หลี่เหวินหลังจากที่ถูกย่าไล่ให้ออกมาจากบ้าน เขาจึงตัดสินใจเข้าเมืองเพื่อมาหางานทำ เลยพบกับหยางเฟยหลงที่มาหางานทำเหมือนกัน ทั้งสองพบกันที่ตลาดมืดของเมือง
“วันนี้มีงานเยอะไหมครับพี่เฟยหลง” หลี่เหวินทักทายออกไปอย่างเป็นกันเอง ทั้งสองอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จึงมีความสนิทสนมกันมากกว่าคนขายแรงงานคนอื่น
“วันนี้พอมีคนมาจ้างบ้าง อย่างที่รู้นั่นแหละ เดี๋ยวนี้หางานได้น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก” หยางเฟยหลงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจเล็กน้อย เพราะถ้างานมีน้อยก็เท่ากับว่ารายได้ก็น้อยตามไปด้วย
ตั้งแต่การค้าเปิดเสรี ก็ทำให้คนมาซื้อของในตลาดมืดน้อยลง แต่ตลาดมืดก็ยังเป็นความต้องการของคนหลายกลุ่มที่ยังมาหาซื้อของ เนื่องจากบางอย่างยังจำกัดปริมาณการซื้อขาย นั่นเอง และของบางอย่างก็ยังห้ามขายอย่างเสรีอยู่ แต่ที่นี่ยังมีสินค้าต้องห้ามพวกนั้นขายอยู่
“แล้ววันนี้ทำไมเพิ่งมาล่ะ” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหลี่เหวินเพิ่งมาเลยแปลกใจจึงถามขึ้นมา เพราะทุกครั้งทั้งสองจะมาพร้อมกัน และมีบางครั้งที่มาคนละเวลา แต่ไม่เคยมาสายขนาดนี้
“ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ” หลี่เหวินไม่อยากพูดอะไรมากจึงตอบไปเพียงแต่นั้น เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวสักเท่าไร เพราะยังไม่รู้ว่าเวลานี้น้องสาวนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดอะไร ชายหนุ่มเลยไม่เซ้าซี้อีก จากนั้นทั้งสองคนจึงนั่งรอเวลาให้มีคนมาจ้างขนของ และไม่นานก็มีคนมาจ้างให้ไปขนเหล็ก ซึ่งเจ้านี้ต้องการคนงานหลายคน จึงทำให้หลี่เหวินและหยางเฟยหลงมีงานด้วยกัน
ทั้งสองคนตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ไม่ว่างานหนักหรือเหนื่อยแค่ไหน ทั้งสองก็รับทำทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้เงินมาก็พอแล้ว
ตอนนี้ย่าหลี่กำลังนั่งครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนไปของหลานสาวหลังจากฟื้นขึ้นมา ‘ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเหยานั้นหลงรักอี้หยางตงหัวปักหัวปำไม่ใช่ แต่ทำไมวันนี้ถึงกล้าประกาศว่าไม่ได้สนใจหรือหลงรักลูกชายบ้านอี้อีกแล้วล่ะ’
ความสงสัยนี้ทำให้หญิงชราทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จนลูกสะใภ้อย่างฟางเหนียงอดที่จะถามอย่างห่วงใยไม่ได้
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือมีเรื่องอะไรให้หนักใจ ทำไมหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นละคะ”
“ฉันสงสัยน่ะ ว่าการฟื้นจากจมน้ำ ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ด้วยเหรอ” ย่าหลี่ถามออกมาอย่างสงสัย
“ถ้าแม่หมายถึงชิงเหยาล่ะก็ จากที่เห็นอาการและท่าทางของลูกแล้ว ฉันคิดว่าเป็นไปได้ค่ะ คนเราเกือบตายหรือตายไปแล้วฟื้นคืนมา ย่อมต้องคิดอะไรได้บ้างล่ะแม่ แต่ชิงเหยายอมตัดขายกับลูกชายบ้านอี้แบบนั้นก็ดีแล้ว ฉันชอบนะที่ชิงเหยามีความเด็ดขาดแล้วไม่โวยวายเหมือนก่อนที่จะจมน้ำ” ฟางเหนียงพูดขึ้นมาอย่างที่เธอคิด เธอดีใจมากที่ลูกสาวมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแบบนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลี่ชิงเหยาคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวตัวเอง แต่เป็นดารานางร้ายที่ทะลุมิติเข้ามาในนิยายเล่มนี้
“ชิงเหยาเปลี่ยนไปในทางที่ดีฉันก็ดีใจ กลัวว่าจะเป็นแป๊บเดียวนะสิ” ย่าหลี่พูดจบก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกว่า ฉันกลัวว่าชิงเหยาจะกลับมาเป็นคนเดิมในเวลาอีกไม่นาน หากเป็นอย่างนั้นฉันคงเศร้าใจไม่น้อย เนื่องจากฉันไม่ชอบลูกชายจากบ้านอี้ นอกจากหน้าตาที่หล่อเหลา อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง งานการก็ไม่ค่อยอยากจะทำ มีข่าวกับหญิงสาวต่างหมู่บ้านก็ไม่น้อย อีกทั้งบ้านอี้ก็ไม่ถูกใจฉันสักเท่าไร เลยไม่อยากให้หลานสาวไปเกี่ยวข้องด้วย” น้ำเสียงที่นางพูดออกมานั้นดูเหน็ดเหนื่อยหัวใจเหลือเกิน
“เราคงต้องดูต่อไปค่ะแม่ ฉันว่าคราวนี้ชิงเหยาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ” ฟางเหนียงพูดขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจตนเองและแม่สามี
ฟางเหนียงเองก็ไม่สนใจว่าลูกเขยของเธอจะจนหรือรวย เพราะบ้านหลี่ก็ไม่ได้รวยแต่แค่พอมีพอกินเหมือนกัน สามีของเธอยังคงทำงานในทุ่ง ลูกชายยังคงไปหางานในตลาดมืดทำ แต่หากเทียบกับบ้านอี้แล้ว บ้านนั้นคงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า
หญิงต่างวัยทั้งสองคนเมื่อพูดคุยกันในเรื่องนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างกังวลใจ
ส่วนหลี่ชิงเหยาเก็บผักไปก็คิดทบทวนความจริงจำไปด้วย เท่าที่เธอจำได้ ตัวประกอบอย่างหยางเฟยหลง มีการเขียนถึงเพียงไม่กี่ฉากก็ตาย เพราะเขาไปมีปัญหากับนักเลงขาใหญ่ของกลุ่มใต้ดิน ส่วนมีเรื่องอะไรนั้นเธอก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากอ่านนิยายเรื่องนี้ยังไม่จบนั่นเอง ‘ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทำไมฉันไม่ตั้งใจอ่านให้จบๆ ไปนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเดาเนื้อเรื่องต่อเอาเองแบบนี้’ เธอคิดอะไรไม่ออกก็หงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ
ยิ่งเห็นป้าหยางแม่ของหยางเฟยหลงเป็นแบบนี้ เธอยิ่งสงสาร เพราะชาวบ้านไม่ชอบบ้านหยางสักเท่าไร
หลี่ชิงเหยาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมแค่คนเราเกิดมาจนเท่านั้น จะต้องถูกรังเกียจแบบนี้
“วันนี้ป้าหยางจะทำอะไรกินเหรอคะ” หญิงสาวหาทางชวนอีกฝ่ายคุย จึงเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่กำลังช่วยหาผักป่า
“ยังไม่รู้เลย ป้าคิดว่าจะไปที่ลำธารด้วยสักหน่อย เผื่อจะหาปลาได้บ้างน่ะ” หลิวเฟยตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เวลานี้เธอเริ่มสนิทกับหลี่ชิงเหยาแล้ว จึงไม่มีความหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้
พูดถึงเรื่องหาปลา หลี่ชิงเหยาก็คิดได้ว่าเมื่อชาติก่อนเธอเคยเล่นละครเป็นสาวชนบท เรื่องหาปลาเลยพอจะรู้วิธีการแทงปลามาบ้าง คิดได้อย่างนั้นจึงยิ้มออกมา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูสนุกสนาน “ดีเลยค่ะ ฉันไปด้วยได้ไหมคะ จะได้ไปหาปลากลับบ้านด้วย”หญิงสาวรู้ดีว่าบ้านหลี่ไม่ค่อยมีเงินสักเท่าไร แต่ก็ไม่เดือดร้อนถึงขั้นต้องหยิบยืมคนอื่น จะว่าไปร่างนี้ก็ล้างผลาญเงินของที่บ้านไม่ใช่เล่น เนื่องจากเคยขโมยอาหารดี ๆ ของบ้านหลี่ เพื่อนำไปให้กับอี้หยางตง!!‘ยิ่งคิดยิ่งอยากจะทุบร่างนี้เสียจริง ๆ แต่ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะฉันคงต้องเจ็บด้วยน่ะสิ’ หญิงสาวคิดอย่างโมโหเจ้าของร่างที่สิ้นคิดทำอย่างนั้นลงไป“มันจะดีเหรอ เธอเพิ่งจะจมน้ำมา ไม่กลัวหรือไง” หลินเฟยถามออกไปอย่างกังวลใจเล็กน้อยเรื่องที่หลี่ชิงเหยาจมน้ำนั้นมีใครบ้างไม่รู้ บางคนจมน้ำแล้วเกิดความกลัวน้ำไปเลยก็มี นางเลยไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะขอตามไปที่ลำธารด้วย“ไม่กลัวหรอกค่ะ ให้ฉันไปด้วยนะ ป้าหยางจะได้ไม่ต้องไปหาปลาคนเดียว ฉันหาปลาเก่งนะ ว่าแต่ป้ามีมีดพร้ามาด้วยหรือเปล่า ฉันจะไปตัดไม้แทงปลาน่ะ เราต้องมีอุปกรณ์จับปลาด้วยค่ะ”หญิงสาวตอบกลับไปอย่า
บทที่ 4 หลี่ชิงเหยาเปลี่ยนไปแล้วหลี่เหวินหลังจากที่ถูกย่าไล่ให้ออกมาจากบ้าน เขาจึงตัดสินใจเข้าเมืองเพื่อมาหางานทำ เลยพบกับหยางเฟยหลงที่มาหางานทำเหมือนกัน ทั้งสองพบกันที่ตลาดมืดของเมือง“วันนี้มีงานเยอะไหมครับพี่เฟยหลง” หลี่เหวินทักทายออกไปอย่างเป็นกันเอง ทั้งสองอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จึงมีความสนิทสนมกันมากกว่าคนขายแรงงานคนอื่น“วันนี้พอมีคนมาจ้างบ้าง อย่างที่รู้นั่นแหละ เดี๋ยวนี้หางานได้น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก” หยางเฟยหลงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจเล็กน้อย เพราะถ้างานมีน้อยก็เท่ากับว่ารายได้ก็น้อยตามไปด้วยตั้งแต่การค้าเปิดเสรี ก็ทำให้คนมาซื้อของในตลาดมืดน้อยลง แต่ตลาดมืดก็ยังเป็นความต้องการของคนหลายกลุ่มที่ยังมาหาซื้อของ เนื่องจากบางอย่างยังจำกัดปริมาณการซื้อขาย นั่นเอง และของบางอย่างก็ยังห้ามขายอย่างเสรีอยู่ แต่ที่นี่ยังมีสินค้าต้องห้ามพวกนั้นขายอยู่“แล้ววันนี้ทำไมเพิ่งมาล่ะ” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหลี่เหวินเพิ่งมาเลยแปลกใจจึงถามขึ้นมา เพราะทุกครั้งทั้งสองจะมาพร้อมกัน และมีบางครั้งที่มาคนละเวลา แต่ไม่เคยมาสายขนาดนี้“ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ” หลี่เหวินไม่อยากพูดอะไรมากจึงตอบไปเพีย
หลี่ชิงเหยาเดินไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ เธอไม่คิดเลยว่า บรรยากาศของหมู่บ้านนี้จะร่มรื่นมากขนาดนี้ หญิงสาวเดินมาเรื่อย ก็พบกับชาวบ้านจับกลุ่มนั่งพูดคุยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของเธอ“หายดีแล้วเหรอชิงเหยา” เสียงของนางจริงถามขึ้นมาเมื่อเห็นหลี่ชิงเหยาเดินผ่านมา แต่ก็เป็นเพียงคำถามลอย ๆ เท่านั้น“ดีขึ้นแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปเพียงเท่านี้ก็จะเดินต่อ แต่ไม่คิดว่าจะมีเสียงของใครบางคนตะโกนต่อว่ากลับมา“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบดี ๆ หน่อยล่ะ ทำแบบนี้ไร้มารยาทเสียจริง”นั่นทำให้หญิงสาวหยุดชะงักทันที ‘ต่อให้ไม่อยากจะมีเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องจะมาหาถึงที่แบบนี้’ คิดได้แค่นั้นเธอก็หมุนตัวหันกลับมาทันที พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ฉันตอบไม่ดีตรงไหน ในเมื่อถามว่าหายดีแล้วเหรอ ฉันก็ตอบว่าดีขึ้นแล้วค่ะ มีคำไหนไม่ดี ไม่สุภาพ หรือว่ามีคำไหนที่ไร้มารยาทเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคนที่สุภาพ ช่วยบอกหน่อยว่าฉันต้องตอบกลับอย่างไร” ระหว่างพูดออกมา หญิงสาวก็ปรายตามองทุกคนอย่างไร้เดียงสา แต่ในใจนั้นคิดว่า ‘หึ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในนิยาย น่าเบื่อจริงๆ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อร่างนี
บทที่ 3 อยู่ดี ๆ เรื่องก็มาหาขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โจวเม่ยเม่ยก็เดินเข้ามาในบ้านหลี่พอดี เมื่อเห็นว่าหลี่ชิงเหยาฟื้นแล้ว ใบหน้าก็ชะงักค้างเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็กลับมาเป็นปกติแต่แม้จะมีเวลาเพียงเสี้ยววินาที หลี่ชิงเหยาก็เห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของอีกฝ่ายพอดี จึงแสยะยิ้มมุมปากพร้อมกับคิดในใจ ‘คงจะมาเล่นละครอะไรอีกล่ะสิ คราวนี้สนุกแน่เพราะฉันจะเล่นกับเธอด้วย’“ชิงเหยา เธอฟื้นแล้วเหรอ ฉันดีใจจังเลย” ใบหน้าของโจวเม่ยเม่ยยังคงยิ้มแย้มในตอนที่ถามไถ่ บ่งบอกให้เห็นว่าเธอนั้นดีใจที่เพื่อนฟื้นแล้ว“อืม ฉันเพิ่งฟื้นน่ะ ว่าแต่เธอมีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาฉัน” น้ำเสียงที่หญิงสาวถามออกไปนั้นราบเรียบและเย็นชาสิ้นดี คล้ายกับไม่อยากจะเสวนากับเพื่อนคนนี้สักเท่าไร“ฉันมาเพราะเป็นห่วงเธอน่ะสิ ดีแค่ไหนแล้วที่พี่หลี่เหวินช่วยเธอเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นแล้ว...” เธอพูดออกมายังไม่จบประโยคก็ต้องหยุดลง เพราะหลี่ชิงเหยาพูดแทรกขึ้นมา“ไม่อย่างนั้นแล้ว พรานป่าท้ายหมู่บ้านคงจะมาช่วยฉันไว้ แล้วชาวบ้านก็มาเห็นว่าฉันอยู่กับเขาในสภาพไม่เรียบร้อย จนฉันต้องแต่งงานกับเขาใช่ไหม”หญิงสาวพูดสวนกล
ขณะที่กลุ่มชมรมคนขี้นินทากำลังพูดกันอย่างสนุกปากอยู่นั้น ย่าหลี่ก็เดินผ่านมากับลูกสะใภ้ซึ่งก็คือแม่ของหลี่ชิงเหยา ย่าหลี่พอได้ยินว่ามีคนนินทาหลานสาวในทางไม่ดีก็รู้สึกโกรธขึ้นมา‘ด่ากันไปก็เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าจะเอาให้สาแก่ใจนั้น ต้องทำให้พวกนี้หุบปากให้ได้’ ย่าหลี่คิดในใจ จากนั้นจึงแหงนมองหาอะไรบางอย่าง พอเห็นเป้าหมายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างถูกใจ ก่อนจะกระซิบกับฟางเหนียงลูกสะใภ้ตัวเองเบา ๆฟางเหนียงได้ยินก็เบิกตากว้าง เธอไม่คิดว่าแม่สามีจะมีความคิดแบบนี้ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเอาด้วย เพราะไม่ชอบชาวบ้านกลุ่มนี้สักเท่าไร ที่ชอบพูดถึงลูกสาวเธอในทางเสียหายแม่สามีกับลูกสะใภ้รีบมาหลบหลังต้นไม้ โดยที่สายตามองหาสิ่งของเหมาะมือมาถือไว้คนละอันสองอัน หลังจากหาที่ซ่อนได้แล้ว จึงหยิบก้อนหินขนาดพอเหมาะมือขึ้นมา จากนั้นก็เล็งไปที่รังมดแดงตรงต้นไม้ที่กลุ่มชาวบ้านพวกนั้นนั่งอยู่ แล้วปาก้อนหินออกไป และย่าหลี่ก็ปาแม่นซะด้วยสิ“โอ๊ย!! นี่มันมดแดงนี่นา ตกลงมาได้ยังไงกันเนี่ย”หลังจากก้อนหินโดนรังมดแดง เสียงร้องโวยวายของชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ดังขึ้น พร้อมกับปัดมดแดงที่หล่นลงมาใส่ตัวออกสองแม่สามีกับลูกสะใภ้ยังไม่รามือ
บทที่ 2 ฉันเข้ามาอยู่ในนิยายเหรอเนี่ย“ฮือ ๆ ชิงเหยาของย่า หลานย่ารีบฟื้นเถอะนะ ทำยังไงถึงได้ตกน้ำแบบนี้ล่ะ” ย่าหลี่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจอย่างหนัก ที่หลานสาวสุดที่รักตกน้ำจนสลบไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น“ย่าอย่าเพิ่งฟูมฟายไปเลยครับ หมอก็บอกแล้วว่าชิงเหยาไม่ได้เป็นอะไร” หลี่เหวินพี่ชายของหลี่ชิงเหยาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ที่ย่าแสดงอาการเศร้าโศกเกินจริงอีกแล้ว“ไม่ต้องพูดดีเลย แกมันไม่รักน้อง เห็นน้องถูกรังแกจนสลบไปยังไม่ฟื้นแบบนี้ แทนที่จะไปแก้แค้นให้น้อง กลับมาบ่นย่าเสียอย่างนั้น แกจะไปไหนก็ไปเลย ฉันเบื่อหน้าแกแล้ว” ย่าหลี่พูดออกมาอย่างรำคาญหลานชายอย่างมาก จึงได้โบกมือไล่เขาให้ไปไกล ๆ“พ่อกับแม่ดูสิครับ บ้านอื่นรักลูกหลานที่เป็นผู้ชายกันทั้งนั้น แล้วทำไมบ้านหลี่ของเราถึงผิดแปลกไปละครับ รักแต่หลานสาว จนหลานชายอย่างผมเป็นหมาหัวเน่าแล้วเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ” ชายหนุ่มถามพ่อแม่ออกไป เขาสงสัยมาตั้งแต่น้องสาวเกิดแล้วว่า ทำไมย่าของตนไม่เหมือนบ้านอื่น ที่รักหลานชายมากกว่าหลานสาว ส่วนบ้านหลี่นั้นย่ารักหลานสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก“พ่อว่าลูกน่าจะชินได้แล้วนะ ตั้งแต่ชิงเหยาเกิดมา ย่าก็เป