติดสินบนและข่มขู่จนบ่าวรับใช้ยังต้องปิดปากเงียบ พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่จางเหว่ยพลันส่ายหัวอย่างหน่ายใจ หลี่จื่อหนิงย่อมทำเรื่องที่คาดไม่ถึงได้เสมอ จากการที่ออกไปซื้อเพียงแค่ชาดทาปากเท่านั้นแต่กลับสามารถมีเรื่องไปในตลาดหรือแม้กระทั่งตอนไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหนสักแห่งดันไปมีเรื่องกับคุณหนูบ้านอื่นๆ พูดจาถากถางด้วยถ้อยคำเหน็บแนมราวกับว่ารู้จักอีกฝ่ายมาก่อน หากพูดถึงนิสัยของน้องสาวผู้นี้คงจะพูดได้ทั้งวันก็ไม่จบ! ว่ากันตามตรงแล้วไม่มีบุรุษใดจะเข้าใจนางได้นอกจากพี่ชายผู้นี้แล้ว หลี่จื่อหนิงพอจะเข้าได้ นางสังเกตจากรูปโฉมของบุรุษผู้นี้ก็สามารถบ่งบอกได้ถึงฐานะ มิหนำซ้ำจวนยังหลังใหญ่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่มากมายถึงเพียงนี้ก็เปรียบเสมือนการโอ้อวดฐานะแล้ว นางพนักหน้าหงึกๆ หัวเราะคิกคักออกมาอย่างอารมณ์ดีเห็นทีว่าในชาตินี้นางสุขสบายมีเงินให้ใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะขออยู่กับท่านไปตลอดชีวิตไม่มีเรื่องบุรุษให้คอยกวนใจต้องปวดหัวได้หรือไม่” หลี่จื่อหนิงกล่าวออกมาเสียงหวานราวกับกำลังออดอ้อน หลี่จางเหว่ยได้ยินพลันแค่นเสียงเย้ยหยันออกมา “เหอะ!” วันก่อนนั้นยังเอาวิ่งเฉิงอี้หยางอยู่ไม่ใช่หรอกหรือ!? นิสัยคนเราไฉนจะเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดาย “ข้าพูดจริงๆ นะ” “เอาเถอะ…อย่าทำตัวให้วุ่นวายก็พอ” คุณชายเฉิงกับภรรยาแต่งงานกันได้เพียงวันเดียวเท่านั้นแต่ไฉนวันนี้กลับมีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง เหล่าสาวใช้ในเรือนที่ได้ยินต่างพากันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย กว่าคนทั้งสองจะได้ร่วมกราบไหว้ฟ้าดิน ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ…ประหนึ่งกับว่าต้องผ่านด่านเคราะห์ครั้งใหญ่จนลุล่วงไปหมดสิ้น ต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกันทว่าแล้วเหตุใดพอแต่งงานได้ไม่ทันไรจึงเกิดเรื่องวิวาทกันเสียแล้ว เหตุพอแต่งงานได้ไม่ทันก็เกิดมีเรื่องทะเลาะกันแล้ว…? เจียงชุนหลินยังคงนั่งอยู่ริมหน้าต่างปักผ้าอยู่ราวกับไม่รู้สึกและไม่ได้ยินอันใด พอเห็นอีกฝ่ายนึกเฉยเสแสร้งไม่ได้ยินเช่นนี้ ภายในใจของเฉิงอี้หยางยิ่งโมโหเดือดดาลเต็มไปด้วยโทสะคับอก เขาถอนหายใจออกมายาวเฮือกหนึ่งราวกับข่มอารมณ์ไว้ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียก “ข้าถามว่าเจ้ายังจะไปหามันผู้นั้นอีกอยู่หรือเจียงชุนหลิน” มือของนางที่กำลังปักผ้าอยู่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย น้ำเสียงหวานกล่าวอย่างไรไร้อารมณ์ “ไม่ทราบว่ามันผู้นั้นที่คุณชายเฉิงกล่าวถึงคือผู้ใดงั้นหรือเจ้าคะ” เหตุการณ์เมื่อวานทำให้นางผิดหวังในตัวเฉิงอี้หยางไม่น้อย ทั้งโกรธและโมโห แต่เฝิงอวี่เซี่ยนก็ไม่สมควรถูกทำร้ายปานตายถึงเพียงนั้น หากมีเรื่องอันใดไฉนไม่พูดจากันดีๆ เล่า เฉิงอี้หยางถอดหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเบนเบี่ยงสายตาหันหนีไปต่างอีกพยายามข่มสติอารมณ์ไม่ให้ปะทุออกมา “…” ใบหน้าของนางพลันระบายยิ้มจางๆ “เพราะเหตุใดท่านถึงขั้นต้องลงทำร้ายเขาด้วยเฉิงอี้หยาง” เฉิงอี้หยางแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาคมกริบฉายแววไม่พอใจ เขาหันหน้ากลับมามองนาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“เหอะ! เจ้าเป็นห่วงมันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” “เพราะเฝิงอวี่เซี่ยนไม่สมควรถูกกระทำเช่นนี้อย่างไร” เจียงชุนหลินออกไปเสียงแข็ง นัยน์ตาคู่งามฉายแววความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เฉิงอี้หยางเห็นแล้ว มุมปากหนาค่อยๆ โค้งยกยิ้มด้วยความเย้ยหยัน ภายในใจยิ่งเดือดดาลนักไม่พอใจอยู่มาก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นมีน้ำหนักในใจของนางเพียงใด! “อย่าลืมว่ายามนี้เจ้ามีสามีแล้วเจียงชุนหลิน” เขากล่าวเสียงเรียบราวกับว่ากำลังตอกย้ำนาง ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร เฉิงอี้หยางย่อมรู้อยู่แก่ใจ เขาไว้ใจนางแต่ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเรื่องบางเรื่องในใต้หล้านี้ หากพลาดไปแล้วก็พลาดไปเลย ไม่สามารถหวนคืนย้อนกลับไปแก้ไขได้…ความรู้สึกของนางเองก็เช่นกันแม้วันนั้นเฉิงอี้หยางจะเอ่ยปากขอโทษจากใจจริงแล้วทว่าอย่างไรกัน มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?เจียงชุนหลินให้อภัยได้แต่ไม่สามารถลืมลงได้ ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจมันยากที่จะขจัดออกไป “ทำอันใดอยู่หรือ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะสวมกอดภรรยาจากทางหลัง ใบหน้าของเฉิงอี้หยางฉายแววหมองคล้ำออกมาอย่างชัดเจน ภายในใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้ถึงแม้เจียงชุนหลินจะพูดคุยกับเขาเช่นเดิมแล้วอย่างไรกันแต่เฉิงอี้หยางกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเจียงชุนหลินตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรายสายตาเหลียวไปมองก่อนน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ท่านทำอันใดหรือ”“ข้ากอดภรรยาไม่ได้งั้นหรือ”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้กันนางวางผ้าที่กำลังปักลงจากนั้นจึงค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย นัยน์ตาของนางสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาอย่างเย็นชา “คราวหน้าหากทำให้ข้าตกใจแบบนี้อีก…เกรงว่าข้าคงต้องโดนเข็มทิ่มตำจนเลือดออกแน่”เฉิงอี้หยางได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจ
“อืม…ชาดี”หลี่จื่อหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม ไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกน้ำชาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงหยิบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนขึ้นมากัดหนึ่งรสชาติหวานมันละลายในปาก จนใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างออกมาจนถึงดวงตาเฝิงอวี่เซี่ยนมองดูภาพตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ ราวกับว่ากำลังสังเกตอีกฝ่าย“มีอีกหรือไม่…?” หลี่จื่อหนิงเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ชัดเจน ในขณะที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปากอย่างไร้มารยาท แก้มทั้งสองตุ้ยอัดแน่นเต็มไปด้วยขนมขนมรสเลิศถึงเพียงนี้... นางอยากห่อกลับบ้านเสียจริง!เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”แม้ว่าเฝิงอวี่เซี่ยนพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนางของสตรีตรงหน้านี้อยู่บ้างทว่ากลับไม่เคยพูดคุยเลยแม้แต่สักครึ่งคำ น่าแปลกนักเหตุใดนางถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนไฉนถึงได้มายุ่งข้องเกี่ยววุ่นวายกับเขา…!?ใบหน้าหล่อเหล่าของเฝิงอวี่เหว่ยขมวดคิ้วมุ่นเต็มไปด้วยความสงสัย…สตรีผู้นี้ไว้วางใจได้และไร้เดียงสาอย่างที่ตาเห็นจริงๆ งั้นหรือพอได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ นางพลางเคี้ยวขนมก่อนกลืนจะลงคอแล
หานมู่เฉินพลันมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินพ้นขอบประตูเข้ามา ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วแน่นท่าทางครุ่นคิด สายตาทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหตุใดเขาถึงมองเห็นเป็นบุรุษผู้นั้นกันหรือคงตาฝาดไปเองทว่าในจังหวะนั้น…หานมู่เฉินกลับลุกพรวดขึ้นทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินด้วยความเร่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงอวี่เซี่ยนด้วยท่าทีร้อนรน“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงความรู้สึกปะปนระหว่างตื่นเต้นกับโล่งอกเอาไว้หานมู่เฉินไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่างคล้ายกับสำรวจอีกฝ่ายให้แน่ใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพิ่มเติมจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแม้ว่าเหตุการณ์ที่เฝิงอวี่เซี่ยนถูกเฉิงอี้หยางใช้คมดาบแทงลึกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในคืนวันแต่งงาน แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้และหลังจากนั้นจู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหานมู่เฉินก็ทำใจไว้แล้วว่า รออีกวันสองวันคงต้องขุดหลุมฝังโลงเปล่าไว้รอรับร่างของเฝิงอวี่เซี่ยน ว่ากันตรงแล้วมีผู้ใดบ้างไม่ต้องการหมายจะเอาชีวิตคนผู้นี้ยิ่งเขามีสภาพอ่อนแอไร้หนทางสู้ก็เสมือนกับว่าโอกาสรอดยิ่งริบหรี่แม้แต่บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั
ณ จวนสกุลเฉิงภายหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับยิ่งห่างเหินกว่าตอนจะก่อนแต่งงานเสียอีกเจียงชุนหลินที่เอาแต่ปักผ้าตลอดทั้งวันไม่สนใจสิ่งใด ในขณะที่เฉิงอี้หยางที่เอาแต่นอนออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง คล้ายกับกำลังจงใจหลบหน้านาง กว่าจะกลับจวนอีกครั้งก็พลบค่ำ นางก็เข้าเรือนนอนไปแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้ในเรือนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจะขยับตัวทำสิ่งใดก็รู้สึกหวาดระแวงไปเสียหมด“ข้าขอโทษ…เป็นเพราะวันนั้นข้าใช้อารมณ์มากเกินไปจึงพูดจาเช่นนั้นออกมา” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเขาไม่ชอบที่ต้องเห็นนางเป็นเช่นนี้วันนี้เฉิงอี้หยางจงใจรั้งอยู่ที่จวน เขาตื่นสายกว่าทุกวันเล็กน้อยเพื่อจะพูดคุยกับภรรยาทว่าเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาเอาแต่ล้างหน้า บ้วนปาก และเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา จนกระทั่งมื้อเช้าเสร็จสิ้น เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนสายตาคมกริบเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆพอได้ยินถ้อยคำนี้ เจียงชุนหลินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางวางช้อนลงบ
หลายวันผ่านไป…ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดหรือแม้แต่ทำสิ่งใดก็มักจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา คราแรกเขานั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเฉยชาหากสตรีผู้นี้คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะ เขาหาได้ใส่ใจไม่เฝิงอวี่เซี่ยนนอนเอนกาย หลับตาลงผ่อนคลาย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมา...นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?เกรงว่าคงเกือบสิบปีได้แล้วกระมัง นับตั้งแต่จวนสกุลเฝิงประสบเคราะห์อันน่าหวาดกลัวนับตั้งแต่นั้นมาเฝิงอวี่เซี่ยนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไร้พ่อแม่ให้พึ่งพิง ไร้ญาติสนิทมิตรสหายที่จริงใจ ผู้คนรอบกายล้วนถือมีดซ่อนไว้เบื้องหลังหากเขาพลาดเมื่อไหร่ก็พร้อมจะลงมือ สายตานับสิบคู่จับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าวและแม้ว่าจะได้กินอิ่มแต่ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจนกระทั่งสองสามปีมานี้…ราวกับสวรรค์ลิขิตให้เขาได้พบเจียงชุนหลิน นางคือคนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขาโดยมิได้คาดหวังสิ่งมดทั้งสิ้น ทว่าหากสวรรค์ลิขิตให้พานพบแล้ว…ไฉนจึงมิได้ลิขิตเส้นด้ายแดงเส้นวาสนาให้แก่กันด้วยเล่าเหอะ! ท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษผู้นี้คง
บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว“เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดนางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า!เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า”หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี“ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจเฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก”พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่าน